https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/issue/feed วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ 2024-08-13T13:06:30+07:00 Asst. Prof. Dr. Kittiporn Nawsuwan jock2667@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ (SC-Net) จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขในเขตภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ยะลา และวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลาและตรัง รับบทความเกี่ยวกับการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ออกปีละ 3 ฉบับ</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/269665 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความเชื่อมั่นในตนเอง และพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพในผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน 2024-03-22T18:14:36+07:00 รติณัฏฐ์ แสงประสิทธิ์ Jamratinut@gmail.com อรรถวิทย์ จันทร์ศิริ utthawit_j@payap.ac.th ศุภนารี เกษมมาลา supa_kmala@hotmail.com <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะแห่งตนต่อความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพในผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าการวิจัย สุ่มเข้ากลุ่มอย่างง่าย จำนวน 32 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 16 คน ซึ่งกลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมฯ โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของแบนดูรา (1997) ระยะเวลา 4 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความเชื่อมั่นในตนเอง และแบบสอบถามพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพ มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .87 และ .92 ตามลำดับ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และ 2) คู่มือฟื้นฟูสภาพหลังผ่าตัด ผ่านการพิจารณาผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีตรงตามเนื้อหา เท่ากับ 1.0 และ 1.0 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-Square test สถิติ Dependent t-test และ สถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= -5.50, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.001; </span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= -4.84,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.001 ตามลำดับ)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในตนเองและพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 2.76, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">=.010; </span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.09, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">=.004 ตามลำดับ)</span></p> <p>แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตน ทำให้ผู้ป่วยกระดูกขาหักที่ได้รับการผ่าตัดใส่โลหะยึดตรึงภายใน เกิดความเชื่อมั่นในตนเองและมีพฤติกรรมการฟื้นฟูสภาพที่เหมาะสม</p> 2024-05-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/268776 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในชุมชน 2024-04-30T20:46:33+07:00 พิริพัฒน์ เตชะกันทา piripat_t@cmu.ac.th เดชา ทำดี decha.t@cmu.ac.th นพมาศ ศรีเพชรวรรณดี noppamas.p@cmu.ac.th <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบ 2 กลุ่ม วัดก่อน-หลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในชุมชนระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารและกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงวัยผู้ใหญ่ที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มเปรียบเทียบ และกลุ่มศึกษา กลุ่มละ 20 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เครื่องมือดำเนินการศึกษาคือโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ส่วนที่ 2 เครื่องมือรวบรวมข้อมูล คือ แบบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความรอบรู้ด้านอาหาร และแบบสอบถามพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ซึ่งได้แบบรวบรวมข้อมูลได้ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 6 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.0 และได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .80 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติ Paired t–test และ independent t–test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ภายหลังได้รับโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารกลุ่มเปรียบเทียบมีคะแนนความรอบรู้ด้านอาหารสูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. คะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารภายหลังได้รับโปรแกรมของกลุ่มเปรียบเทียบสูงกว่ากลุ่มศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .029)</span></p> <p>ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางให้พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนและทีมสุขภาพนำโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านอาหารไปใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในชุมชนพื้นที่อื่น ๆ ได้</p> 2024-06-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/267916 ความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองเชิงธุรกิจและมุมมองการตลาดของหัวหน้าหอผู้ป่วยกับ คุณภาพการบริหารการพยาบาล โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เขตสุขภาพที่ 2 2024-04-30T20:52:33+07:00 ทวี แก้วต่าย kaewtai2509@gmail.com ภัทรมนัส พงศ์รังสรรค์ kaewtai2509@gmail.com จรรจา สันตยากร kaewtai2509@gmail.com <p>การวิจัยเชิงสำรวจแบบสหสัมพันธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับมุมมองเชิงธุรกิจ 2) ระดับมุมมองการตลาด 3) ระดับคุณภาพการบริหารการพยาบาล 4) ความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองเชิงธุรกิจกับคุณภาพการบริหารการพยาบาล และ 5) ความสัมพันธ์ระหว่างมุมมองการตลาดกับคุณภาพการบริหารการพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่วย กลุ่มตัวอย่างคือหัวหน้าหอผู้ป่วยที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปเขตสุขภาพที่ 2 จำนวน 124 คน ใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วนคือ 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) มุมมองเชิงธุรกิจ 3) มุมมองการตลาด และ 4) คุณภาพการบริหารการพยาบาล ความตรงของเนื้อหาตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่า IOC เท่ากับ .67 – 1.00 ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .97, .96 และ .97 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. มุมมองเชิงธุรกิจโดยรวมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.26, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.47)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. มุมมองการตลาดโดยรวมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.23,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.52)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. คุณภาพการบริหารการพยาบาลโดยรวมของหัวหน้าหอผู้ป่วยอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.19,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.47)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">4. มุมมองเชิงธุรกิจมีความสัมพันธ์กับคุณภาพการบริหารการพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่วยในทางบวกระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .73, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.01)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">5. มุมมองการตลาดมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงกับคุณภาพการบริหารการพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่วย (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .82, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt;.01)</span></p> <p>ดังนั้นองค์กรพยาบาลสามารถนำผลการวิจัยครั้งนี้ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการขยายผลและต่อยอด เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้ผู้บริหารทางการพยาบาลมีความรู้ ทักษะ มุมมองเชิงธุรกิจ และมุมมองการตลาด นำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารการพยาบาลนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพบริการพยาบาลให้มีคุณภาพ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการพยาบาลให้สอดคล้องตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข</p> 2024-06-16T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/269502 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น 2024-04-11T12:01:51+07:00 อรัญญา ชัยธวัชวิบูลย์ aranya368@gmail.com สุพัตรา บัวที supatra.b@msu.ac.th <p>การวิจัยเชิงบรรยายแบบหาความสัมพันธ์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางดินอาหารส่วนต้น ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จำนวน 74 คน คัดเลือกด้วยวิธีการแบบสุ่มแบบง่ายโดยใช้ตารางเลขสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวม คือแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลความเจ็บป่วย แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น และแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น ซึ่งมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหา เท่ากับ .99 และ .99 ตามลำดับ แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ 6 ด้าน มีค่าความเชื่อมั่นในแต่ละด้าน เท่ากับ .93, .82, .82, .81, .88 และ .81 ตามลำดับ ความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคของแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ เท่ากับ .81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น อยู่ในระดับเพียงพอและอาจจะมีการปฏิบัติตนถูกต้องบ้าง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 61.34, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 12.62) และพฤติกรรมสุขภาพ อยู่ในระดับปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 70.09, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 6.87)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .340)</span></p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้น และเป็นข้อมูลสำหรับการวิจัยในลำดับต่อไป