ผลของการให้ความรู้แก่บุคลากรทางด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย

Main Article Content

สุภาพร แนวบุตร

Abstract

การวิจัยครั้งนี้ใช้แบบการวิจัยกึ่งทดลองวัดก่อน และหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
ผลการให้ความรู้แก่บุคลากรทางด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของความรู้
ทัศนคติ และการปฏิบัติของบุคลากรทางด้านสาธารณสุขเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียก่อนและหลังได้รับการ
อบรมของผู้เข้าร่วมโครงการ และเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อโครงการและการประเมินตนเองของผู้เข้าร่วม
โครงการ กลุ่มตัวอย่างเป็นอาสาสมัครสาธาณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) รพ.สต.วังอิทก อ.บางระกำ
จ.พิษณุโลก จำนวน 73 คน โดยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับการอบรมเรื่อง ความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมีย ทัศนคติ
ต่อการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย การปฏิบัติในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับธาลัสซีเมียและการตรวจคัดกรอง
โดยใช้สื่อเป็นภาพการ์ตูนแอนนิเมชั่น แผ่นพับ โปสเตอร์ และหนังสือการ์ตูนเรื่องการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย
โดยอบรม 2 ครั้ง ห่างกัน 3 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประเมินความรู้ ทัศนคติ
การปฏิบัติในการให้คำแนะนำเรื่องโรคธาลัสซีเมีย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอ้างอิง
ผลการวิจัยพบว่าหลังการอบรม กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เรื่องโรคธาลัสซีเมีย ทัศนคติ
ต่อการตรวจคัดกรองธาลัสซีเมียและการปฏิบัติในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียและการตรวจ
คัดกรองสูงขึ้นกว่าก่อนเข้าอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p < .001 (t = -13.27, t= -5.53 และ
t = -9.86 ตามลำดับ) และพบว่าหลังอบรม กลุ่มตัวอย่างมีผลการประเมินความพึงพอใจโครงการและ
ผลการประเมินตนเองในระดับดีมากเป็นส่วนใหญ่ทุกด้าน ได้แก่ คู่มือ/วิดีทัศน์ที่ใช้ในการอบรม สื่อที่ใช้
ในการอบรม วิธีการถ่ายทอด เทคนิคที่ใช้ในการถ่ายทอด ความยากง่ายในการถ่ายทอด และความสามารถ
ในการถ่ายทอด

Article Details

Section
บทความวิจัย (Research articles)

References

1. เกษม เรืองรอง, ภาวิน พัวพรพงษ์ และมรกตสุธีร์ รัตนมงคลกุล. (2555). ศึกษาความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติตัวเกี่ยวกับการตรวจเลือดก่อนแต่งงานหรือก่อนมีบุตร. Journal of Medicine and Health Sciences, 19(2)August, 22-28.
2. นิภา มนูญปิจุ. (2528). การวิจัยทางสุขศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: อักษรบัณฑิต.
3. ภัทระ แสนไชยสุริยา. (2555). การเผยแพร่ความรู้โรคธาลัสซีเมียผ่านสื่อ internet Web-based interactive media for disseminating knowledge of thalassemia. (รายงานวิจัย ม.ขอนแก่น),สืบค้นเมื่อ 26 พฤษภาคม 2558 จาก http://dric.nrct.go.th/direct_fulltext.php?.pdf.
4. วิเชียร เกตุสิงห์. (2538). สถิติวิเคราะห์สำหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช.
5. สุวิมล ติรกานันท์. (2543). ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์: แนวทางสู่การปฏิบัติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
6. Alam et al. (2015). How can formative research inform the design of an iron-folic acid supplementation intervention starting in first trimester of pregnancy in Bangladesh?. BMC Public Health, 15(374),1-9.
7. Bloom, B.S. et al. (1956). Taxonomy of educational objectives: The classification of educational goals. Handbook I: Cognitive domain. NY: David McKay.
8. Jopang Y. et al (2015).Community Participation for Thalassemia Prevention Initiated by Village Health Volunteers in Northeastern
9. Thailand. Asia Pacific Journal of Public Health, 27(2), 2144-56. Terawiwat M, lmamee N, Janchaum A. (1999). Health Education Program for Prevention of Iron Deficiency Anemia Among Pregnant Women Muang District Krabi Province. Region 4 Medical Journal; 18(4), 237-242.
10. Wong P., Thanormrat P., Srithipayawan S., Taytiwat P., Jermnim N., Niyomthom S., Nimnuch N., Sanguansermsri T.(2004). Prevalence of thalassemia trait from screening program in pregnant women of Phitsanulok. hai J Hematol Transfusion Med, 14,181- 186.
11. Wulandari L.P.L and Whelan A K.(2011). Beliefs, attitudes and behaviors of pregnant women in Bali. Midwifery, 27,867-871.