https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/issue/feed
วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
2025-11-23T19:48:35+07:00
Asst. Prof. Dr. Kittiporn Nawsuwan
jock2667@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขภาคใต้ (SC-Net) จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของวิทยาลัยพยาบาลและวิทยาลัยการสาธารณสุขในเขตภาคใต้ ประกอบด้วยวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง ยะลา และวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลาและตรัง รับบทความเกี่ยวกับการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข การศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ออกปีละ 3 ฉบับ</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/283554
การพัฒนารูปแบบระบบการศึกษาเพื่อเป้าหมายที่ยั่งยืนด้านระบบสุขภาพปฐมภูมิ
2025-10-27T15:11:27+07:00
วิชัย เทียนถาวร
kongkangku69@gmail.com
ณรงค์ ใจเที่ยง
phkongthaijo@gmail.com
เพ็ญพรรณ พิทักษ์สงคราม
Penphan@pi.ac.th
ดุสิต สกุลปิยะเทวัญ
Dusits@pi.ac.th
จุฬารัตน์ ห้าวหาญ
Chularath@pi.ac.th
<p>การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ (Primary Health Care: PHC) ถือเป็นหัวใจของระบบสุขภาพที่ยั่งยืน เนื่องจากเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพและการส่งเสริมสุขภาวะของประชาชนทุกกลุ่ม บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวางกรอบทิศทาง นโยบาย และวิสัยทัศน์ของสถาบันพระบรมราชชนก กลไกขับเคลื่อน “5 Excellences” การเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ พัฒนารูปแบบระบบการศึกษาที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะ เป้าหมายที่ 3 การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป้าหมายที่ 4 การศึกษาที่มีคุณภาพ เป้าหมายที่ 5 ความเท่าเทียมทางเพศ เป้าหมายที่ 10 การลดความเหลื่อมล้ำ และเป้าหมายที่ 17 ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผลการวิเคราะห์เชิงนโยบายและแนวปฏิบัติของสถาบันการศึกษาด้านสุขภาพ พบว่าการพัฒนารูปแบบระบบการศึกษาเพื่อความยั่งยืนควรมุ่งเน้น 4 มิติหลัก ได้แก่ (1) การบูรณาการหลักสูตรให้สอดคล้องกับบริบทสุขภาพชุมชน<br />และความเท่าเทียม (2) การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงพื้นที่เพื่อสร้างความเข้าใจปัญหาสุขภาพในระดับฐานราก (3) การใช้เทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัลเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและลดความเหลื่อมล้ำ และ (4) การสร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา ภาครัฐ เอกชน และชุมชนในลักษณะเครือข่ายพันธมิตร (Partnership for SDGs) ผลลัพธ์ของรูปแบบดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรสุขภาพที่มีสมรรถนะสูง มีจิตสำนึกสาธารณะและสามารถขับเคลื่อนระบบสุขภาพปฐมภูมิให้บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศได้อย่างแท้จริง</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/279484
การโค้ช: แนวคิด ประโยชน์ และการส่งเสริมการโค้ชในองค์กรพยาบาล
2025-08-14T18:22:55+07:00
ณัฐวัตร วงค์จันทร์
natthawat.wongc@gmail.com
ศรัณยา พิมลเกตุกุล
Saranya.p@nmu.ac.th
พริมพิริยะ จินดาวัลณ์
primpiriya@nmu.ac.th
<p>ในยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระบบบริการสุขภาพ องค์กรพยาบาลจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการสนับสนุนการขับเคลื่อนบุคลากรสู่ความเป็นเลิศ การโค้ช เปรียบเสมือนกุญแจที่สามารถปลดล็อกศักยภาพของพยาบาล เสริมสร้างภาวะผู้นำ และยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยได้อย่างยั่งยืน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวคิดของการโค้ช อธิบายประโยชน์ของการโค้ชในวิชาชีพพยาบาลทั้งด้านการปฏิบัติการพยาบาล การศึกษาทางการพยาบาล การพัฒนาผู้นำทางการพยาบาล และการเตรียมพยาบาลใหม่ รวมไปถึงนำเสนอแนวทางการส่งเสริมการโค้ชในองค์กรพยาบาล เพื่อให้ผู้บริหารทาง<br />การพยาบาลสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลในการผลักดันให้บุคลากรทางการพยาบาลเกิดการพัฒนาศักยภาพอย่างรอบด้าน ส่งเสริมความยึดมั่นผูกพันต่อองค์กร สนับสนุนการธำรงรักษาพยาบาล ตลอดจนยกระดับวิชาชีพพยาบาลให้สามารถปรับตัวและก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้อย่างมั่นคง</p>
