วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet <p>วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ (SC-Net) จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขในเขตภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ยะลา และวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลาและตรัง รับบทความเกี่ยวกับการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ออกปีละ 3 ฉบับ</p> วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา th-TH วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ 2985-1750 <p>1. บทความหรือข้อคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารเครือข่าย วิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ ที่เป็นวรรณกรรมของผู้เขียน บรรณาธิการหรือเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย</p> <p>2. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้</p> ผลของการใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัดต่อความปวดและสัญญาณชีพของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดช่องท้องที่ได้รับการใส่เครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/274270 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิด 2 กลุ่ม วัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของการใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัดต่อความปวดและสัญญาณชีพของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดช่องท้องที่ได้รับการใส่เครื่องช่วยหายใจ ที่มารับการรักษาที่หอผู้ป่วยหนักโรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายตามคุณสมบัติที่กำหนดแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 35 ราย กลุ่มควบคุมไม่ใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัด กลุ่มทดลองใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัด ครั้งละ 30 นาที วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย มาตรวัดความปวดด้วยสายตา (Visual Analogue Scale [VAS]) ของเมลแซค และประเมินสัญญาณชีพ 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ก่อนทดลอง ครั้งที่ 2 หลังใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัด 30 นาที ครั้งที่ 3 วันที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา Mixed model ANOVA, Mann Whitney U test, One-way Repeated Measures ANOVA และ Friedman test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ระดับความปวด ความดันโลหิตซิสโตลิกและความดันโลหิตไดแอสโตลิกในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดช่องท้องระหว่างกลุ่มทดลองที่ใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัดมีความแตกต่างกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ใช้</span><span style="font-size: 0.875rem;">แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ระดับความปวดและสัญญาณชีพในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดช่องท้อง กลุ่มที่ใช้แอปพลิเคชัน</span><span style="font-size: 0.875rem;">คลื่นเสียงบำบัด หลังการใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัดมีระดับความปวดและสัญญาณชีพลดลงกว่าก่อนการใช้แอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแอปพลิเคชันคลื่นเสียงบำบัดสามารถนำมาใช้ในการลดระดับความปวดและสัญญาณชีพในผู้ป่วยหลังการผ่าตัดช่องท้องได้</p> สุรีรัตน์ ณ วิเชียร ดวงใจ พรหมพยัคฆ์ จักรกริช กล้าผจญ ฑิตยา วัฒนสมบัติศิริ Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-05 2025-02-05 12 2 e274270 e274270 ผลของรูปแบบการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/274368 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานของวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงจากโรงเรียนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 100 คน กลุ่มทดลอง จำนวน 50 คน กลุ่มควบคุม จำนวน 50 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในเด็กวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง คู่มือบันทึกสุขภาพ I Can DO แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพและแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกัน<br />การเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ตรวจสอบความตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนี<br />ความสอดคล้องรายข้ออยู่ระหว่าง .67 - 1.00 และการหาความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของ<br />ครอนบาค เท่ากับ .80 และ .82 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Paired t-test และ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลังการใช้รูปแบบฯ สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 11.10, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt; .001, </span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 6.16, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001) ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 หลังการใช้รูปแบบฯ กลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 