วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet <p>วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ (SC-Net) จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขในเขตภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ยะลา และวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลาและตรัง รับบทความเกี่ยวกับการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ออกปีละ 3 ฉบับ</p> วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา th-TH วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ 2985-1750 <p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารเครือข่าย วิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการหรือเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้</p> ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความเชื่อมั่นในตนเอง และพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพในผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/269665 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพในผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าการวิจัย สุ่มเข้ากลุ่มอย่างง่าย จำนวน 32 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 16 คน ซึ่งกลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมฯ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของแบนดูรา (1997) ระยะเวลา 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความเชื่อมั่นในตนเอง และแบบสอบถามพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพ มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .87 และ .92 ตามลำดับ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และ 2) คู่มือฟื้นฟูสภาพหลังผ่าตัด ผ่านการพิจารณาผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 1.0 และ 1.0 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-Square test สถิติ Dependent t-test และ สถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= -5.50, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.001; </span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= -4.84,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.001 ตามลำดับ)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 2.76, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">=.010; </span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.09, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">=.004 ตามลำดับ)</span></p> <p>แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ทำให้ผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน เกิดความเชื่อมั่นในตนเองและมีพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพที่เหมาะสม</p> รติณัฏฐ์ แสงประสิทธิ์ อรรถวิทย์ จันทร์ศิริ ศุภนารี เกษมมาลา Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-05-28 2024-05-28 11 3 e269665 e269665 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในชุมชน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/268776 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดก่อน-หลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในชุมชนระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารและกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงวัยผู้ใหญ่ที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ และกลุ่มศึกษา กลุ่มละ 20 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เครื่องมือดำเนินการศึกษาคือโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนที่ 2 เครื่องมือรวบรวมข้อมูล คือ แบบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความรอบรู้ด้านอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ซึ่งได้แบบรวบรวมข้อมูลได้ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 6 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.0 และได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .80 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติ Paired t–test และ independent t–test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ภายหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารกลุ่มเปรียบเทียบมีคะแนนความรอบรู้ด้านอาหารสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. คะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารภายหลังได้รับโปรแกรมของกลุ่มเปรียบเทียบสูงกว่ากลุ่มศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .029)</span></p> <p>ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางให้พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนและทีมสุขภาพนำโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารไปใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในชุมชนพื้นที่อื่น ๆ ได้</p> พิริพัฒน์ เตชะกันทา เดชา ทำดี นพมาศ ศรีเพชรวรรณดี Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-16 2024-06-16 11 3 e268776 e268776 ความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองเชิงธุรกิจและมุมมองการตลาดของหัวหน้าหอผู้ป่วยกับ คุณภาพการบริหารการพยาบาล โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เขตสุขภาพที่ 2 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/267916 <p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบสหสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับมุมมองเชิงธุรกิจ 2) ระดับมุมมองการตลาด 3) ระดับคุณภาพการบริหารการพยาบาล 4) ความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองเชิงธุรกิจกับคุณภาพการบริหารการพยาบาล และ 5) ความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองการตลาดกับคุณภาพการบริหารการพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างคือหัวหน้าหอผู้ป่วยที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปเขตสุขภาพที่ 2 จำนวน 124 คน ใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วนคือ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) มุมมองเชิงธุรกิจ 3) มุมมองการตลาด และ 4) คุณภาพการบริหารการพยาบาล ความตรงของเนื้อหาตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่า IOC เท่ากับ .67 – 1.00 ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .97, .96 และ .97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. มุมมองเชิงธุรกิจโดยรวมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.26, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.47)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. มุมมองการตลาดโดยรวมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.23,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.52)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. คุณภาพการบริหารการพยาบาลโดยรวมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.19,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.47)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">4. มุมมองเชิงธุรกิจมีความสัมพันธ์กับคุณภาพการบริหารการพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่วยในทางบวกระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .73, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.01)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">5. มุมมองการตลาดมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงกับคุณภาพการบริหารการพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่วย (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .82, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.01)</span></p> <p>ดังนั้นองค์กรพยาบาลสามารถนำผลการวิจัยครั้งนี้ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการขยายผลและต่อยอด เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้บริหารทางการพยาบาลมีความรู้ ทักษะ มุมมองเชิงธุรกิจ และมุมมองการตลาด นำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารการพยาบาลนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลให้มีคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการพยาบาลให้สอดคล้องตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข</p> ทวี แก้วต่าย ภัทรมนัส พงศ์รังสรรค์ จรรจา สันตยากร Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-16 2024-06-16 11 3 e267916 e267916 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/269502 <p>การวิจัยเชิงบรรยายแบบหาความสัมพันธ์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางดินอาหารส่วนต้น ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จำนวน 74 คน คัดเลือกด้วยวิธีการแบบสุ่มแบบง่ายโดยใช้ตารางเลขสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวม คือแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลความเจ็บป่วย แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น ซึ่งมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา เท่ากับ .99 และ .99 ตามลำดับ แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ 6 ด้าน มีค่าความเชื่อมั่นในแต่ละด้าน เท่ากับ .93, .82, .82, .81, .88 และ .81 ตามลำดับ ความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ เท่ากับ .81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น อยู่ในระดับเพียงพอและอาจจะมีการปฏิบัติตนถูกต้องบ้าง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 61.34, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 12.62) และพฤติกรรมสุขภาพ อยู่ในระดับปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 70.09, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 6.87)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .340)</span></p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น และเป็นข้อมูลสำหรับการวิจัยในลำดับต่อไป เพื่อศึกษา/จัดทำใช้เป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นและพัฒนาด้านงานวิจัยเพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและยั่งยืนต่อไป</p> อรัญญา ชัยธวัชวิบูลย์ สุพัตรา บัวที Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-17 2024-06-17 11 3 e269502 e269502