การพัฒนากระบวนการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาพยาบาล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยแบบผสานวิธีนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนรู้ของนักศึกษาและรูปแบบการสอนของอาจารย์ในรายวิชากลุ่มวิชาชีพทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต และเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนการสอนในรายวิชากลุ่มวิชาชีพรายวิชาภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติที่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้และการสอนในศตวรรษที่ 21 วิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการเรียนรู้จากแบบประเมิน VARK สำหรับนักศึกษาพยาบาลใช้รูปแบบการเรียนรู้ผ่านการอ่านเขียน (R) ร้อยละ 30.90 เรียนรู้ผ่านการได้ยินหรือได้ฟัง (A) ร้อยละ26.31 และเรียนรู้ผ่านการกระทำ (K) ร้อยละ 24.15 และเรียนรู้ผ่านการมองเห็น (V) ร้อยละ 18.64 อาจารย์พยาบาลใช้รูปแบบการเรียนรู้ผ่านการอ่านเขียน (R) ร้อยละ 30.00 เรียนรู้ผ่านการได้ยินหรือได้ฟัง (A) ร้อยละ 26.67เรียนรู้ผ่านการกระทำ (K) ร้อยละ 23.33 และเรียนรู้ผ่านการมองเห็น (V) ร้อยละ 20.00 2) รูปแบบการสอนของอาจารย์ตามแนวคิดของ Grasha (1994) นักศึกษามีความเห็นว่า อาจารย์มีรูปแบบการสอนโดยยกตนเป็นต้นแบบในระดับมาก ( = 3.95, SD. = .74) รองลงมาคือ รูปแบบการสอนแบบเป็นอาจารย์ ( = 3.90, SD. = .74) 3)กระบวนการเรียนการสอนในรายวิชากลุ่มวิชาชีพรายวิชาภาคทฤษฎี และปฏิบัติที่สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนรู้และการสอนในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 1) การจัดเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการกลุ่ม และการทำงานเป็นทีมของผู้เรียน 2) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบลดเวลาเรียน และเพิ่มเวลารู้ 3) การมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานการเรียนรู้ และ 4) การใช้สื่อและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยในการจัดการเรียนการสอน
Article Details
บทความหรือข้อคิดเห็นใดใดที่ปรากฏในวารสารวิจัยการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน ซึ่งบรรณาธิการหรือสมาคมศิษย์เก่า ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และบทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิจัยการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ
References
2. Fleming, N. D. & Mills, C. (1992). (2015, December 27). VARK a guide to learning styles.Retrieved from https://ets.tlt.psu.edu/learningdesign/audience/ learning styles /
3. Garneau, B. A., & Pepin, J. (2015). A constructivist theoretical proposition of cultural competence development in nursing. Nurse Education Today, 35, 1062–1068.
4. Grasha, A., & Reichmann, S. (1975). Workshop handout on learning styles. Ohio: Faculty Research Center, University of Cincinnati.
5. Grasha, A. (1994). A Matter of Style: The Teacher as Expert, Formal Authority, Personal Model, Facilitator, and Delegator. College Teaching, 42(4), 142-149.
6. Guo, Y., et al. (2013).The design and testing of a caring teaching model based on the theoretical framework of caring in the Chinese Context: A mixed-method study. Nurse Education Today, 33, 912–918.
7. Hayam, F. A. E & Faten, A. E. A. .(2013). Assessment of the Nursing Students' Perception toward their Learning Style. American Journal of Research Communication, 1(4), 80-93.
8. Johnson, A. (2013). Effective Methods for 21ST Century Learning: A Teacher Action Research Project. Meridian: A K-16 School Computer Technologies Journal, 16, 1-14
9. Kirwan, A. & Adams, J. (2009). Students’ views of enquiry-based learning in a continuing professional development module.Nurse Education Today, 29, 448–455.
10. Kragelund, L. (2011). Student nurses’ learning processes in interaction with psychiatric patients: A qualitative investigation. Nurse Education in Practice,11, 260-267.
11. Mangkhang, V. &khewleung, D. (2018). Teaching Model of Nursing to Enhance the Health Promoting Competencies of Student Nurses. Boromarajonani College of Nursing, Uttaradit Journa,. 10(1): 1-30. (in Thai)
12. McDonald, R. (2015). Leveraging Change by Learning to Work with the Wisdom in the Room: Educating for Responsibility as a Collaborative Learning Model. Journal of Business Ethics,131, 511–518.
13. Neuwsuwan, K., Singverathum, N. &Thunyaphon, S. (2018). Factors Influence to the Gerontological Nursing Competencies in Nursing Students. Boromarajonani College of Nursing, Uttaradit Journal. 10(1): 56-68. (in Thai)
14. Panich, V. (2011).The method for learning in 21 century.1 edition. Bangkok: ThaiSSF. (in Thai)
15. Sinlarat, P. (2012). The learning in 21 century and the studying and teaching management. Bangkok: Dhurakij Pundit University. (in Thai)
16. Wattanakul, B., Ghamkam, S., &Ngamwongwan, K. (2016).Differences in learning preference of nursing students. Journal of Health science research,10 (1), 54-61. (in Thai)
17. Ying Tao et al. (2015). Development of a nursing education program for improving Chinese undergraduates' self-directed learning: A mixed-method study. Nurse Education Today, In Press, Corrected Proof, Available online DOI: 10.1016/j.nedt.2015.05.016