2025-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278258
ภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาล สังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข
2025-06-10T08:21:07+07:00
รุจา แก้วเมืองฝาง
ruja@ckr.ac.th
วรกาญจน์ สุขสดเขียว
ruja@ckr.ac.th
<p>การวิจัยแบบผสมวิธีนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาลสังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข 2) เพื่อยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาล สังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย คือ วิทยาลัยพยาบาล สังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 28 วิทยาลัย กำหนดผู้ให้ข้อมูลวิทยาลัยละ 16 คน รวมผู้ให้ข้อมูลทั้งสิ้น 448 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง แบบสอบความคิดเห็นและแบบสอบถามเพื่อยืนยันองค์ประกอบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. องค์ประกอบภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาลสังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ คือ 1) การมีบทบาทนำ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในการจัดการศึกษาพยาบาล 2) การให้ความสำคัญกับปัจเจกบุคคล 3) การอุทิศตนและเสียสละ 4) การมีคุณธรรมและจริยธรรม และ 5) การมีบทบาทนำในการให้บริการต่อชุมชน โดยทั้ง 5 องค์ประกอบ 58 ตัวบ่งชี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของตัวบ่งชี้ได้ร้อยละ 65.52 โดยมีค่าไอเกน เท่ากับ 27.00, 23.93, 9.12, 5.99 และ 5.53 ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลการยืนยันองค์ประกอบภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาลสังกัด</span><span style="font-size: 0.875rem;">คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 คน มีความเห็นสอดคล้องกัน โดยมีความเห็นว่าภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาลสังกัด</span><span style="font-size: 0.875rem;">คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ทั้ง 5 องค์ประกอบ มีความถูกต้อง จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 100 มีความเหมาะสม จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 100 มีความเป็นไปได้ จำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 100 และมีความเป็นประโยชน์ จำนวน 5 คนคิดเป็นร้อยละ 100</span></p> <p>ดังนั้นสามารถนำองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ภาวะผู้นําแบบใฝ่บริการของผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาลสังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข ไปประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหาร เพื่อส่งผลต่อประสิทธิผลขององค์กร</p>
2025-11-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/279878
ผลของโปรแกรมการบำบัดแบบออนไลน์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการดื่มสุราในผู้ที่มีความผิดปกติจากการใช้สุรา
2025-06-21T13:07:38+07:00
กัลยา นามโนรินทร์
oiank@hotmail.com
หรรษา เศรษฐบุปผา
oiank@hotmail.com
ชาลินี สุวรรณยศ
oiank@hotmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสอบกลุ่มวัดซ้ำ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการบำบัดแบบออนไลน์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการดื่มสุราในผู้ที่มีความผิดปกติจากการใช้สุรากลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติจากการใช้สุราที่จำหน่ายกลับบ้านจากการเข้ารับการบำบัดสุราในโรงพยาบาลโนนสะอาด จำนวน 36 คน สุ่มเข้าเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบประเมินอาการถอนพิษสุรา 2) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 3) แบบประเมินพฤติกรรมการดื่มสุรา และ 4) โปรแกรมการบำบัดแบบออนไลน์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการดื่มสุราในผู้ที่มีความผิดปกติจากการใช้สุรา มีการดำเนินกิจกรรมบำบัดออนไลน์ทั้งหมด 5 ครั้ง ครั้งละ 30 - 45 นาที สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ติดต่อกัน 5 สัปดาห์ และติดตามผลหลังการบำบัด 1 เดือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบค่าทีชนิดสองกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน และสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ค่าเฉลี่ยร้อยละจำนวนวันที่ไม่ดื่มในกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการบำบัดแบบออนไลน์</span><span style="font-size: 0.875rem;">เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจในระยะหลังการทดลองสิ้นสุดทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน สูงกว่ากลุ่มควบคุม</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 แต่ค่าเฉลี่ยร้อยละจำนวนวันที่ดื่มหนัก</span><span style="font-size: 0.875rem;">ไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ก</span><span style="font-size: 0.875rem;">ลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการบำบัดแบบออนไลน์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจมีค่าเฉลี่ยร้อยละจำนวนวันที่ดื่มหนักในระยะหลังการทดลองสิ้นสุดทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน ต่ำกว่าระยะก่อน</span><span style="font-size: 0.875rem;">การทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และค่าเฉลี่ยร้อยละจำนวนวันที่ไม่ดื่มในระยะหลังการทดลองสิ้นสุดทันที และระยะติดตามผล 1 เดือน สูงกว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมบำบัดออนไลน์เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจมีประสิทธิภาพในการลดพฤติกรรมการดื่ม และสามารถใช้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ในการพัฒนาแนวทางการบำบัดและการวิจัยต่อยอด เพื่อสร้างรูปแบบการดูแลที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยและสอดคล้องกับบริบททางสังคมปัจจุบัน</p>
2025-11-23T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278897
การวิเคราะห์ต้นทุนกิจกรรมพยาบาลตามเกณฑ์เวลาสำหรับการจัดบริการผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง
2025-08-28T11:31:58+07:00
นพรัตน์ เนียมสุคนธ์สกุล
anopjung3777@gmail.com
เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย
professorphechnoy@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนกิจกรรมการพยาบาลตามเกณฑ์เวลาสำหรับการจัดบริการผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง ประชากรได้แก่ 1) รายงานต้นทุนบุคลากรทางการพยาบาลทั้งหมด 27 ราย และ 2) ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี ที่เข้ารับบริการ จำนวน 30 ราย เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือมีจำนวน 2 ชุด 9 กิจกรรมหลัก ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 1.00 ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยง แบบสังเกตเท่ากับ .92 ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ต้นทุนกิจกรรมพยาบาลตามเกณฑ์เวลาโดยรวม 9 กิจกรรมหลัก เท่ากับ 53,551.82 บาท</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ต้นทุนกิจกรรมพยาบาลตามเกณฑ์เวลาต่อกิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมตรวจสอบการได้รับยา</span><span style="font-size: 0.875rem;">โดยพยาบาลมีต้นทุน ต่อกิจกรรม สูงสุด เท่ากับ 623.40 บาท รองลงมาคือ กิจกรรมก่อนตรวจรักษา มีต้นทุน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ต่อกิจกรรม เท่ากับ 509.81 บาท กิจกรรมบริหารจัดการและงานสนับสนุน มีต้นทุนต่อกิจกรรม เท่ากับ 296.94 บาท กิจกรรมพยาบาลในระยะตรวจรักษา มีต้นทุนต่อกิจกรรม เท่ากับ 20 บาท กิจกรรมพยาบาลสุขศึกษาและป้องกันการติดต่อ มีต้นทุนต่อกิจกรรม เท่ากับ 100.45 บาท กิจกรรมการพยาบาลกิจกรรมขณะรอตรวจรักษา มีต้นทุนต่อกิจกรรม เท่ากับ 85.62 บาท กิจกรรมพยาบาลหลังตรวจรักษา</span><span style="font-size: 0.875rem;">มีต้นทุนต่อกิจกรรม เท่ากับ 80.17 บาท กิจกรรมพยาบาลส่งตรวจพิเศษ มีต้นทุนต่อกิจกรรม เท่ากับ</span><span style="font-size: 0.875rem;">49.38 บาท และ กิจกรรมบัตร HCV มีต้นทุนต่อกิจกรรม น้อยที่สุด เท่ากับ 41.53 บาท</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ต้นทุนกิจกรรมพยาบาลตามเกณฑ์เวลาต่อราย โดยรวม เท่ากับ 1,784.09 บาท</span></p> <p>การวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการวิเคราะห์ต้นทุนตามเกณฑ์เวลาทำให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ของการบริหารต้นทุนที่สอดคล้องกับระยะเวลาการให้บริการทางการพยาบาล จำเป็นต้องนำองค์ความรู้ของการบริหารต้นทุนตามเกณฑ์เวลาไปใช้อย่างจริงจัง เพื่อช่วยให้องค์กรมีข้อมูลต้นทุนที่แท้จริงในการจัดบริการพยาบาลนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการวางแผนการบริหารจัดการที่แม่นยำ นำไปสู่การจัดกิจกรรมการพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดบริการสุขภาพให้กับผู้รับบริการ</p>