เพื่อศึกษา/จัดทำใช้เป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกทางเดินอาหารส่วนต้นและพัฒนาด้านงานวิจัยเพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีและยั่งยืนต่อไป</p> 2024-06-17T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/268488 ประสิทธิผลทางคลินิกของการใช้ยาพอกเข่าสมุนไพรร่วมกับโปรแกรมการนวดรักษาเข่าในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม 2024-03-08T10:47:06+07:00 ริศรา จีนาพงษ์ julalak.c@psu.ac.th จุฬาลักษณ์ โชคไพศาล julalak.c@psu.ac.th <p>การวิจัยเชิงการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการรักษาด้วยยาพอกเข่าสมุนไพรร่วมกับโปรแกรมการนวดรักษาต่ออาการปวด อาการข้อฝืด การใช้งานของข้อ และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลระหว่างความถี่ของการรักษาด้วยยาพอกเข่าสมุนไพรร่วมกับโปรแกรมการนวดรักษาเข่า กลุ่มตัวอย่างคือผู้มารับบริการในคลินิกการแพทย์แผนไทยฯ โรงพยาบาลสงขลา ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนปัจจุบันว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือแพทย์แผนไทยว่าเป็นโรคลมจับโปงแห้งเข่าอายุ 45 ปีขึ้นไป 45 คน กลุ่มละ 15 คน คือ กลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองที่ 1 และกลุ่มทดลองที่ 2 เก็บข้อมูลใช้แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบประเมิน WOMAC ฉบับภาษาไทย และแบบสอบถาม SF-36 วิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา, Kruskal-Wallis Test, One-way ANOVA Test, Wilcoxon Matched–Pair Signed-Rank Test, Repeated-Measure ANOVA ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผลต่างคะแนนเฉลี่ยหลังได้รับโปรแกรมการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมทั้ง 3 กลุ่มสามารถลดอาการปวด และอาการข้อฝืด เพิ่มการใช้งานของข้อได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt; 0.05) และคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้นในกลุ่มควบคุม มิติด้านร่างกาย มิติความเจ็บปวด มิติด้านสุขภาพโดยรวม กลุ่มทดลองที่ 2 ในมิติด้านร่างกาย มิติด้านสุขภาพโดยรวม มิติด้านข้อจำกัดทางจิตใจ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt; .05) ส่วนกลุ่มทดลองที่ 1 ไม่ได้มีคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&gt; .05)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความถี่ของการรักษาเมื่อเทียบกับก่อนการรักษา คู่ที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt; .05) ในอาการปวดลดลง กลุ่มควบคุมใน 14 วัน กลุ่มทดลองที่ 1 21 วัน และกลุ่มทดลองที่ 2 7 วัน อาการข้อฝืดดีขึ้นโดยทั้ง 3 กลุ่ม 28 วัน การใช้งานของข้อเพิ่มขึ้นในกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองที่ 2 14 วัน และกลุ่มทดลองที่ 1 28 วัน</span></p> <p>โปรแกรมในกลุ่มทดลองที่ 2 เป็นวิธีรักษาหนึ่งที่ให้ประสิทธิผลลดอาการปวดเร็วสุดซึ่งจะเกิดประโยชน์มากสุดต่อผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมในวิจัยครั้งนี้</p> 2024-07-04T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/271465 การเปรียบเทียบต้นทุนการจัดบริการของ สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ไม่ถ่ายโอนและถ่ายโอนไปองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ปีงบประมาณ 2566 2024-07-18T08:04:51+07:00 ธนาภา ปะวัลละ tana.9657@gmail.com นภชา สิงห์วีรธรรม noppcha.s@cmu.ac.th สินีนาฏ ชาวตระการ sineenart.c@cmu.ac.th <p>การศึกษาย้อนหลังนี้ เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนรวมและต้นทุนต่อหน่วยการจัดบริการสาธารณสุขของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไปองค์การบริหารส่วนจังหวัด พื้นที่จังหวัดลำพูน โดยวิเคราะห์ต้นทุนทางบัญชีในมุมมองของผู้ให้บริการ ปีงบประมาณ 2566 คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจาก สอน. และ รพ.สต.ที่ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอน เก็บข้อมูลต้นทุน จำนวนกลุ่มละ 6 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลเก็บต้นทุนค่าแรง ค่าวัสดุ และค่าครุภัณฑ์ ร่วมกับข้อมูลที่ได้จากการปฏิบัติงานจริง นำเสนอข้อมูลเป็นจำนวนต้นทุน และร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ต้นทุนรวมในกลุ่ม รพ.สต.ถ่ายโอน มีค่าเท่ากับ 27,717,405.88 บาท เป็นต้นทุนทางตรง ร้อยละ 58.58 ต้นทุนทางอ้อม ร้อยละ 41.42 ส่วนกลุ่ม รพ.สต.ไม่ถ่ายโอน มีต้นทุนรวม เท่ากับ 22,742,020.87 บาท เป็นต้นทุนทางตรง ร้อยละ 61.46 ต้นทุนทางอ้อม ร้อยละ 38.54 สัดส่วนต้นทุนค่าแรง ค่าวัสดุ และค่าครุภัณฑ์ ของกลุ่ม รพ.สต.ถ่ายโอน เท่ากับร้อยละ 77.66, 15.66 และ 6.68 ตามลำดับ ส่วนกลุ่ม รพ.สต.ไม่ถ่ายโอน เท่ากับร้อยละ 78.04, 15.99 และ 5.97 ตามลำดับ โดยทั้ง</span><span style="font-size: 0.875rem;">สองกลุ่มมีสัดส่วนต้นทุนค่าแรงสูงที่สุด</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ต้นทุนต่อหน่วยแยกตามกิจกรรมการรักษาพยาบาลโดยแพทย์ และโดยไม่ใช่แพทย์ระหว่างกลุ่ม รพ.สต.ถ่ายโอนและไม่ถ่ายโอนไม่แตกต่างกันมาก กลุ่ม รพ.สต.ถ่ายโอน มีค่ามัธยฐานต้นทุน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ต่อหน่วยเท่ากับ 117.19 และ 115.22 บาท ตามลำดับ ส่วนกลุ่ม รพสต.