วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet <p>วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ (SC-Net) จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขในเขตภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ยะลา และวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลาและตรัง รับบทความเกี่ยวกับการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ออกปีละ 3 ฉบับ</p> th-TH <p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารเครือข่าย วิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการหรือเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้</p> jock2667@gmail.com (Asst. Prof. Dr. Kittiporn Nawsuwan ) sc.net.journal@gmail.com (Mrs. Weeraya Palipot ) Sat, 28 Jun 2025 10:32:59 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การดูแลผู้ป่วยระยะกลางตามกรอบแนวคิดนวัตกรรมการดูแลภาวะเรื้อรังขององค์การอนามัยโลก โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน เขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง จังหวัดสงขลา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275387 <p>การวิจัยแบบผสมวิธีนี้เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะกลางตามกรอบแนวคิดนวัตกรรมการดูแลภาวะเรื้อรังขององค์การอนามัยโลกจากการมีส่วนร่วมจาก 3 ระดับ ที่มีความเชื่อมโยงกัน ในเขตเทศบาลเมืองเขารูปช้าง จังหวัดสงขลา ดำเนินการ 2 วิธีคือ วิธีเชิงปริมาณ ประชากรที่ศึกษาเป็นผู้ป่วยหรือผู้ดูแลในเขตเทศบาลเมืองเขารูปช้างที่ผ่านเกณฑ์คัดเข้าได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 63 คน ใช้เครื่องมือบบสอบถามความคิดเห็นการได้รับการดูแลระยะกลาง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าเฉลี่ย ส่วนวิธีเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลคือ กลุ่มผู้ให้บริการทางสุขภาพ 15 คน เครือข่ายในชุมชน 9 คน และผู้บริหาร 8 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง ใช้ข้อคำถามแบบมีโครงสร้างเก็บข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบมีโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยระยะกลาง คือ ผู้ดูแลได้รับทราบข้อมูลและการสร้างแรงจูงใจอยู่ในระดับสูง ส่วนการเตรียมความพร้อมอยู่ในระดับปานกลาง ผู้เกี่ยวข้องในการดูแลระยะกลางแต่ละระดับมีบทบาทที่ส่งเสริมกัน โดยผู้ป่วยและครอบครัวต้องรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ยอมรับความจริง ไม่สิ้นหวัง กล้าแสดงความคิดเห็น เตรียมความพร้อมและฝึกทักษะ โดยมีผู้ให้บริการ เครือข่ายในชุมชน และผู้บริหารเห็นความสำคัญและสนับสนุน ภายใต้หน่วยงานและชุมชนที่มีระบบการดูแลผู้ป่วยระยะกลางอย่างต่อเนื่อง ผู้บริหารสร้างแรงจูงใจผ่านภาวะผู้นำ รับฟังปัญหาของผู้ป่วย ครอบครัว ทีมงาน และชุมชน เพื่อนำไปกำหนดนโยบาย ออกระเบียบ จัดสรรงบประมาณ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถบูรณาการทำงานร่วมกันได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ</p> <p>ดังนั้นหน่วยบริการทางสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรร่วมกันจัดทำแนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง โดยชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมให้ชัดเจน เพื่อให้แต่ละภาคส่วนรับรู้บทบาทหน้าที่และเข้ามามีส่วนร่วมได้เหมาะสม หวังผลให้เกิดสุขภาวะที่ดี ลดภาระการดูแลทางสุขภาพ</p> รัตนวลี พลายด้วง, วรสิทธิ์ ศรศรีวิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275387 Sat, 28 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/274562 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วน ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 73 คน คัดเลือกด้วยวิธีสุ่มแบบง่ายโดยใช้ตารางเลขสุ่ม รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วน และแบบสอบถามพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วน ซึ่งมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 1 และ .87 ตามลำดับ และมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .92 และ .85 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติสหสัมพันธ์ของเพียร์สันผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1. ความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วนอยู่ในระดับพอใช้ (<em>M </em>= 68.72, <em>SD</em> = 1.41)</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. พฤติกรรมการรับประทานยาโดยรวมของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วนอยู่ในระดับ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 2.26, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.30)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงเร่งด่วนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.324)</span></p> <p>พยาบาลวิชาชีพควรส่งเสริมพฤติกรรมการรับประทานยาของผู้สูงอายุ โดยเน้นการเข้าถึงและเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับการรับประทานยาโรคความดันโลหิตสูง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมการรับประทานยาที่เหมาะสมต่อไป</p> <p> </p> อรวรรณ บุรีนอก, สุพัตรา บัวที ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/274562 