2025-11-26T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/278420
การรับรู้บทบาทหน้าที่และการปฏิบัติตามกฎหมายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของสาธารณสุขอำเภอ
2025-09-06T08:42:46+07:00
ไชยวิสุทธิ์ อุดทาโม๊ะ
big.chaiwisut@gmail.com
นภชา สิงห์วีรธรรม
noppcha.s@cmu.ac.th
พัลลภ เซียวชัยสกุล
Pallop.s@cmu.ac.th
<p>การศึกษาแบบภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้บทบาทหน้าที่ การปฏิบัติตามกฎหมาย ความมั่นใจในการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของสาธารณสุขอำเภอ รวมถึงการเปรียบเทียบการรับรู้บทบาทหน้าที่และความมั่นใจในการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของสาธารณสุขอำเภอและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับการรับรู้บทบาทหน้าที่และระดับความมั่นใจในการปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของสาธารณสุขอำเภอ กลุ่มตัวอย่างคือสาธารณสุขอำเภอ จำนวน 298 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป การรับรู้บทบาทหน้าที่ตามกฎหมาย และการปฏิบัติตามกฎหมายฯ เครื่องมือมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง .67 – 1.00 และค่าความเที่ยงตรง เท่ากับ .73 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Independent t-test, One-way ANOVA และ Pearson’s Correlation ที่ระดับนัยสำคัญ .05 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สาธารณสุขอำเภอมีการรับรู้บทบาทหน้าที่ในระดับมาก แต่ยังไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ด้านการทำลายยาตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และมีการปฏิบัติหน้าที่นอกอำนาจตามกฎหมาย เช่น การสั่งให้กระทำหรือระงับการกระทำใด ๆ ตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 ร้อยละ 12.13 ทั้งนี้สาธารณสุขอำเภอไม่มีบัตรประจำตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายใด ๆ ร้อยละ 33.45 การดำเนินงานตามกฎหมายมักดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น และมีระดับความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับปานกลาง</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยด้านเพศ อายุ ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ระดับการศึกษา และภูมิภาคของสาธารณสุขอำเภอ มีการรับรู้บทบาทหน้าที่และระดับความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านการคุ้มครองผู้บริโภค</span><span style="font-size: 0.875rem;">ไม่แตกต่างกัน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. สาธารณสุขอำเภอมีการรับรู้บทบาทหน้าที่สัมพันธ์ทางบวกในระดับต่ำกับความมั่นใจในการปฏิบัติตามกฎหมายด้านการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p>ดังนั้นควรกำหนดบทบาทหน้าที่ ระหว่างสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรในพื้นที่รับผิดชอบให้ชัดเจน รวมถึงจัดทำคู่มือและฝึกอบรมเพิ่มเติม และจัดทำบัตรพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ครบถ้วนตามกฎหมาย</p>
2025-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/277014
ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ กับพฤติกรรมป้องกันภาวะน้ำเกินและภาวะน้ำเกินของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว คลินิกอายุรกรรมหัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลลำปาง
2025-09-16T09:15:44+07:00
ปนัดดา สวัสดี
panadda.s@mail.bcnlp.ac.th
กรรณิการ์ กองบุญเกิด
Kannika.K@mail.bcnlp.ac.th
อนุรักษ์ แสงจันทร์
Kannika.K@mail.bcnlp.ac.th
ปิยวรา กาจารี
Kannika.K@mail.bcnlp.ac.th