ไม่ถ่ายโอน มีค่ามัธยฐานต้นทุนต่อหน่วย เท่ากับ 109.49 และ 86.46 บาท ตามลำดับ เช่นเดียวกับต้นทุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพอื่น ๆ ยกเว้นงานส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ ที่กลุ่ม รพ.สต.ถ่ายโอนมีค่ามัธยฐานต้นทุนต่อหน่วยมากกว่ากลุ่ม รพ.สต.ไม่ถ่ายโอน</span></p> <p>ต้นทุนการจัดบริการสาธารณสุขเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากร อีกทั้งยังใช้<br />เป็นข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยบริการอย่างเหมาะสม</p> 2024-08-27T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/270587 กลยุทธ์การพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก 2024-06-02T12:41:43+07:00 นัยนันต์ เตชะวณิช naiyanan@bcnsk.ac.th นิรันดร์ จุลทรัพย์ naiyanan@bcnsk.ac.th จรัส อติวิทยาภรณ์ naiyanan@bcnsk.ac.th <p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้เพื่อสังเคราะห์ทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล พัฒนากลยุทธ์ และประเมินร่างกลยุทธ์การพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ดำเนินการ 4 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนที่ 1 สังเคราะห์ทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล จากการทบทวนวรรณกรรมและการสัมภาษณ์ผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาล จำนวน 8 คน ขั้นตอนที่ 2 สังเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กรจากเอกสารแผนกลยุทธ์ และผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาล จำนวน 40 คน ขั้นตอนที่ 3 พัฒนากลยุทธ์จากผลการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ด้วยวิธี TOWS Matrix ขั้นตอนที่ 4 ประเมินกลยุทธ์ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 ท่าน โดยการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก ประกอบด้วย 8 ทักษะ ได้แก่ 1) ทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา 2) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม 3) ทักษะความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม 4) ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ 5) ทักษะการสื่อสารและการใช้ภาษาที่สองในการดูแลสุขภาพ 6) ทักษะด้านเทคโนโลยี 7) ทักษะด้านอาชีพ และ ทักษะการเรียนรู้ และ 8) ทักษะด้านคุณธรรม จริยธรรม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลยุทธ์การพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาลคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบัน พระบรมราชชนก มี 4 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) ส่งเสริมการใช้ระบบประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษา 2) พัฒนาระบบและกลไกการพัฒนาอาจารย์และบุคลากร เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษา 3) พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้ทันสมัยและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4) บูรณาการการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนานักศึกษาที่ส่งเสริมทักษะในอนาคตของนักศึกษาอย่างต่อเนื่อง</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. กลยุทธ์การพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบัน พระบรมราชชนก ทั้ง 4 กลยุทธ์ มีความสอดคล้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก</span></p> <p>ผลการวิจัย วิทยาลัยพยาบาล คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนกสามารถนำกลยุทธ์ไปใช้ในการออกแบบแผนงาน โครงการ หรือ กิจกรรม เพื่อพัฒนาทักษะในอนาคตของนักศึกษาพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/270579 การพัฒนานวัตกรรม“หุ่นฝึกทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารก” 2024-06-03T11:06:17+07:00 ชนัญชิดา อนุรักษ์ jirarat@bcnsk.ac.th จิรารัตน์ พร้อมมูล jirarat3113@gmail.com อารียา เฟื่องถิ่น jirarat3113@gmail.com ชนิกานต์ จิตจำ jirarat3113@gmail.com ศิรดา นานช้า jirarat3113@gmail.com ฮานีซะห์ มะมิง jirarat3113@gmail.com <p>การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมนี้เพื่อสร้างและพัฒนานวัตกรรมและศึกษาประสิทธิผลของนวัตกรรมหุ่นฝึกทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารก ดำเนินการวิจัยเป็น 2 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1 สร้างและพัฒนานวัตกรรมหุ่นฝึกทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารก ประกอบด้วย ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์การเจาะเลือดส้นเท้าในทารกศึกษาแนวคิด ทฤษฎีทบทวนเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 2 สร้างและพัฒนานวัตกรรม ระยะที่ 3 ทดลองใช้นวัตกรรมและพัฒนาหุ่นทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารก ขั้นตอนที่ 2 ประเมินประสิทธิผลนวัตกรรม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) หุ่นฝึกทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารก 2) แบบสอบถามประสิทธิผลได้ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและวัตถุประสงค์เท่ากับ .67 และ 1.00 ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟา .77 วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์เนื้อหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. นวัตกรรมหุ่นฝึกทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารก 1) ลักษณะภายนอก สร้างนวัตกรรมด้วยน้ำยางพารา และเคลือบด้วยน้ำยางพาราผสมสีอะคริลิกเพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำบริเวณ ที่เจาะเติมสารน้ำสีแดง 2) ลักษณะภายใน ลูกบอลยางเป็นที่กักเก็บน้ำในบริเวณส้นเท้าทารก สารน้ำที่ใช้เป็นน้ำเปล่าผสมด้วยสีอะคริลิกสีแดง จำลองการไหลของเลือดที่เจาะส้นเท้าทารก</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ประสิทธิผลของนวัตกรรมหุ่นฝึกทักษะเจาะเลือดส้นเท้าในทารกโดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.72, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.35) โดยด้านการออกแบบโครงสร้าง ด้านความมั่นใจในตนเอง และด้านความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M = </em><span style="font-size: 0.875rem;">4.63, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.39</span><em style="font-size: 0.875rem;">; M = </em><span style="font-size: 0.875rem;">4.65, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.43 และ </span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.87,</span><em style="font-size: 0.875rem;"> SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.24) ตามลำดับ</span></p> <p>ดังนั้นสามารถนำนวัตกรรมไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาการพยาบาลเด็กและวัยรุ่นทั้งในภาคทดลองและภาคปฏิบัติเนื่องจากหุ่นนวัตกรรม มีหลักการกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาในการพัฒนานวัตกรรมหุ่นฝึกเจาะเลือดส้นเท้าในทารก มีขนาด น้ำหนักเหมาะสม สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย ใช้สาธิตให้ผู้เรียนเข้าใจและสามารถฝึกปฏิบัติได้ง่าย สะดวกในการนำมาใช้ฝึกปฏิบัติจำลอง และลักษณะรูปร่างเสมือนจริง</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/270777 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคม ต่อความรู้ พฤติกรรม และทักษะการส่งเสริมพัฒนาการของผู้ดูแลเด็ก ในตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง 2024-06-25T14:47:55+07:00 ตวงพร มั่งมี care-a@hotmail.com ชุติมา เพิงใหญ่ chutima@bcnsk.ac.th วรัญญา ชุมประเสริฐ chutima@bcnsk.ac.th ชัญญานุช เครือหลี chutima@bcnsk.ac.th <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมของผู้ดูแลเด็กในตำบลชัยบุรี อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลเด็กที่มีบุตรหลานในช่วงอายุ 2 - 5 ปี จำนวน 44 คน ใช้วิธีจับฉลากอย่างง่ายแบบไม่คืนที่ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ โปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการเด็ก แบบสอบถามความรู้ พฤติกรรม และแบบบันทึกประเมินทักษะการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนของผู้ดูแล โดยผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ได้ค่าดัชนีความตรงเท่ากับ 0.87 และผ่านการตรวจสอบความเที่ยงของเครื่องมือ แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก พฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ได้ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงเท่ากับ .82 และ .87 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ เชิงพรรณนา การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ Paired t-test ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>หลังสิ้นสุดโปรแกรม ค่าเฉลี่ยความรู้ พฤติกรรม และทักษะของกลุ่มตัวอย่างสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติตามลำดับ (<em>t </em>= 6.14, <em>p-value </em>&lt; .001) (<em>t </em>= 9.43, <em>p-value</em> &lt; .001) (<em>t </em>= 6.39, <em>p-value</em> &lt; .001)</p> <p>โปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมทำให้ผู้ดูแลเด็กมีความรู้ พฤติกรรม และทักษะในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก่อนวัยเรียนสูงขึ้นหลังการทดลอง ดังนั้นบุคลากรสาธารณสุขควรใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมผู้ดูแลเด็ก โดยแนะนำการใช้คู่มือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) และร่วมสนับสนุน ติดตามวางแผน ดูแลอย่างต่อเนื่องให้มากยิ่งขึ้น ทั้งที่ในสถานบริการและในชุมชน</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/271083 การพัฒนาโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ 2024-07-16T14:30:32+07:00 ดวงใจ พรหมพยัคฆ์ duangjai.p@bcnb.ac.th จิตรวรรณ แสนยศ duangjai.p@bcnb.ac.th หทัยรัตน์ มากร duangjai.p@bcnb.ac.th ยุวณีย์ จันทร์ส่ง duangjai.p@bcnb.ac.th <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ทางสุขภาพ พัฒนา และศึกษาประสิทธิผลโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่มี 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวาน โดยใช้แบบสอบถามความรอบรู้ทางสุขภาพผู้ป่วยเบาหวาน 240 คน การสัมภาษณ์เชิงลึก ใช้แนวทางสัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์และมุมมองด้านความรอบรู้ทางสุขภาพ จากผู้ป่วยเบาหวานและพยาบาล กลุ่มละ 20 ราย ระยะที่ 2 พัฒนาโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพ ผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน นำโปรแกรมใช้กับผู้ป่วยเบาหวาน