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลต่อความรอบรู้ ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของผู้สูงอายุ ในอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275728 <p>การวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุมเพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลต่อความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในโรงพยาบาลสบปราบกับการพยาบาลตามมาตรฐานของโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุโรคเรื้อรังที่มารับบริการในโรงพยาบาลสบปราบ จำนวน 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 30 ราย ทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มใช้ขนาดของบล็อกสุ่มไปเรื่อย ๆ โดยใช้ขนาดของบล็อกคือ 6 ทำให้ได้ 10 บล๊อค โดยกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามมาตรฐานของโรงพยาบาล กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นการสร้างความรู้พื้นฐาน ฝึกทักษะการเข้าถึงข้อมูล การจัดการตนเอง และทบทวนความรอบรู้เพื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผล จำนวน 12 สัปดาห์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง และแบบประเมินพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลของผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง รวบรวมข้อมูลระหว่าง 8 มกราคม - 2 เมษายน 2566 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Paired T Test และสถิติ Independent T Test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้และพฤติกรรมด้านการใช้ยา</span><span style="font-size: 0.875rem;">อย่างสมเหตุผลหลังเข้าร่วมโปรแกรมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </span><span style="font-size: 0.875rem;">(</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .05) </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้และพฤติกรรมการใช้ยาอย่าง</span><span style="font-size: 0.875rem;">สมเหตุผลสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .05)</span></p> <p>ดังนั้นควรนำโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในผู้สูงอายุโรคเรื้อรังไปประยุกต์ใช้ในบริบทที่คล้ายคลึงกันเพื่อลดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนจากยาได้</p> พิกุล อุทธิยา, ยงยุทธ แก้วเต็ม, สุชาติ เครื่องชัย, ณัฏฐ์ฐภรณ์ ปัญจขันธ์, เครือวัลย์ สารเถื่อนแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275728 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องสำหรับพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/276000 <p>การวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจของสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องของพยาบาลวิชาชีพ และ 2) ศึกษาระดับสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องของพยาบาลวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างคือพยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในแผนกผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ จำนวน 340 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบวัดสมรรถนะพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง มีค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ อยู่ระหว่าง .60 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบหลักและหมุนแกนแบบมุมฉากด้วยวิธีแวริแมกซ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. องค์ประกอบของสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องของพยาบาลวิชาชีพ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การสื่อสาร การสอน และเทคโนโลยี จำนวน 23 ตัวแปร 2) ความรู้และทักษะ</span><span style="font-size: 0.875rem;">การล้างไตทางช่องท้อง จำนวน 14 ตัวแปร 3) การให้คำปรึกษา จำนวน 6 ตัวแปร 4) การวิจัยและพัฒนางาน จำนวน 6 ตัวแปร 5) การดูแลก่อนและหลังผ่าตัดวางสาย Tenckhoff จำนวน 4 ตัวแปร และ 6) จริยธรรมและการพิทักษ์สิทธิ์ จำนวน 4 ตัวแปร วัดได้จากตัวบ่งชี้องค์ประกอบจำนวน 57 ตัวแปร ซึ่งมีค่าน้ำหนักปัจจัยองค์ประกอบอยู่ในช่วง .458 - .830 องค์ประกอบทั้งหมดสามารถร่วมกันอธิบายสมรรถนะการดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องสำหรับพยาบาลวิชาชีพ ได้ร้อยละ 74.82</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. สมรรถนะการดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องของพยาบาลวิชาชีพในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.45, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.82)</span></p> <p>ข้อเสนอแนะ โรงพยาบาลควรนำองค์ประกอบสมรรถนะทั้ง 6 ด้าน มาใช้เป็นกรอบในการพัฒนาพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลให้มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ</p> หทัยรัตน์ โกสิงห์, กาญจนา ศรีสวัสดิ์, สายสมร เฉลยกิตติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/276000 Tue, 01 Jul 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้หุ่นนวัตกรรมการใส่สายยางอาหารทางปากในทารกต่อทักษะและประสิทธิผลของหุ่นในนักศึกษาพยาบาล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277075 