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบหาความสัมพันธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ 2) ระดับพฤติกรรมป้องกันภาวะน้ำเกิน 3) ภาวะน้ำเกิน และ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพ กับพฤติกรรมป้องกันภาวะน้ำเกิน และภาวะน้ำเกินของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว จำนวน 84 ราย ที่มารับการรักษาที่คลินิกอายุรกรรมหัวใจล้มเหลว โรงพยาบาลลำปาง ระหว่างเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 ถึง พฤษภาคม พ.ศ. 2567 โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 3 ฉบับ ได้แก่ แบบสอบถามความรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบสอบถามพฤติกรรมป้องกันภาวะน้ำเกิน และแบบสอบถามภาวะน้ำเกิน ซึ่งมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ .80, .99, และ 1.00 ตามลำดับ และมีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .95, .86 และ .90 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เชิงอันดับของสเปียร์แมน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง ได้แก่ ด้านสุขภาพขั้นพื้นฐาน (ร้อยละ 53.58) ด้านสุขภาพขั้นการสื่อสาร (ร้อยละ 51.19) และด้านสุขภาพขั้นการมีวิจารณญาณ (ร้อยละ 67.86)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. พฤติกรรมป้องกันภาวะน้ำเกิน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 70.20)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ภาวะน้ำเกิน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 57.14)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">4. ความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับต่ำกับพฤติกรรมป้องกันภาวะน้ำเกินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (𝑟𝑠 = .27, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .05) และมีความสัมพันธ์ทางลบระดับปานกลางกับภาวะน้ำเกินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (𝑟𝑠= -.44, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .01)</span></p> <p>พยาบาลวิชาชีพควรส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเกี่ยวกับภาวะหัวใจล้มเหลว เพื่อให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดูแลตนเองที่เหมาะสม และลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำเกินซ้ำในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวได้</p>
2025-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/279792
รูปแบบการดำเนินงานเพื่อเร่งรัดกำจัดไข้มาลาเรียในพื้นที่มีปัญหาความไม่สงบ จังหวัดยะลา
2025-09-16T09:13:07+07:00
ปฐมพร พริกชู
porpoh@hotmail.com
ปรียาภรณ์ ซุ่ยดา
porpoh@hotmail.com
ปัญญสิริย์ จันทร์น้อย
porpoh@hotmail.com
<p>การวิจัยแบบผสมผสานวิธี นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินผลการดำเนินงานกำจัดโรคไข้มาลาเรียในปี พ.ศ. 2560 - 2567 ของจังหวัดยะลา 2) ถอดบทเรียนการดำเนินงานกำจัดมาลาเรียของจังหวัด ดำเนินการ 3 ขั้นตอนคือ 1) สืบค้นข้อมูลด้านผลผลิตและผลกระทบจากฐานข้อมูลมาลาเรียของกองโรคติดต่อ นำโดยแมลง 2) ศึกษาผลลัพธ์ด้วยการศึกษาเชิงปริมาณในด้านความรู้และพฤติกรรมป้องกัน ในประชากร 558 ราย ใน 5 อำเภอของจังหวัดยะลาที่ได้ดำเนินโครงการ และ 3) ศึกษาปัจจัยนำเข้าและกระบวนการด้วยวิธีการเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และสนทนากลุ่มกับผู้ปฏิบัติงานของหน่วยงานภาคีรวม 49 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของจังหวัดกับเป้าหมายของกรมควบคุมโรค ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ในภาพรวมการกำจัดโรคไข้มาลาเรียมีความก้าวหน้ามาก ตัวชี้วัดส่วนใหญ่ได้ผลสูงกว่าเป้าของประเทศ ผู้ป่วยมาลาเรียได้รับการรักษาตามแนวทางของประเทศร้อยละ 100 ประชากรในพื้นที่เสี่ยงนอน</span><span style="font-size: 0.875rem;">ในมุ้งชุบสารเคมีร้อยละ 86.70 ในคืนก่อนการสำรวจ อัตราการเกิดโรคต่อประชากรพันคน ลดลงจาก 6.74 ในปี 2560 เหลือเพียง 0.12 แต่ยังไม่บรรลุผลในการหยุดการแพร่เชื้อในพื้นที่ครบ 3 ปี</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. บทเรียนของการดำเนินงาน พบว่าหน่วยงานสาธารณสุขใช้กลยุทธ์คืนข้อมูลจำนวนผู้ป่วยแต่ละหมู่บ้านแก่ชุมชนเพื่อสร้างความตระหนักต่อปัญหา ทำให้งานกำจัดโรคไข้มาลาเรียเป็นเป้าหมายร่วมของหน่วยงานสาธารณสุขและชุมชน ขยายบริการป้องกัน ตรวจวินิจฉัย รักษา นักสื่อสารของสมาคมยุวมุสลิม</span><span style="font-size: 0.875rem;">ได้ทำงานกับผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนาอิสลาม และสมาชิกชุมชน สร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่สอดคล้องกับภาษาและวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อปรับพฤติกรรมและการมีส่วนร่วม</span></p> <p>หน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีช่องทางการสื่อสารสองทางเพื่อรายงานกรณีผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว และเพื่อบรรลุเป้าหมายการกำจัดโรคไข้มาลาเรียของจังหวัด หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปด้วยทรัพยากรภายในประเทศ</p>