จำนวน 10 คน ปรับปรุงโปรแกรม ระยะที่ 3 ทดสอบประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพ จากผู้ป่วยเบาหวาน 70 คน แบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 35 ราย โดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเองและค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสมในเลือด วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และสถิติเชิงพรรณนา สถิติ Independent t-test และ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า </p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. การศึกษาสถานการณ์ มีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ทางสุขภาพ อยู่ในระดับปานกลาง</span><span style="font-size: 0.875rem;"> ด้านการบริการของบุคลากรสาธารณสุข พบว่าการส่งเสริมการสืบค้นความรู้และวิเคราะห์การเลือกใช้สื่อที่น่าเชื่อถือดำเนินการได้เพียงบางส่วน และการส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์และการจัดการตนเองในด้านสถานการณ์ต่าง ๆ ยังมีน้อย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพ ประกอบด้วย 6 กิจกรรม คือการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน </span><span style="font-size: 0.875rem;">การตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การรู้เท่าทันสื่อเกี่ยวกับโรคเบาหวาน การจัดการตนเองเพื่ออยู่กับโรคเบาหวาน ระยะเวลาดำเนินกิจกรรม 12 สัปดาห์</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผลการทดสอบประสิทธิผลของโปรแกรม พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการจัดการตนเองกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และค่าเฉลี่ยน้ำตาลสะสม</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในเลือดกลุ่มทดลองหลังการทดลองต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01</span></p> <p>ควรนำโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ทางสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานไปใช้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการจัดการตนเองและผลลัพธ์ทางคลินิก </p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/271396 รูปแบบภาวะผู้นำกับผลการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ในองค์กรสุขภาพ: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ 2024-06-20T09:44:54+07:00 สมบัติ ประทักษ์กุลวงศา sombut.p@siu.ac.th เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย Phechnoy@gmail.com <p>การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบภาวะผู้นำและผลการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ขององค์กรสุขภาพ โดยสืบค้นงานวิจัยจากวารสารฐานข้อมูลในระดับชาติและนานาชาติ จากฐานข้อมูล PubMed, Google Scholar, CINAHL, Science Direct, ThaiJo, ThaiLis และฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของมหาวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่าง คือ รายงานบทความวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 13 เรื่อง โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ข้อมูลทั่วไปของรายงานงานวิจัย 2) แบบบันทึกรายงานกระบวนการคัดเลือกบทความวิจัยตามแนวของ PRISMA 2020 และแบบตรวจสอบคุณภาพรายงานการวิจัยของ Kmet, Lee &amp; Cook เพื่อประเมินความสอดคล้องของรายงานโดยใช้ผู้ประเมิน 2 ราย เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือ (Inter Rater) ของบทความวิจัยได้ร้อยละ 84.00 และใช้สถิติแคปปา (Kappa Statistics) การประเมินคุณภาพมีความสอดคล้องกันหรือไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>k </em>= 0.09, <em>p-value</em> = 0.22) และใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. บทความวิจัยเชิงปริมาณทั้งหมด (n = 13) บริบทที่ศึกษาพบว่า ศึกษาในภาคบริหารธุรกิจมากที่สุด (n = 12) มีเพียง 1 เรื่อง เท่านั้นที่ศึกษาในองค์กรสุขภาพและไม่พบการศึกษาในประเทศไทย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวคิดและรูปแบบภาวะผู้นำที่ใช้ในการศึกษาวิจัยมากที่สุด (n = 6) คือ ทฤษฎีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ 2) ความต่อเนื่องเชิงกลยุทธ์ 3) ความเป็นผู้นำด้านความฉลาดเชิงกลยุทธ์ 4) ความสอดคล้องกันเชิงกลยุทธ์ และ ผลการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ขององค์กรเอกชนส่วนใหญ่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ผลการปฏิบัติงาน 2) ผลการดำเนินงานทางการเงิน 3) ระดับการแข็งขัน และผลการวิจัยส่วนใหญ่พบว่ารูปแบบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์มีความสัมพันธ์และมีอิทธิพลทางตรงต่อผลการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ขององค์กรภาคเอกชน</span></p> <p>การสังเคราะห์งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการเพิ่มผลการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ในองค์กรสุขภาพและองค์กรในภาคเอกชนให้สูงขึ้นและควรขยายความรู้ใหม่ในองค์กรสุขภาพโดยเฉพาะองค์กรการพยาบาลในบริบทประเทศไทย พร้อมทั้งมีงบประมาณสนับสนุนการวิจัย</p> 2024-08-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/270473 ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตนต่อความตั้งใจ ในการเลิกสารเสพติดของผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน 2024-08-05T16:56:55+07:00 สุจิตรา ครองมณีรัตน์ wanida.kinson@gmail.com วนิดา อาแว wanida.kinson@gmail.com มุสลินท์ โตะแปเราะ Muslin.t@pnu.ac.th <p>การวิจัยกึ่งการทดลองแบบ Multiple Time Series Design โดยมีการวัดซ้ำตามระยะเวลาที่ศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ 1) ความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดของผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีนก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน และ 2) ความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดของผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน ระหว่างกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน และกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีนอายุ 20 - 59 ปี ทั้งเพศชาย และเพศหญิง เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 60 คน ได้รับการจับคู่ด้วยเพศและอายุ แล้วจับฉลากสุ่มเข้ากลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน และแบบวัดความตั้งใจในการเลิกสารเสพติด เครื่องมือทุกชุดผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน ตรวจสอบค่าความเที่ยงของแบบวัดความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดโดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .82 โดยมีช่วงเวลาเก็บรวบรวมข้อมูล 3 ช่วง ได้แก่ ก่อนการทดลอง หลังการทดลองเสร็จสิ้นทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-square Fisher’s exact test สถิติ Independent t-test สถิติ Repeated Measures ANOVA สถิติ Greenhouse-Geisser และสถิติ Huynh-Feldt ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดของผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีนในกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความตั้งใจในการเลิกสารเสพติดของผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีนในกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลปกติ </span><span style="font-size: 0.875rem;">อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p>ควรนำโปรแกรมการเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน เป็นแนวทางปฏิบัติในการบำบัดผู้ป่วยโรคจิตจากเมทแอมเฟตามีน และกำหนดนโยบายลงสู่การปฏิบัติอย่างชัดเจนตลอดจนมีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่มีประสิทธิภาพ</p> 2024-09-02T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/271806 ประสบการณ์ชีวิตตามมุมมองโลก 5 ใบ ของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการรักษา ด้วยยาเคมีบำบัดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2024-07-14T11:24:35+07:00 อนุชิต มะรอปิ anuchit.m@pnu.ac.th ฟาอิส วาเลาะแต Anuchit.m@pnu.ac.th สุรวุฒิ ดอเลาะ Anuchit.m@pnu.ac.th <p style="font-weight: 400;">การวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยาเฮอร์เมนนิวติกนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายความหมายของประสบการณ์ชีวิตตามมุมมองโลก 5 ใบ ของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 10 ราย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และบันทึกภาคสนามเพื่อให้เกิดการตรวจสอบแบบสามเส้าด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การมองโลก 5 ใบ ของแวนมาเนนและสร้างความน่าเชื่อถือของงานวิจัยตามเกณฑ์ของลินคอนและกูบา ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>ความหมายของประสบการณ์ของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สะท้อนความหมายของประสบการณ์ชีวิตตามมุมมองโลก 5 ใบ ดังนี้ โลกของตัวเอง คือ 1) ตั้งสติ เพื่อรอดพ้นจากความตาย 2) เชื่อมั่นต่อความเชื่อ และ 3) ไม่เครียด ไม่กังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิด โลกของความสัมพันธ์ คือ 1) มองเห็นคุณค่าผู้ที่อยู่ข้างกาย และ 2) ยาเคมีบำบัดคือเพื่อนที่ช่วยชีวิต โลกของสถานที่ คือ 1) พื้นที่อาศัยเป็นอุปสรรคต่อการรักษา 2) สถานที่ที่ให้ชีวิตใหม่ โลกของเวลา คือ รอเวลาแห่งความสุขกับคนที่รัก และโลกของสิ่งของ คือ 1) โลกดิจิทัล แหล่งข้อมูลส่งเสริมสุขภาพ และ 2) วัตถุมงคลที่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้ ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารทางการพยาบาล ผู้ปฏิบัติการพยาบาลจัดการดูแลผู้ป่วยอย่างองค์รวมอีกทั้งเป็นแนวทางให้ครอบครัวเข้าใจผู้ป่วยอย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นกำลังใจในการสู้ต่อของผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดต่อไป</p> 2024-09-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/270291 การพัฒนานวัตกรรมเครื่องนวดเต้านมด้วยพลังสั่น เพื่อลดอาการคัดตึงเต้านม และเพิ่มการไหลของน้ำนมในมารดาหลังคลอด 2024-06-21T10:09:07+07:00 ชุติมา มาลัย tommythitima@gmail.com ฐิติมา คาระบุตร thitima@bcnchainat.ac.th วิไล นาคอินทร์ thitima@bcnchainat.ac.th <p>การวิจัยและพัฒนานี้เพื่อศึกษาสภาพปัญหาอาการคัดตึงเต้านมและแนวทางแก้ปัญหาพัฒนาและประเมินประสิทธิผลนวัตกรรมเครื่องนวดเต้านมด้วยพลังสั่น ดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหาอาการคัดตึงเต้านมและแนวทางแก้ปัญหาโดยการทบทวนวรรณกรรมและสัมภาษณ์มารดาหลังคลอด