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบหนึ่งกลุ่มวัดเฉพาะหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลการใช้หุ่นนวัตกรรมการใส่สายยางอาหารทางปากในทารก ต่อทักษะและประสิทธิผลของหุ่นในนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา 2) เปรียบเทียบทักษะการใส่สายอาหารทางปากในทารกจากการใช้หุ่นนวัตกรรมการใส่สายยางอาหารทางปากในทารกกับเกณฑ์ร้อยละ 80 3) เปรียบเทียบประสิทธิผลหุ่นนวัตกรรมการใส่สายยางอาหารทางปากในทารก กับเกณฑ์ค่าเฉลี่ยในระดับดีขึ้นไป (&gt;3.50) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ก่อนฝึกปฏิบัติงานในรายวิชาปฏิบัติการเด็กและวัยรุ่น 1, 2 หอผู้ป่วยเด็กอ่อน โรงพยาบาลสงขลา หอผู้ป่วยกึ่งวิกฤตทารกแรกเกิดและหอผู้ป่วยอภิบาลทารกแรกเกิด โรงพยาบาลหาดใหญ่ จำนวน 49 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หุ่นฝึกการใส่สายยางอาหารทางปากในทารก 2) แบบประเมินประสิทธิผลนวัตกรรมหุ่นฝึกการใส่สายยางทางปากในทารก 3) แบบสอบถามประเมินทักษะพฤติกรรมการใส่สายยางทางปากในทารก ได้ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม และวัตถุประสงค์ ระหว่าง .67 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟา .77 และ .92 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมารตราฐาน ความถี่ และร้อยละ โดยใช้สถิติ One – sample T Test ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คะแนนเฉลี่ยทักษะการใส่สายอาหารทางปากในทารก หลังทดลองจากการใช้หุ่นนวัตกรรม</span><span style="font-size: 0.875rem;">การใส่สายยางอาหารทางปากในทารก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. คะแนนเฉลี่ยประสิทธิผลหุ่นนวัตกรรมการใส่สายยางอาหารทางปากในทารก อยู่ในระดับดีขึ้นไป (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.73, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.32) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p>ดังนั้นนวัตกรรมหุ่นฝึกทักษะการใส่สายอาหารทางปากในทารก สามารถนำไปใช้ในด้านวิชาการ การเรียนการสอนวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่นทั้งในภาคทดลองและภาคปฏิบัติ ตลอดจนการให้ผู้เรียนสามารถฝึกปฏิบัติได้ด้วยตนเอง</p> จิรารัตน์ พร้อมมูล, กฤติกา อินทรณรงค์, ชุติมา เพิงใหญ่, ชัญญานุช เครือหลี, ตวงพร มั่งมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277075 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบรูปแบบและต้นทุนการจัดบริการสุขภาพในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไปยังองค์การปกครอง ส่วนท้องถิ่นในเครือข่ายบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลลำปาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277965 <p>การวิจัยแบบผสมวิธีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และรูปแบบ 2) เปรียบเทียบต้นทุนการจัดบริการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเครือข่ายบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลลำปาง ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และรูปแบบการจัดบริการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง ในผู้รับผิดชอบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 11 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 <br />การเปรียบเทียบต้นทุนการจัดบริการ ศึกษาข้อมูลต้นทุนการจัดบริการและต้นทุนผู้ป่วยระดับรายบุคคลประกอบด้วย ต้นทุนค่าแรง ค่าวัสดุ และค่าครุภัณฑ์ ปีงบประมาณ 2567 โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลต้นทุน วิเคราะห์และนําเสนอข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. นโยบายการจัดบริการ การรับส่งต่อข้อมูลการให้บริการ บุคลากร การเบิกยาและเวชภัณฑ์</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่มิใช่ยา ผู้ป่วยประคับประคองเป็นไปในทิศทางเดียวกันระหว่างระหว่าง รพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ไป อปท. ทั้งนี้แม้ว่า ในช่วงแรกของการถ่ายโอนยังพบปัญหาด้านการประสานงาน แต่เมื่อมีการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระดับจังหวัด ทำให้การประสานงาน มีความคล่องตัวมากขึ้น </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">กิจกรรมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยประคับประคองจำนวน 148 คน อายุเฉลี่ย 71 ปี เป็นผู้ป่วยมีโรคเรื้อรังระดับปานกลาง ไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่ม รพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน ต้นทุนรวมเท่ากับ </span><span style="font-size: 0.875rem;">684,519.51 บาท มีต้นทุนค่าแรง ค่าลงทุน ค่าวัสดุ ร้อยละ 98.11, 1.59 และ 0.30 ตามลำดับ ต้นทุนผู้ป่วยต่อคน เท่ากับ 4,625.13 บาท ต้นทุนต่อครั้ง เท่ากับ 3,259.62 บาท และพบต้นทุนการให้บริการผู้ป่วยใน</span><span style="font-size: 0.875rem;">กลุ่มเสพติดที่ใช้ในการบรรเทาอาการปวดมีต้นทุนสูงสุด เท่ากับ 7,481.65 ต่อคน</span></p> <p>การทราบต้นทุนผู้ป่วยระดับรายบุคคลทำให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรในการจัดบริการ เพื่อเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรและปรับปรุงรูปแบบการจัดบริการในบริบทของโรงพยาบาลแม่ข่ายในสถานการณ์การถ่ายโอน รพ.