2025-12-02T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/282692
ความคิดเห็นและมุมมองต่อบทบาทหน้าที่ ภารกิจและโครงสร้างของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอภายหลังการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2025-11-14T22:10:13+07:00
นภชา สิงห์วีรธรรม
noppcha.s@cmu.ac.th
พัลลภ เซียวชัยสกุล
Pallop.s@cmu.ac.th
วิไลลักษณ์ เรืองรัตนตรัย
rwilailuk@hotmail.com
นนท์ จินดาเวช
noppcha.s@cmu.ac.th
เกษมศานต์ ชัยศิลป์
chaisil@hotmail.com
ไชยวิสุทธิ์ อุดทาโม๊ะ
big.chaiwisut@gmail.com
<p>การศึกษาเชิงพรรณนานี้ เพื่อสำรวจความคิดเห็นของบุคลากรที่เกี่ยวข้องต่อบทบาท หน้าที่ ภารกิจและโครงสร้างของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) ภายหลังการถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การศึกษาใช้มุมมอง 3 ด้าน ได้แก่ สสจ.และ สสอ. มองตนเอง สสจ.และ สสอ. มองซึ่งกันและกัน และโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ./รพท.) มอง สสจ.และ สสอ. กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการ รพศ./รพท. และบุคลากร สสอ.ทั่วประเทศ รวม 752 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือเป็นแบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์ 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ความคิดเห็นต่อบทบาทและภารกิจของสสอ. และความคิดเห็นต่อบทบาทและภารกิจของสสจ. มีค่าดัชนีความสอดคล้อง .67–1.00 และค่าความเชื่อมั่น .73 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ความคิดเห็นต่อการปรับบทบาท หน้าที่ ภารกิจและโครงสร้างของ สสจ. ส่วนใหญ่สอดคล้องกัน ยกเว้นประเด็นการลดขนาดและอัตรากำลังของฝ่ายที่เคยเกี่ยวข้องกับรพ.สต. โดย สสจ.และสสอ.ไม่เห็นด้วย แต่ รพศ./รพท.เห็นด้วย สำหรับความคิดเห็นต่อการปรับบทบาทและโครงสร้างของสสอ. พบว่าส่วนใหญ่มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ในประเด็นการคงบทบาทและอัตรากำลังเหมือนเดิม การลดขนาดและอัตรากำลังเฉพาะตำแหน่งที่จำเป็น การเพิ่มภารกิจด้านการรักษาพยาบาล รวมทั้งการยุบ ควบรวม สสอ.</p> <p>ดังนั้นจึงควรพิจารณาการบริหารจัดการโครงสร้างของ สสจ. และ สสอ. แบบยืดหยุ่น ไม่ยึดติดเขตการปกครองอำเภอ โดยอาจใช้รูปแบบคลัสเตอร์ หรือรวมสสอ. บางพื้นที่เข้ากับ สสจ. ปรับขนาดองค์กรให้สอดคล้องกับภารกิจและความต้องการด้านสุขภาพของประชาชน มากกว่าการกำหนดตามพื้นที่ เพื่อให้การจัดบริการสาธารณสุขมีประสิทธิภาพและตอบสนองปัญหาจริง</p>
2025-12-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/279653
ผลของการฟังอัลกุรอานต่อความวิตกกังวลของผู้สูงอายุไทยมุสลิมก่อนรับการผ่าตัดโดยวิธีการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย
2025-08-14T08:07:53+07:00
อับดุลวารีษ โต๊ะยูโซ๊ะ
abdulvaris_t@cmu.ac.th
เดชา ทำดี
aauumm28@gmail.com
จิตตวดี เหรียญทอง
aauumm28@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฟังอัลกุรอานต่อการลดความวิตกกังวลในผู้ป่วยสูงอายุไทยมุสลิมก่อนรับการผ่าตัดโดยวิธีการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกาย กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยสูงอายุไทยมุสลิมก่อนรับการผ่าตัด โดยวิธีการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายจำนวน 68 คน สุ่มแบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 34 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการฟังอัลกุรอานโดยเปิดในไอแพดแอร์ 4 ฟังผ่านหูฟังแอร์พอร์ตโปรที่ตัดเสียงรบกวนได้ส่วนกลุ่มควบคุมใส่หูฟังแอร์พอร์ตโปรแบบไม่ได้เปิดเสียง และให้การดูแลการพยาบาลตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลความเจ็บป่วย