5.56, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001, </span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.80,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001) ตามลำดับ</span></p> <p>รูปแบบการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงได้ ซึ่งจะส่งผลให้วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวานกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> รวิวรรณ คำเงิน อำนวย ธัญรัตนศรีสกุล กิจติยา รัตนมณี ศราวุธ เรืองสวัสดิ์ ปภาสินี แซ่ติ๋ว จตุพร จันทร์ทิพย์วารี ธนิดา ทีปะปาล รัชฎาภรณ์ จันทร์แจ้ง วัชรพงษ์ กุลศิริ Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-11 2025-02-11 12 2 e274368 e274368 ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยแถบยางยืดตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมต่อความดันโลหิต เส้นรอบเอว ค่าดัชนีมวลกาย และความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด ในบุคคลที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/274462 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่มวัดผลก่อน-หลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบค่าความดันโลหิต เส้นรอบเอว ดัชนีมวลกาย และความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดในบุคคลที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยแถบยางยืดตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมและกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือบุคคลอายุ 35 - 60 ปี ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด จำนวน 48 คน แบ่งเป็นกลุ่มศึกษาและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 24 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและข้อมูลด้านสุขภาพ เครื่องมือในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยแถบยางยืดตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม แบบประเมินความพร้อมในการออกกำลังกาย แบบบันทึกความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด แบบบันทึกการออกกำลังกาย แถบยางยืด และเครื่องมือประเมินผลลัพธ์ทางสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired t-test, Independent t-test, Wilcoxon Signed Rank Test, McNemar Test และ Chi-square Test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังการได้รับโปรแกรมกลุ่มศึกษามีค่าความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = -3.424, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001 และ </span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= -3.903, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001 ตามลำดับ) ส่วนเส้นรอบเอว ดัชนีมวลกาย ความทนทานของหัวใจและหลอดเลือด เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนได้รับโปรแกรม พบว่าไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. หลังการได้รับโปรแกรมฯกลุ่มศึกษามีค่าความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิก เส้นรอบเอว และความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างไม่มีนัยสำคัญ</span></p> <p>โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยแถบยางยืดตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคมสามารถลดความดันโลหิตในกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ และทำให้เส้นรอบเอว และความทนทานของหัวใจและหลอดเลือดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น</p> สุภาภรณ์ จองคำอาง จิตนธี ริชชี่ Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-02-22 2025-02-22 12 2 e274462 e274462 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมคุณลักษณะจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลยุคใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275136 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาคุณลักษณะจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลยุคใหม่ 2) สร้างรูปแบบการส่งเสริมคุณลักษณะจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลยุคใหม่ และ 3) ประเมินรูปแบบการส่งเสริมคุณลักษณะจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลยุคใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเขตภาคเหนือดำเนินการ 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพและปัญหา กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพยาบาล จำนวน 248 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถามความคิดเห็นสภาพและ ปัญหา ระยะที่ 2 สร้างรูปแบบ แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนย่อย ได้แก่ ประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อร่างรูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน และสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสมของรูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน ระยะที่ 3 ประเมินรูปแบบ เพื่อประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ โดยการสัมมนาประชาพิจารณ์ ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 30 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลยุคใหม่ พบว่า ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.39, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.64) ด้านที่มีการปฏิบัติมากที่สุด