สต. ไปยัง อปท. ต่อไป</p> วันวิสาข์ เทียมเย็น, นภชา สิงห์วีรธรรม, พัลลภ เซียวชัยสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277965 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 โปรแกรมการจัดการตนเองแบบสหวิทยาการต่อระดับการทำงานของข้อเข่าและการหกล้ม ในผู้สูงอายุที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมระยะต้นร่วมกับสูญเสียการทรงตัวระดับน้อย ในเขตพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277108 <p>การวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการจัดการตนเองแบบสหวิทยาการต่อระดับการทำงานของข้อเข่าและการหกล้มของผู้สูงอายุที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมระยะต้น ร่วมกับมีการสูญเสียการทรงตัวระดับน้อย จังหวัดอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุอายุระหว่าง 60 - 80 ปี จำนวน 84 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 42 คน ระยะเวลาดำเนินการ 20 สัปดาห์ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองแบบสหวิทยาการของ Lorig &amp; Holman ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับโปรแกรมสุขศึกษาและออกกำลังกายตามปกติ ประเมินความเจ็บปวดของข้อเข่า ความสามารถในการทำงานของข้อเข่า พฤติกรรมการจัดการตนเอง การทรงตัว ความกลัวการหกล้ม และพฤติกรรมป้องกันการหกล้ม วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Pair T Test สถิติ Independent T Test และสถิติ Two Ways Repeated ANOVA กำหนดระดับนัยสำคัญที่ .05 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองแบบสหวิทยาการ 8 สัปดาห์ และระยะติดตามผล 20 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความเจ็บปวดของข้อเข่า และคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการทำงาน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ของข้อเข่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการจัดการตนเอง </span><span style="font-size: 0.875rem;">การทรงตัว ความกลัวการหกล้ม และพฤติกรรมป้องกันการหกล้มเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองแบบสหวิทยาการ 8 สัปดาห์ และระยะติดตามผล 20 สัปดาห์ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยของคะแนนความเจ็บปวดของข้อเข่า และคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการทำงาน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ของข้อเข่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการจัดการตนเอง การทรงตัว ความกลัวการหกล้ม และ พฤติกรรมป้องกันการหกล้มเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม</span></p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้สรุปได้ว่าโปรแกรมการจัดการตนเองแบบสหวิทยาการสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการดูแลผู้สูงอายุเข่าเสื่อมที่มีความเสี่ยงต่อการหกล้มในชุมชนได้</p> ธนากร ธนวัฒน์, ศรัณยู เรือนจันทร์, จงรัก ดวงทอง, กิตติวรรณ จันทร์ฤทธิ์, ภาคภูมิ โชคทวีพาณิชย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277108 Sat, 26 Jul 2025 00:00:00 +0700 โมเดลสมการเชิงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ในองค์กร กับบรรยากาศนวัตกรรม ต่อผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรม ของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาล โรงพยาบาลตติยภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278325 <p>การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ในองค์กร บรรยากาศนวัตกรรม และผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรม 2) ทดสอบโมเดลสมการเชิงโครงสร้างความสัมพันธ์ทั้งสี่ตัวแปร และ 3) ศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมระหว่างตัวแปร กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาลโรงพยาบาลตติยภูมิ คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 311 คน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือวิจัย มี 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2-5 เป็นแบบสอบถามตัวแปรที่ศึกษา รวม 37 ข้อ แบบประเมินค่า 5 ระดับ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือได้ค่า CVI เท่ากับ .81 - .94 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .95 - .98 และค่าความตรงเชิงโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คะแนนเฉลี่ยการรับรู้ต่อตัวแปรทั้ง 4 ตัว อยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.12, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.46)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. โมเดลสมการเชิงโครงสร้างความสัมพันธ์ทั้ง 4 ตัวแปร มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">c</em><em style="font-size: 0.875rem;"><sup>2</sup></em><em style="font-size: 0.875rem;">/</em><em style="font-size: 0.875rem;">df</em><span style="font-size: 0.875rem;">) (CMIN/DF) = 0.24, </span><em style="font-size: 0.875rem;">GFI </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.99, </span><em style="font-size: 0.875rem;">AGFI </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.98, </span><em style="font-size: 0.875rem;">CFI</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 1.00, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SRMR </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.02, </span><em