และ 2) แบบประเมินความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ขณะเผชิญของสปิลเบอร์เกอร์ฉบับแปลภาษาไทย ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .94 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบทีแบบอิสระและการทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระ ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กลุ่มทดลองที่ได้รับการฟังอัลกุรอานมีคะแนนความวิตกกังวลน้อยกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลุ่มทดลองที่ได้รับการฟังอัลกุรอานมีคะแนนความวิตกกังวลน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .001)</span></p> <p>ดังนั้นพยาบาลสามารถนำผลการศึกษาไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการพยาบาลเพื่อลดความวิตกกังวลในผู้ป่วยสูงอายุไทยมุสลิมก่อนรับการผ่าตัดโดยวิธีการให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วร่างกายได้</p>
2025-12-10T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/scnet/article/view/282531
ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมกรอบความคิดแบบเติบโตในการลดภาวะเครียดของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
2025-10-04T10:02:22+07:00
รัชนี ศรีตะวัน
ratchaneesritawan@gmail.com
กวินลักษณ์ นาวิชิต
katkawinlak@gmail.com
กัลยา สุรารักษ์
kanlayasurarak@gmail.com
ปริญญากร วรวรรณถาวร
priyyakrwrwr@gmail.com
มาเรียญา คาราสะมานะกิ
Mali646438253@gmail.com
ณัฐนันท์ โพธิ์สุวรรณ
Nattanan03112547@gmail.com
ณพิชชา ปาละโค
Napitcha2547@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดซ้ำ เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความเครียดของนักศึกษาก่อน หลัง และติดตามผล 1 สัปดาห์ หลังเข้าร่วมโปรแกรมส่งเสริมกรอบความคิด แบบเติบโต และเปรียบเทียบระดับความเครียดเป็นรายคู่ ระหว่างช่วงเวลาของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาที่มีความเครียดระดับปานกลางขึ้นไป จำนวน 30 คน โดยการสมัครใจเข้าร่วม(Voluntary Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมส่งเสริมกรอบแนวคิดแบบเติบโต ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหา เท่ากับ .67 - 1.00 และ 2) แบบวัดความรู้สึกเครียด มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .82 โดยแบบวัดมีคะแนนรวม 0 – 40 คะแนน แปลผลเป็นระดับความเครียดต่ำ (0 – 13 คะแนน) ปานกลาง (14 – 26 คะแนน) และสูง (27 – 40 คะแนน) การเก็บข้อมูล 3 ระยะคือก่อน หลัง และการติดตามผล 1 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน สถิติ Friedman Test และสถิติ Wilcoxon Signed-Rank ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังการใช้โปรแกรมคะแนนความเครียดทั้งสามช่วงเวลาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (c</span><sup>2 </sup><span style="font-size: 0.875rem;">= 20.157, </span><em style="font-size: 0.875rem;">df</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 2, </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .001) โดยมีขนาดอิทธิพลระดับปานกลาง (Kendall’s W = 0.34) คะแนนมัธยฐานความเครียดลดลงจาก จาก 30.00 (IQR = 10.00) ก่อนการทดลอง เหลือ 24.50 (IQR = 9.00) หลังการทดลองทันที และ 21.00 (IQR = 9.00) ในช่วงติดตามผล 1 สัปดาห์ ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. การทดสอบรายคู่ด้วย Wilcoxon Signed-Rank Test พบว่าคะแนนความเครียดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกช่วงเวลาการเปรียบเทียบ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .05) โดยมีขนาดอิทธิพลระดับปานกลางถึงใหญ่ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .39–.72) ตามลำดับ</span></p> <p>การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมส่งเสริมกรอบความคิดแบบเติบโตมีประสิทธิผลในการลดระดับความเครียดของนักศึกษาและยังคงผลลัพธ์ต่อเนื่องหลังสิ้นสุดโปรแกรม ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพจิตเชิงป้องกันของนักศึกษา และประยุกต์ใช้กับนักศึกษาคณะอื่น ๆเพื่อขยายผลการใช้ประโยชน์ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น</p>
2025-12-13T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้