คือ อัตลักษณ์ทางวิชาชีพพยาบาล (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.54, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .61) ส่วนปัญหาที่พบมากที่สุด คือนักศึกษาขาดการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสังคม (ร้อยละ 26.56)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. รูปแบบคุณลักษณะจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลยุคใหม่ มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่</span><span style="font-size: 0.875rem;">1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) ปัจจัยนำเข้า 4) กระบวนการส่งเสริมคุณลักษณะจิตสาธารณะ ซึ่งมี </span><span style="font-size: 0.875rem;">4 แนวทาง ประกอบด้วย เลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย มีแบบอย่างจากบุคคลสำคัญ สร้างแรงจูงใจทางบวก และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมกิจกรรมสังคม โดยพัฒนานักศึกษาพยาบาลผ่าน 3 แหล่งเรียนรู้ ได้แก่ การศึกษาในห้องเรียน การฝึกปฏิบัติสถานการณ์จริงในแหล่งฝึกปฏิบัติ และการลงพื้นที่ในชุมชน </span><span style="font-size: 0.875rem;">5) ผลผลิต 6) ผลลัพธ์ 7) ผลกระทบ และ 8) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผลการประเมินรูปแบบพบว่ามีความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.80, 4.77; </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.37, 0.43) ตามลำดับ</span></p> <p>สถาบันการศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานักศึกษา สามารถนำรูปแบบไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมคุณลักษณะด้านจิตสาธารณะของนักศึกษาพยาบาลให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏในภาคอื่นโดยบูรณาการกับการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมเสริมหลักสูตรได้</p> ตุลนาฒ ทวนธง ปาจรีย์ ผลประเสริฐ Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-14 2025-03-14 12 2 e275136 e275136 องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนในภาวะพลิกผัน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275540 <p>การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนในภาวะพลิกผัน สำหรับนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต กลุ่มตัวอย่างเป็นหัวหน้าและรองหัวหน้าพยาบาลประจำหอผู้ป่วยหรือแผนกผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนใน 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 500 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามคุณลักษณะสำคัญของภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนในภาวะพลิกผันที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ได้ค่าความตรงระหว่าง .67 - 1.00 และค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาคเท่ากับ .98 เก็บรวบรวมข้อมูลผ่าน Google Form สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) สกัดปัจจัยด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก ใช้วิธีหมุนแกนองค์ประกอบแบบตั้งฉากด้วยวิธีแวริแมกซ์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนในภาวะพลิกผันสำหรับนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ 46 ตัวบ่งชี้ ประกอบด้วย 1) การจัดการความรู้ 11 ตัวบ่งชี้ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง 0.608 - 0.730 2) สมรรถนะทางวัฒนธรรม 9 ตัวบ่งชี้ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง 0.648 - 0.758 3) ความท้าทายเชิงปรับเปลี่ยน 10 ตัวบ่งชี้ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง 0.502 – 0.659 4) ความสามารถในการฟื้นคืนกลับ 8 ตัวบ่งชี้ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง 0.535 - 0.685 และ 5) ความสามารถในการคาดการณ์อนาคต 8 ตัวบ่งชี้ ค่าน้ำหนักองค์ประกอบระหว่าง 0.541 - 0.764 ทั้ง 5 องค์ประกอบสามารถอธิบายค่าความแปรปรวนได้ร้อยละ 55.72, 4.79, 4.15, 2.58 และ 2.28 ตามลำดับ ค่าความแปรปรวนสะสมร้อยละ 69.514 โดยมีค่าไอเกนอยู่ระหว่าง 1.140 - 27.860</p> <p>ดังนั้นสถาบันการศึกษาพยาบาลสามารถนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ไปเป็นแนวทางในการออกแบบการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำการปรับเปลี่ยนในภาวะพลิกผันสำหรับนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต</p> สุไฮดาร์ แวเตะ ชวลิต เกิดทิพย์ Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-21 2025-03-21 12 2 e275554 e275554 ผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับระบบสุขภาพทางไกล ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/274766 <p>การวิจัยเชิงกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับระบบสุขภาพทางไกลในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง เปรียบเทียบพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ของกลุ่มทดลองก่อนและหลังใช้โปรแกรมฯ และระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบหลังใช้โปรแกรมฯ โดยกลุ่มตัวอย่างคือกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง อายุ 35 - 59 ปี จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 30 