style="font-size: 0.875rem;">RMSEA </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.00)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรม (</span><em style="font-size: 0.875rem;">b</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .06) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง มีอิทธิพลทางอ้อมต่อผลการดำเนินงานด้านนวัตกรรมผ่านการเรียนรู้ในองค์กร </span><span style="font-size: 0.875rem;">(</span><em style="font-size: 0.875rem;">b</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .25) และผ่านบรรยากาศนวัตกรรม (</span><em style="font-size: 0.875rem;">b</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .43)</span></p> <p>การศึกษาครั้งนี้ เกิดองค์ความรู้ใหม่ในการยืนยันความสอดคล้องของโมเดลกับหลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ให้เห็นว่าสามารถนำมาใช้ได้จริงกับผู้บริหารทางการพยาบาลภาครัฐ จึงควรทดสอบและขยายการพัฒนาเครื่องมือวิจัยในโรงพยาบาลเอกชนเพื่อให้ครอบคลุมบริบทของการพยาบาลไทย</p> <p> </p> ศจีรัตน์ โกศล, เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย, กรรณิการ์ ฉัตรดอกไม้ไพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278325 Tue, 26 Aug 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นในเขตสุขภาพที่ 10 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278435 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะผู้นำดิจิทัลและวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น ในเขตสุขภาพที่ 10 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นที่ปฏิบัติงานในเขตสุขภาพที่ 10 จำนวน 210 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบวัดภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้ค่าความตรงระหว่าง .60 ถึง 1.00 และค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ .96 เก็บรวบรวมข้อมูลผ่าน Google Form สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น ในเขตสุขภาพที่ 10 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.67, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.66) ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านวิสัยทัศน์ดิจิทัล รองลงมา คือ ด้านคุณลักษณะของผู้นำดิจิทัล</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น ในเขตสุขภาพที่ 10 ประกอบด้วย </span><span style="font-size: 0.875rem;">5 องค์ประกอบ คือ 1) วิสัยทัศน์ดิจิทัล 2) ความรู้ความเข้าใจ และความสามารถทางดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) คุณลักษณะของผู้นำดิจิทัล 4) ทักษะทางวิทยาการสารสนเทศ และ 5) การพัฒนาระบบบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารดิจิทัล และองค์ประกอบเชิงยืนยันของภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้น มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พิจารณาได้จากค่าไคสแควร์เท่ากับ 165.06 ค่าที่องศาอิสระเท่ากับ 137 ค่าโอกาสความน่าจะเป็นเท่ากับ 0.051 ค่ารากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของความคลาดเคลื่อนโดยประมาณ 0.031 และ 0.013 มีค่าเข้าใกล้ 0 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนเท่ากับ 0.934 และดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้แล้วเท่ากับ 0.889 มีค่าเข้าใกล้ 1 และค่าสถิติไคสแควร์สัมพัทธ์เท่ากับ 1.200</span></p> <p>ดังนั้นผู้บริหารทางการพยาบาลระดับต้นในเขตสุขภาพที่ 10 สามารถนำผลวิจัยนี้มาใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมหรือพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วยวิสัยทัศน์ดิจิทัล ความรู้ความเข้าใจ และความสามารถทางดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศ คุณลักษณะของผู้นำดิจิทัล ทักษะทางวิทยาการสารสนเทศ และการพัฒนาระบบบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารดิจิทัล เพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์สุขภาพดิจิทัลของกระทรวงสาธารณสุข และการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธีระพรรณ์ สุรักษ์, กาญจนา ศรีสวัสดิ์, สังวรณ์ งัดกระโทก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278435 Mon, 15 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยใช้สื่อออนไลน์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูง โรงพยาบาลปทุมธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278795 <p>การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ สร้างและพัฒนารูปแบบ ทดลองใช้ และศึกษาประสิทธิผลของการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยใช้สื่อออนไลน์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูง โรงพยาบาลปทุมธานี การดำเนินงานแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสภาพการณ์ ปัญหา และความต้องการจากเจ้าหน้าที่ จำนวน 12 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบโดยอาศัยข้อมูลจากแบบบันทึกประวัติและการรักษาของผู้ป่วย รวมถึงการสนทนากลุ่ม ระยะที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบกับกลุ่มตัวอย่างหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยง จำนวน 30 ราย และระยะที่ 4 การประเมินผล เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ และแบบสนทนากลุ่ม โดยมีการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC) อยู่ระหว่าง .67 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .86 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนาและ Paired T Test ขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงประเด็น ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หญิงตั้งครรภ์ขาดความรู้และความเข้าใจในการดูแลตนเอง มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งขาดการสนับสนุนจากผู้ใกล้ชิด และบุคลากรทางการแพทย์มีข้อจำกัดด้านเวลาและแนวปฏิบัติใน</span><span style="font-size: 0.875rem;">การให้คำปรึกษา</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ได้รูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยใช้สื่อออนไลน์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูง</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่เรียกว่า AUDOI Model ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ การประเมินการเข้าถึง (Assessment) </span><span style="font-size: 0.875rem;">การสร้างความเข้าใจ (Understand) การถามไถ่แลกเปลี่ยน (Discussion) การยืนยันและสัญญาใจ (OK) และการปฏิบัติจริง (I Can Do)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ภายหลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า คะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .001</span></p> <p>ดังนั้นการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูง ควรใช้สื่อที่เหมาะสมกับบริบทของผู้ใช้ และควรพัฒนาให้สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีเนื้อหาที่เชื่อถือได้ และสอดคล้องกับความต้องการเฉพาะกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลตนเองและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น</p> นิธินันท์ ศิรบารมีสิทธิ์, วรงรอง เนลสัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278795 Mon, 15 Sep 2025 00:00:00 +0700 คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/279711 <p>การศึกษาเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสาน และเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสานจำแนกตามอายุ รายได้ สิทธิการรักษา รูปแบบการดูแลแบบผสมผสาน และระยะเวลาที่ใช้การดูแลแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสานในคลินิกแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จำนวน 175 คน คำนวณด้วยโปรแกรม G*Power คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ คือ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามการใช้การดูแลสุขภาพแบบผสมผสาน 3) แบบสอบถามระดับคุณภาพชีวิต ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่า CVI เท่ากับ .84 และทดสอบค่าความเที่ยงใช้สัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคได้ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ One-way ANOVA ทดสอบรายคู่ด้วยวิธี Scheffe ผลวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสานโดยรวมอยู่ในระดับ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.30, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.42)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสานที่มีรูปแบบการดูแลต่างกัน มีคุณภาพชีวิต</span><span style="font-size: 0.875rem;">แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">F</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.477, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .013) โดยผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสานในรูปแบบการบำบัดแบบชีวภาพ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 3.45, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.45) มีคะแนนคุณภาพชีวิตมากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบผสมผสานในรูปแบบการดูแลด้วยระบบร่างกายและจิตใจ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 3.22, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.42) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนตัวแปรอายุ รายได้ สิทธิการรักษา และระยะเวลาที่ใช้ในการดูแล</span><span style="font-size: 0.875rem;">ไม่แตกต่างกัน</span></p> <p>ดังนั้น หน่วยบริการด้านแพทย์ทางเลือกควรให้ข้อมูลและคำปรึกษาแก่ผู้ป่วยเพื่อให้สามารถเลือกใช้บริการการดูแลสุขภาพแบบผสมผสานได้หลายรูปแบบ</p> ทิพย์ศิริ สหวรพันธุ์, ธารินี นนทพุทธ, อารีรัตน์ นวลแย้ม, ปฐมามาศ โชติบัณ, ชลธร อินทรวรรโณ, ผาณิต หลีเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/279711 Fri, 19 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการกำกับตนเองในการเลิกยาของผู้ติดสารเสพติดประเภทแอมเฟตามีน โรงพยาบาลสุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/281119 <p>การศึกษากึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการกำกับตนเองในการเลิกยาของผู้ติดสารเสพติดประเภทแอมเฟตามีน โรงพยาบาลสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยในที่ติดสารเสพติดประเภทแอมเฟตามีน จำนวน 51 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจ ประกอบด้วย 10 กิจกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล และแบบสอบถามพฤติกรรมการกำกับตนเอง ได้ค่าความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาและวัตถุประสงค์ในแต่ละกิจกรรมระหว่าง .80 – 1.00 แบบประเมินพฤติกรรมการกำกับตนเองเพื่อการเลิกยาได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Wilcoxon Signed Rank Test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>หลังการทำกลุ่มบำบัดตามโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจผู้ติดสารเสพติดประเภทแอมเฟตามีน มีพฤติกรรมการกำกับตนเองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (<em>Z</em> = -6.216, <em>p-value </em>&lt; .001)</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจต่อพฤติกรรมการกำกับตนเองในการเลิกยาของผู้ติดสารเสพติดประเภทแอมเฟตามีน สามารถเพิ่มพฤติกรรมการกำกับตนเองในการเลิกใช้ยาแอมเฟตามีน จึงควรมีการนำโปรแกรมนี้ไปใช้ในหอผู้ป่วยในได้</p> วันเพ็ญ ทัดศรี, ดรุณี เอื้อพรปัญญา, วาสนา แก้วหล้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/281119 Fri, 19 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้ Line Official Account “Malnutrition” ต่อความรู้ ความพึงพอใจ และประสบการณ์ของผู้ดูแลเด็กวัยหัดเดินในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดนราธิวาส https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/280128 <p>การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ของผู้ดูแลระหว่างก่อนและหลังให้ความรู้ภาวะโภชนาการเด็กวัยหัดเดินผ่าน Line Official Account “Malnutrition” เพื่อประเมินความพึงพอใจการใช้ Line Official Account “Malnutrition” และเพื่อศึกษาประสบการณ์ของผู้ดูแลในการดูแลเด็กวัยหัดเดินให้มีภาวะโภชนาการปกติ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ดูแลเด็กวัยหัดเดิน จำนวน 27 คน จากศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 6 แห่งในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดนราธิวาส เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย Line Official Account “Malnutrition” แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลัง แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบสัมภาษณ์ประสบการณ์ของผู้ดูแลเด็กวัยหัดเดินที่มีภาวะโภชนาการปกติ เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .86 ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบความรู้เท่ากับ .83 (KR-20) และแบบสอบถามความพึงพอใจด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .89 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนาและ Paired t-test และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า </p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ความรู้ของผู้ดูแลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังการใช้งาน (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001) โดยมีคะแนนเฉลี่ยจาก 6.11 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 1.36) เพิ่มเป็น 7.96 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 1.31)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความพึงพอใจต่อการใช้งาน Line Official Account “Malnutrition” อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะด้านการนำเนื้อหาไปใช้จริง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.93, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.26)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผู้ดูแลมีประสบการณ์ในการดูแลเด็กวัยหัดเดินให้มีภาวะโภชนาการปกติ มีการดูแลการจัดอาหาร การสังเกตพฤติกรรมการกิน และการใช้เทคโนโลยีที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง</span></p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Line Official Account “Malnutrition” เป็นสื่อดิจิทัลที่สามารถใช้คัดกรองภาวะโภชนาการของเด็กวัยหัดเดินผ่านการกรอกข้อมูลด้านน้ำหนัก ส่วนสูง อายุ และเพศ ซึ่งสามารถประเมินและแปลผลออกมาได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งให้คำแนะนำด้านโภชนาการที่เหมาะสมแก่ผู้ดูแล</p> ฮัมดี มาแย, กีรติ บินอุมา, จิรัชญา นบนุ่น, ซารีนา สร้อยสน, อนันต์ มรรคาเขตต์, ศิขรินทร์ พรหมประทีป ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/280128 Mon, 22 Sep 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้รูปแบบบริการตามแนวคิดลีนต่อระยะเวลาการรับบริการและความพึงพอใจ ของผู้ให้บริการและผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่มารับเลือดแบบวันเดียวกลับบ้าน โรงพยาบาลสุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/280010 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบบริการตามแนวคิดลีนต่อระยะเวลาการรับบริการและความพึงพอใจของผู้ให้บริการและผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่มารับเลือดแบบวันเดียวกลับบ้าน โรงพยาบาลสุรินทร์ จำนวน 30 ราย ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการให้บริการแก่ผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่มารับเลือดแบบวันเดียวกลับบ้าน โรงพยาบาลสุรินทร์ 2) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ดูแลต่อการให้บริการ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของผู้ให้บริการ และ 4) แบบบันทึกระยะเวลาแต่ละขั้นตอนในการให้บริการได้ค่าดัชนีความตรงของเนื้อหาเท่ากับ 1.00 และแบบประเมินชุดที่ 2 และ 3 ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .87 และ .89 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติ Paired t-test ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังการทดลอง ผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่มารับเลือดแบบวันเดียวกลับบ้าน โรงพยาบาลสุรินทร์ มีระยะเวลาการรับบริการน้อยกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 รวมรอบเวลาทั้งหมด</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ใช้ในกระบวนการจากจุดเริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการให้บริการ (Total Turnaround Time: TAT) ลดลงจาก 852.30 นาที (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD = </em><span style="font-size: 0.875rem;">831) เหลือ 755.70 นาที (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 78.391)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง ผู้ให้บริการผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่มารับเลือดแบบ</span><span style="font-size: 0.875rem;">วันเดียวกลับบ้าน โรงพยาบาลสุรินทร์มีคะแนนความพึงพอใจไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ก่อนการทดลองและหลังการทดลอง ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็กโรคธาลัสซีเมียที่มารับเลือดแบบวันเดียวกลับบ้าน โรงพยาบาลสุรินทร์มีคะแนนความพึงพอใจไม่แตกต่างกัน</span></p> <p>ควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลพิจารณาขยายผลการประยุกต์ใช้แนวคิดลีนไปยังหน่วยบริการอื่น เช่น แผนกเจาะเลือด แผนกตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยต่อไป</p> ภัทราวดี ประทีปรัตชวาลย์, รศิกาญจน์ พลจำรัสพัชญ์, สุภัทรา หอมพิลา, ณวริษฐ์ พีระถาวรวิทย์, ภาวิณี แพงสุข, ชลดา กิ่งมาลา, ยุภาดา มะลิลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/280010 Wed, 01 Oct 2025 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบรูปแบบและต้นทุนการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงภายใต้เครือข่ายบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลลำปางระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278656 <p>การวิจัยแบบผสมวิธีมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และรูปแบบบการดูแลผู้สูงอายุ 2) เปรียบเทียบต้นทุนการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง ระหว่าง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไปองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง ใช้วิธีเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 6 คน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 การเปรียบเทียบต้นทุนการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง ใช้วิธีเชิงปริมาณ โดยศึกษาข้อมูลต้นทุนรายกิจกรรมมุมมองผู้ให้บริการ ปีงบประมาณ 2567 ประกอบด้วย ต้นทุนค่าแรง ค่าวัสดุ และค่าครุภัณฑ์โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลต้นทุน วิเคราะห์และนําเสนอข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สถานการณ์และรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงมีแนวทางการดำเนินงานที่คล้ายคลึงกัน ระหว่างรพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไป อปท. โดยได้รับการสนับสนุนด้านบุคลากรจากโรงพยาบาลแม่ข่าย ใช้โปรแกรมการส่งต่อและติดตามข้อมูลผู้ป่วย ผ่านระบบผู้ป่วยดูแลต่อเนื่องที่บ้านเพียงแต่ในช่วงระยะแรกของการถ่ายโอนมีข้อจำกัดในด้านการสนับสนุนทรัพยากรสำหรับการดูแลผู้ป่วยจากโรงพยาบาลแม่ข่าย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กิจกรรมเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุติดเตียงจำนวน 299 คน อายุเฉลี่ย 74 ปี ต้นทุนทางตรงการดูแลผู้สูงอายุติดเตียงของ รพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน มีค่ามัธยฐานต้นทุนต่อหน่วย 2,240.48 และ 2,228.24 บาทต่อคน ตามลำดับ ต้นทุนรายกิจกรรมเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุติดเตียงกลุ่มสีเขียวมี 4 กิจกรรม รพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน มีค่ามัธยฐาน ระหว่าง 167.24 – 1,003.46 และ 164.72 – 1,250.12 บาทต่อคน ตามลำดับ กลุ่มสีเหลืองมี 13 กิจกรรม รพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน มีค่ามัธยฐาน ระหว่าง 76.97 – 461.81 </span><span style="font-size: 0.875rem;">และ 72.34 – 434.07 บาทต่อคนตามลำดับ และกลุ่มสีแดงมี 15 กิจกรรม รพ.สต. ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน</span><span style="font-size: 0.875rem;">มีค่ามัธยฐาน ระหว่าง 64.73 – 424.73 และ 64.29 – 424.29 บาทต่อคน ตามลำดับ</span></p> <p>ข้อมูลต้นทุนรายกิจกรรมในการดูแลผู้สูงอายุติดเตียง มีส่วนในการพิจารณาการจัดสรรทรัพยากรและบริหารต้นทุนได้อย่างเหมาะสมตามรายละเอียดกิจกรรมการจัดบริการที่มีความซับซ้อนตามลักษณะของผู้สูงอายุติดเตียงให้เกิดประโยชน์สูงสุด</p> สุภสันต์ บุตรตาคำ, นภชา สิงห์วีรธรรม, พัลลภ เซียวชัยสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278656 Wed, 01 Oct 2025 00:00:00 +0700