ผลของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในตัวอย่างเลือดที่ส่งตรวจต่อความคลาดเคลื่อนของค่าซีรัมอิเล็กโทรไลต์

Main Article Content

จินดา ใสสุขสอาด
ยศวีร์ โชติช่วง

บทคัดย่อ

ภูมิหลัง : ภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในตัวอย่างเลือดที่ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ อาจทำให้ผลตรวจอิเล็กโทรไลต์คลาดเคลื่อน ต้องเจาะเลือดส่งตรวจซ้ำ ทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสที่จะได้รับการรักษาในเวลาที่เหมาะสม
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาถึงความคลาดเคลื่อนของค่าอิเล็กโทรไลต์ในตัวอย่างเลือดที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก และสร้างสมการที่ช่วยแก้ไขค่าดังกล่าวให้ใกล้เคียงความเป็นจริง
วัสดุและวิธีการ : เป็นการศึกษาแบบวิเคราะห์เปรียบเทียบ กลุ่มศึกษาได้แก่ ตัวอย่างเลือดที่ส่งตรวจค่าอิเล็กโทรไลต์จากหอผู้ป่วยอายุรกรรม รพ.ลำปาง ที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ระดับ 1+ และ 2+ จำนวน 50 และ 25 ตัวอย่างตามลำดับ กลุ่มควบคุมคือ ตัวอย่างเลือดที่ไม่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก จาก
ผู้ป่วยรายเดียวกันที่ส่งตรวจซ้ำภายใน 4 ชั่วโมงภายหลังจากตรวจพบภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยสถิติ paired t-test วิเคราะห์หาความสัมพันธ์และสร้างสมการสำหรับคำนวณผลกลับด้วยสถิติ regression analysis
ผลการศึกษา : ค่าอิเล็กโทรไลต์ที่ตรวจจากตัวอย่างเลือดที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เมื่อเทียบกับตัวอย่างควบคุมพบว่า โปแตสเซียมมีค่าสูงกว่า (4.68±1.24 mEq/L vs 3.82±0.98 mEq/L, p<0.001)ส่วนโซเดียมและคลอไรด์มีค่าต่ำกว่า (135.31±7.54 mEq/L vs 136.51±7.17 mEq/L, p<0.001
และ 98.81±10.24 mEq/L vs 100.02±10.01 mEq/L, p=0.001 ตามลำดับ) สำหรับไบคาร์บอเนตไม่มีความแตกต่างกัน (21.80±5.35 mEq/L vs 22.29±5.23 mEq/L, p=0.136) เมื่อสร้างสมการเส้นตรงสำหรับคำนวณหาค่าโปแตสเซียมที่แท้จริงของตัวอย่างที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ระดับ 1+ และ 2+ ได้สมการคือy = 0.62x + 1.75 และ y = 0.62x + 1.11 ตามลำดับ
สรุป : ค่าอิเล็กโทรไลต์ที่ตรวจจากตัวอย่างเลือดที่มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ระดับ 1+ และ 2+มีความคลาดเคลื่อนของค่าโปแตสเซียมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โซเดียมและคลอไรด์ต่ำลง ส่วนไบคาร์บอเนตไม่มีความแตกต่างทางสถิติ การศึกษานี้สามารถใช้สมการที่สร้างขึ้นคำนวณหาค่าโปแตสเซียม
ที่ถูกต้องได้ ช่วยให้ไม่ต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
ใสสุขสอาด จ., & โชติช่วง . ย. . (2022). ผลของภาวะเม็ดเลือดแดงแตกในตัวอย่างเลือดที่ส่งตรวจต่อความคลาดเคลื่อนของค่าซีรัมอิเล็กโทรไลต์. ลำปางเวชสาร, 31(2), 75–82. สืบค้น จาก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/article/view/259823
ประเภทบทความ
นิพนธ์ต้นฉบับ

เอกสารอ้างอิง

พรทิพย์ โล่ห์เลขา. เคมีคลินิกประยุกต์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: ชัยเจริญ; 2533: 2-37.

Hira K, Ohtani Y, Rahman M, Noguchi Y,Shimbo T, Fukui T. Pseudohyperkalaemia caused by recentrifugation of blood samples after storage in gel separator tubes. Ann Clin Biochem 2001; 38: 386-90.

Dimeski G, Clague AE, Hickman PE. Correction and reporting of potassium results in haemolysated samples. Ann Clin Biochem 2005; 42:119-23.

Frank J, Bermes EW, Bickel MJ, Watkins BF. Effect of in vitro hemolysis on chemical values for serum. Clin Chem 1978;24:1966-70.

Jay D, Provasek D. Characterization and mathematical correction of hemolysis interference in selected Hitachi 717 assays. Clin Chem 1993; 39: 1804-10.

อรุณ จิรวัฒน์กุล, มาลินี เหล่าไพบูลย์, จิราพร เขียวอยู่, ยุพา ถาวรพิทักษ์, จารุวรรณ โชคคณา พิทักษ์. การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของประชากร 2 กลุ่ม.ใน: อรุณ จิรวัฒน์กุล (บรรณาธิการ). ชีวสถิติ. คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ; 2542:144-59.

Lippi G, Salvagno GL, Montagnana M, Brocco G, Guidi GC. Influence of hemolysis on routine clinical chemistry testing. Clin Chem Lab Med 2006; 44:311-6.

Owens H, Siparsky G, Bajaj L, Hampers CL. Correction of factitious hyperkalemia in hemolyzed specimens. Am J Emerg Med 2005; 23:872-5