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับระบบสุขภาพทางไกล ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยประยุกต์ใช้แนวคิดพรีสีด และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไป และ 2) พฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โดยโปรแกรมฯ และแบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา .92 และ .95 ตามลำดับ และแบบสอบถามมีค่าความเที่ยง .71 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และสถิติทีชนิดไม่อิสระและสถิติทีชนิดอิสระ ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังใช้โปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงโดยรวม</span><span style="font-size: 0.875rem;">สูงกว่าก่อนใช้โปรแกรมฯ และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. หลังใช้โปรแกรมฯ กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิตซิสโตลิกและระดับความดันโลหิต</span><span style="font-size: 0.875rem;">ไดแอสโตลิคลดลงกว่าก่อนใช้โปรแกรมฯ และลดลงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p>จากผลการศึกษานี้จึงควรนำโปรแกรมพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับระบบสุขภาพทางไกลประยุกต์ใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ ต่อไป</p> สรารัตน์ สุมาศรี นภาเพ็ญ จันทขัมมา พิมพ์รัตน์ ธรรมรักษา Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-22 2025-03-22 12 2 e274766 e274766 ประสบการณ์ภาวะผู้นำสำหรับการบริหารคนเก่งของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาล ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/275061 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฎการณ์วิทยานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายและคุณลักษณะภาวะผู้นำสำหรับการบริหารคนเก่งของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาลในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงโดยใช้วิธีลูกโซ่ ผู้ให้ข้อมูล คือผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาลที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารการพยาบาล จำนวน 10 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และวิเคราะห์ข้อมูลตามแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลของโคไลซี ตรวจสอบคุณภาพข้อมูลใช้วิธีการแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. การให้ความหมายภาวะผู้นำสำหรับการบริหารคนเก่งของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาล สรุปได้ 4 ด้าน ได้แก่ 1) การมีภาวะผู้นำแบบมีส่วนร่วม 2) การเป็นผู้นำที่สามารถใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี 3) การเป็นผู้จัดการสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน และ 4) การเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. คุณลักษณะภาวะผู้นำสำหรับการบริหารคนเก่งของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาล สรุปได้ </span><span style="font-size: 0.875rem;">5 ด้าน ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์เชิงสร้างสรรค์ 2) การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม 3) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) การสนับสนุนความก้าวหน้าและการพัฒนา และ 5) การมีทักษะด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์แนวใหม่</span></p> <p>การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ภาวะผู้นำสำหรับการบริหารคนเก่งของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาลเป็นเรื่องใหม่จึงจำเป็นต้องมีการขยายความรู้ต่อทั้งในวิธีคุณภาพและปริมาณเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนสำหรับศาสตร์การบริหารทางการพยาบาล สามารถนำไปประยุกต์เป็นแนวทางการพัฒนาเครื่องมือเชิงปริมาณเพื่อใช้วัดภาวะผู้นำสำหรับการบริหารคนเก่งของผู้บริหารระดับต้นทางการพยาบาลในองค์กรต่อไป</p> ดาวลอย กาญจนมณีเสถียร เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-23 2025-03-23 12 2 e275061 e275061 ผลการรักษาแบบการแพทย์ทางไกลผ่านการวีดีโอคอลต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานไทยมุสลิม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/276637 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้เพื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานไทยมุสลิม อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ระหว่างกลุ่มที่รักษาแบบการแพทย์ทางไกล และกลุ่มที่รักษาด้วยการพบแพทย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มารับบริการในในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 102 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ การรักษาแบบการแพทย์ทางไกล และการรักษาด้วยการพบแพทย์ แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบบันทึกระดับน้ำตาลสะสมในเลือด ได้ค่าเที่ยงตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .91 และค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .778 วิเคราะห์โดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ Chi-square สถิติ Fisher’s Exact Test สถิติ Mann-whitney U Test สถิติ Independent T Test สถิติ Dependent T Test และ สถิติ Wilcoxon Signed Rank