การพัฒนารูปแบบการสอนแบบผสมผสาน วิชารหัสทางการแพทย์ 3 สำหรับนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเวชระเบียน
คำสำคัญ:
การพัฒนารูปแบบการสอน, การสอนแบบผสมผสาน, รหัสทางการแพทย์บทคัดย่อ
การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ สภาพปัญหา ความต้องการ พัฒนารูปแบบการสอนแบบผสมผสาน และประสิทธิผลของรูปแบบการสอนแบบผสมผสาน วิชารหัสทางการแพทย์ 3 สำหรับนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาวิชาเวชระเบียน ดำเนินการ 3 ขั้นตอน ประกอบด้วยขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ สภาพปัญหาและความต้องการรูปแบบการสอนวิชารหัสทางการแพทย์ 3 จากนักศึกษาและอาจารย์ผู้สอน จำนวน 12 คน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบการสอนแบบผสมผสาน โดยผู้วิจัยยกร่างรูปแบบการสอน ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการสอนแบบผสมผสาน วิชารหัสทางการแพทย์ 3 โดยประเมินผลจากนักศึกษา จำนวน 207 คน คน เป็นกลุ่มควบคุม 100 คน กลุ่มทดลอง 107 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบทดสอบความรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจ ได้ค่าความตรงตามเนื้อหาระหว่าง .67 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่น KR-20 เท่ากับ .90 และ ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ .84 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า
1. สถานการณ์การจัดการเรียนการสอนเป็นการบรรยายภาคทฤษฎีตามหนังสือคู่มือการให้รหัสทางการแพทย์ (ICD- 10) และฝึกทดลองการให้รหัสทางการแพทย์จากกรณีศึกษา มีการทดสอบย่อยในแต่ละบท ทำให้ผู้เรียนไม่สนใจในวิชาเรียน อีกทั้งนักศึกษาในชั้นเรียนมีจำนวนมาก ยากในการเข้าถึงผู้สอน
2. รูปแบบการสอนแบบผสมผสาน วิชารหัสทางการแพทย์ 3 ประกอบด้วย การเรียนแบบเผชิญหน้า (Face to Face Learning) เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer-Assisted Learning) พี่สอนน้อง (Peer Teaching Method) และห้องเรียนออนไลน์ (Google Classroom)
3. หลังการใช้รูปแบบการสอนแบบผสมผสาน วิชารหัสทางการแพทย์ 3 ความรู้ของนักศึกษา (M=57.08, SD=8.14) สูงกว่าการใช้รูปแบบสอนเดิม (M=44.52, SD=6.98) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อการสอนแบบผสมผสานอยู่ในระดับมากที่สุด (M=4.50, SD=0.21)
ควรนำรูปแบบการสอนแบบผสมผสานที่พัฒนาขึ้นมาประยุกต์ใช้และดัดแปลงให้เหมาะสมกับรายวิชาและผู้เรียน โดยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามบริบทของรายวิชานั้นๆ
References
Bonk, C. J., & Graham, C. R. (2004). Handbook of Blended Learning: Global Perspectives, San Francisco, CA: Pfeiffer Publishing.
Chitrakorn, A. (2019). Development of Collaborative Blended Learning Using Future Problem Solving Techniques to Promote Creativity in Graphic Design on Instructional Media of Pre-service Teacher Students, Silpakorn University. Silpakorn University Journal, 37(1), 23-42. (in Thai)
Hair, F. J., Black, C. W., Babin, J. B., & Anderson, E. R. (2019). Multivariate Data Analysis. (7th ed). New Jersey: Pearson Education.
Hongsamad, Y. & Limtasiri, O. (2021). The Comparison of Academic Achievement and Satisfaction on Solution topic of Mathayomsuksa 2 Students Between the Online Learning by Google Classroom and Traditional Method. Faculty of Education, Ramkhamhaeng University. Journal of Educational Innovation and Research, 5(2), 355-370. (in Thai)
Kachapai, M., Onming, R., Pradubwate, R., & Wongyounoi, S. (2015). The Development of A Blended Instruction Model to Enhancing Knowledge and Competencies on Educational Invovation and Information Technology for Bachelor of Education Students Srinakharinwirot University. Social Sciences Research and Academic Journal, 29(1), 71-86. (in Thai)
Khlaisri, P. (2017). Development of the Instructional Model using Blended Learning and Metacognition for Faculty of Education Students in Rajabhat University in the Northeastern. Doctoral Dissertation in Curriculum and Instruction, Department of Curriculum and Instruction Collage of Education Sciences, Dhurakij Pundit University. (in Thai)
Medical Record Department. (2020). Diploma of Medical Record (Revised in 2018). Nonthaburi. Kanchanabhishek Institute of Medical and Public Health Technology. (in Thai)
Muangkaew, R., Sutthirat, C., & Panawong, C. (2019). The Development of Blended Learning Instructional Model Based on Research-Based Learning Approach to Enhance Research Competency of Nursing Students. Journal of Health and Nursing Education, 22(2), 74-92. (in Thai)
National Gazette. (2013). Announcement of the Ministry of Education on the National Vocational Education Qualifications Framework, 2513. 130. (2013, February 18). (in Thai)
Saaikhwa, B., Boonthum, P. & Jaisanid, P. (2017). Developing Ethnic Students’s English Speaking Skills Through the Use of Peer-Assisted Learning Activities. Graduate school Journal Chiang Rai Rajabhat University, 10(3), 77-86. (in Thai)
Sengsri, S. (2013). Practice of Educational Research and Development Acquisition by Students Teaching Students Activity. Journal of Education Naresuan University, 13(2), 128–137. (in Thai)
Strategy and Planning Division, Office of the Permanent Secretary. (2016). 20-Year National Strategic Plan on Public Health. Nontaburi. Ministry of Public Health. (in Thai)
Sukiem, P. (2012). The Result of Blended Learning a Topic of Civisim for Prathomsuksa 5 Students. Master degree in Educational Technology and Communications, Faculty of Teachnical Education Rajamangala University of Technology Thanyaburi. (in Thai)
Sukkasem, S., Sittiwong, T., & Jiravarapong, B. (2019). Development of Blended Learning Model in Introduction to Computer Information Science Course for Undergraduate Students. Journal of Education Naresuan University, 21(4), 317-328. (in Thai)
Wongsinudom, P., & Autthawuttikul, S. (2016). The Development of Tutorial Application on Tablet with Peer-to-Peer Learning Affecting Learning Together of the Third Grade Students in Petchaburi. Veridian E-Journal, Silpakorn University, 9(3), 588-601.
Yimyam, S., Charuwatcharapaniskul, U., Chareonsanti, J., Indarangkura Na Ayutthaya, A., Xuto, P., & Chaloumsuk, N. (2017). Developing on Blended Learning for Developing the 21st Century Learning Skill. Nursing Journal, 42(Special Edition), 129-140. (in Thai)
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารเครือข่าย วิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการหรือเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