และพยาบาลวิชาชีพแผนกหลังคลอด โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร จำนวน 9 คน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนานวัตกรรมเครื่องนวดเต้านมด้วยพลังสั่น ด้วยการะบวนการ PDCA และขั้นตอนที่ 3 ประเมินประสิทธิผลของนวัตกรรมเครื่องนวดเต้านมด้วยพลังสั่น โดยแบบแผนการทดลองขั้นต้นแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างคือ มารดาหลังคลอด แผนกหลังคลอด โรงพยาบาลชัยนาทนเรนทร สุ่มแบบเจาะจงจำนวน 24 คน รวบรวมข้อมูลโดยแบบประเมินประสิทธิผลของนวัตกรรม ประกอบด้วยแบบวัดอาการคัดตึงเต้านมแบบประเมินการไหลของน้ำนม และแบบประเมินความพึงพอใจการใช้นวัตกรรม ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สภาพปัญหาอาการคัดตึงเต้านมและแนวทางการแก้ปัญหาพบว่า ปัญหาเกิดจากมารดา</span><span style="font-size: 0.875rem;">หลังคลอด ไม่ปฏิบัติตามแนวทางการแก้ปัญหาที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง มารดามีเหตุผลว่าการปฏิบัติ</span><span style="font-size: 0.875rem;">และการเตรียมอุปกรณ์การประคบเต้านมมีความยุ่งยาก ทำให้พยาบาลต้องการพัฒนาแนวทาง</span><span style="font-size: 0.875rem;">การแก้ปัญหาเต้านมคัดตึงในมารดาหลังคลอด</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. นวัตกรรมเครื่องนวดเต้านมด้วยพลังสั่นประกอบด้วย แนวคิดกระบวนการสร้างนวัตกรรม กลไกการสร้างและการไหลของน้ำนม และกระบวนการกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำนม</span><span style="font-size: 0.875rem;">ด้วยการสั่นสะเทือนจากมอเตอร์พลังไฟฟ้า ผลการพัฒนานวัตกรรมเครื่องนวดเต้านมด้วยพลังสั่นประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) คุณลักษณะของนวัตกรรม 2) ขั้นตอนการทำงานของนวัตกรรม 3) จุดเด่นของนวัตกรรม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ภายหลังใช้นวัตกรรมกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยอาการคัดตึงเต้านมลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = -11.63, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001) และคะแนนเฉลี่ยการไหลของน้ำนมสูงกว่าก่อนใช้นวัตกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 11.07, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001) 3) คะแนนเฉลี่ย</span><span style="font-size: 0.875rem;">ความพึงพอใจหลังใช้นวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.69, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .53)</span></p> <p>พยาบาลแผนกหลังคลอดควรนำนวัตกรรมไปดูแลมารดาหลังคลอดควบคู่กับการดูแลแบบปกติ เพื่อลดอาการคัดตึงเต้านม เพิ่มการไหลของน้ำนม</p> 2024-09-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/272400 ประสบการณ์ของพยาบาลวิชาชีพในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ จังหวัดนนทบุรี: วิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยา 2024-08-13T13:06:30+07:00 เมทณี ระดาบุตร matanee@bcnnon.ac.th พนิดา อยู่ชัชวาล nok19758@gmail.com เยาวรัตน์ รุ่งสว่าง yaowarat_y@bcnnon.ac.th อารยา วชิรพันธ์ waraya@bcnnon.ac.th จารุวรรณ สนองญาติ jaruwan@snc.ac.th รังศิมา วงษ์สุทิน rangsima.w@bcnnon.ac.th <p>การวิจัยเชิงปรากฏการณ์วิทยานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายของการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 และศึกษาการรับรู้จากประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี เลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง ข้อมูลอิ่มตัวจากผู้ให้ข้อมูล จำนวน 15 คน เครื่องมือประกอบด้วยแบบการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาตามแนวทางของจอร์จี ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. การดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 หมายถึง “การพยาบาลผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอุบัติใหม่</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่แพร่กระจายทางระบบทางเดินหายใจอาจถึงขั้นเสียชีวิต พยาบาลต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้ง</span><span style="font-size: 0.875rem;">ด้านความรู้ ด้านร่างกาย และจิตใจก่อนให้การพยาบาลเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย</span><span style="font-size: 0.875rem;">ของการดูแลผู้ป่วย”</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. การรับรู้จากประสบการณ์ตรงในการดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ของพยาบาลที่ปฏิบัติงาน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ จังหวัดนนทบุรี สรุปได้ประเด็นหลัก 6 ประเด็น ได้แก่ ความท้าทายในดูแลผู้ป่วยโรคโควิด 19 ผลกระทบจากการปฏิบัติงาน สิ่งสนับสนุนในการทำงาน การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพ ข้อจำกัดในการทำงาน และความสามารถแห่งตน และประเด็นย่อย 15 ประเด็น</span></p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมในการรับมือโรคอุบัติใหม่ เพื่อให้มีการเตรียมการอย่างทันท่วงที เพิ่มประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการปฏิบัติงาน</p> 2024-09-12T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้