Test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กลุ่มที่รักษาด้วยการพบแพทย์ พบว่าหลังการทดลองคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองภาพรวม เพิ่มขึ้นและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, .01 และ .001 ส่วนพฤติกรรมด้านการจัดการความเครียด มีคะแนนก่อนและหลังการทดลองไม่แตกต่างกัน สำหรับกลุ่มที่รักษาแบบการแพทย์ทางไกล พบว่าหลังการทดลองคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองภาพรวม เพิ่มขึ้นและระดับน้ำตาลสะสมในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, .01 และ .001 ส่วนด้านการรับประทานอาหาร ด้านการจัดการความเครียด และด้านการดูแลรักษาต่อเนื่อง พบว่าก่อนและหลังการทดลองไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. หลังการทดลอง พบว่ากลุ่มที่รักษาด้วยการพบแพทย์ ทั้งคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองภาพรวมและรายด้านมากกว่ากลุ่มที่รักษาแบบการแพทย์ทางไกล เช่นเดียวกับระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มที่รักษาด้วยการพบแพทย์น้อยกว่ากลุ่มที่รักษาแบบการแพทย์ทางไกล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05, .01 และ .001</span></p> <p>ดังนั้นควรนำรูปแบบการรักษาทั้ง 2 วิธีไปใช้ในการรักษาผู้ป่วยควบคู่กันไปเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ผู้ป่วยได้พบแพทย์อย่างใกล้ชิด เกิดความมั่นใจต่อการรักษา ลดการเดินทาง และลดการแออัดในโรงพยาบาล</p> จุไรรัตน์ สกุลจีน Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-03-24 2025-03-24 12 2 e276637 e276637 การเปรียบเทียบการจัดสรรค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุขกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลก่อนและหลังถ่ายโอนไปองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/276569 <p>การวิจัยผสมวิธีนี้เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์และเปรียบเทียบสัดส่วนการจัดสรรค่าใช้จ่ายบริการสาธารณสุขกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ 2) เปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยการจัดบริการสาธารณสุขของ รพ.สต. ก่อนและหลังถ่ายโอนไปองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ดำเนินการ 2 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสถานการณ์และเปรียบเทียบสัดส่วนการจัดสรรค่าใช้จ่ายเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยคัดเลือก รพ.สต. แบบเฉพาะเจาะจงตามขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จำนวน 3 แห่ง และคัดเลือกผู้รับผิดชอบเงินค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข จำนวน 10 คน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณใช้แบบบันทึกจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้จำนวนและร้อยละ ขั้นตอน ที่ 2 การเปรียบเทียบต้นทุนต่อหน่วยการจัดบริการสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2565 และ 2566 ประกอบด้วยข้อมูลต้นทุนค่าแรง ค่าวัสดุ และค่าครุภัณฑ์ โดยใช้แบบเก็บข้อมูลต้นทุนจัดบริการสาธารณสุขในระดับปฐมภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลโดยจำนวน ร้อยละ และค่าเฉลี่ย ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สถานการณ์การจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขก่อนถ่ายโอน ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของคู่สัญญาบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิที่มีการจัดสรรเป็นตัวเงิน เวชภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์มิใช่ยา หลังถ่ายโอนการจัดสรรเป็นไปตามข้อตกลงของคณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ (กสพ.) มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการจัดสรรเงิน เช่น โอนตรงจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในกลุ่มการจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&amp;P) หลังการถ่ายโอน มูลค่าการจัดสรรยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาลดลง 13,140.63 - 160,643.74 บาท (ร้อยละ 8.97 - 17.95) แต่มูลค่าเงินได้รับจัดสรรจาก สปสช. เพิ่มขึ้น 26,506.25 – 1,540,597.27 บาท (ร้อยละ 57.10 – 329.10) </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ต้นทุนรวมการจัดบริการสาธารณสุขก่อนถ่ายโอน 13,279,044.06 บาท หลังถ่ายโอน 12,992,762.78 บาท หลังถ่ายโอนต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้น 893,622 บาท (ร้อยละ 10.25) ต้นทุนต่อหน่วยของกิจกรรมส่วนใหญ่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เช่น การส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ ก่อนการถ่ายโอน มีค่าเฉลี่ยต้นทุน เท่ากับ 1,183.16 บาท และหลังการถ่ายโอนมีค่าเฉลี่ยต้นทุนเท่ากัน 1,810.97 บาท</span></p> <p>รูปแบบการจัดสรรอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านของการถ่ายโอนที่ควรมีการเฝ้าระวังต้นทุนการจัดบริการสาธารณสุข โดยควบคุมและติดตามต้นทุนให้อยู่ในระดับมาตรฐานตามขนาดของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางงบประมาณและการจัดบริการในสถานบริการต่อไป</p> ชญานภัส กิตติธรกุล นภชา สิงห์วีรธรรม Copyright (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-07 2025-04-07 12 2 e276569 e276569