คำแนะนำสำหรับผู้ส่งบทความลงพิมพ์ลำปางเวชสาร

 วัตถุประสงค์

          ลำปางเวชสาร เป็นวารสารวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขของ โรงพยาบาลลำปาง                     

เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากการทบทวน วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประยุกต์ข้อมูลสารสนเทศ ได้แก่ รายงานการวิจัย

รายงานผู้ป่วย และบทความปริทัศน์ที่น่าสนใจ เพื่อสาธารณชนได้ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม 

นโยบายและเกณฑ์การปฏิบัติ

          ลำปางเวชสาร เป็นวารสารที่ใช้ระบบ peer review แบบ double-blinded  คือ ผู้นิพนธ์ จะไม่ทราบว่า                                                         

ใครเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณาบทความ และผู้ทรงคุณวุฒิก็จะไม่ทราบว่าบทความ ที่พิจารณาเป็นของผู้ใด 

รายงานการวิจัย รายงานผู้ป่วย และบทความปริทัศน์จะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน

ต่อ 1 บทความ บทความที่ส่งมาลงพิมพ์ต้องไม่เคยพิมพ์หรือกำลังได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่นเนื้อหาในบทความ

ต้องเป็นผลงานของผู้นิพนธ์เอง ไม่ได้ลอกเลียนหรือตัดทอนจากบทความอื่นโดย ไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม

การแก้ไขหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่กองบรรณาธิการ จะต้องเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะได้รับพิจารณาตีพิมพ์ และบทความที่ตีพิมพ์

แล้วเป็นสมบัติของลำปางเวชสารต้องมีหนังสือลงนามรับรองบทความของผู้นิพนธ์ทุกคน

             หากเป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หรือสัตว์ทดลองต้องมีหนังสือรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยของสถาบัน

แนบมาด้วยเสมอ ต้นฉบับที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง จะถูกส่งคืนเจ้าของบทความเพื่อแก้ไขก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาบทความ

           กำหนดเผยแพร่

ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน (กำหนดเผยแพร่ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม)

ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม (กำหนดเผยแพร่ภายในวันที่ 30 กันยายน)

ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (กำหนดเผยแพร่ภายในวันที่ 31 มกราคม)

      

การเตรียมและส่งต้นฉบับ                                                                                               

1. ให้จัดหน้ากระดาษขนาด A4 (216x279 มม.) และให้เว้นระยะห่างจากขอบกระดาษ 1 นิ้ว ใส่เลขหน้ามุมขวาบนหรือล่าง

ของกระดาษ ตั้งแต่หน้าแรกเรียงไปตามลำดับ  ใช้โปรแกรม Microsoft Words, Font Th Sarabun 16 point  

พร้อมแจ้งสถานที่ติดต่อและหมายเลขโทรศัพท์/โทรสาร/E-mail โดยให้พิมพ์หน้าเดียวบนกระดาษ ขนาด A4 (216x279 มม.)

เว้นระยะห่างจากขอบกระดาษซ้ายมือ อย่างน้อย 25 มม. (1 นิ้ว)

2. ให้ส่งบทความต้นฉบับที่จะลงพิมพ์ พร้อมภาพประกอบ กราฟ ตาราง และแผนภูมิ ในระบบออนไลน์ 

ที่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ

 

ส่วนประกอบของผลงาน มีดังนี้

1. หน้าแรก ประกอบด้วย

          1.1 ชื่อเรื่อง ควรสั้นกะทัดรัด และสื่อเป้าหมายหลักของการศึกษา ไม่ใช้คำย่อ ความยาวไม่เกิน 100 ตัวอักษร

พร้อมช่องไฟ ถ้าชื่อยาวมากให้ตัดเป็นชื่อเรื่องรอง (subtitle) ชื่อเรื่องต้องมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

          1.2 ชื่อผู้นิพนธ์ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ไม่ใช้คำย่อ) พร้อมทั้งอภิไธยสูงสุดที่ได้รับต่อท้ายชื่อ

และไม่ใส่ตำแหน่งวิชาการ

          1.3 สถานที่ทำงานของผู้นิพนธ์

2. บทคัดย่อ (abstract)

           เป็นเนื้อความย่อลำดับตามโครงสร้างของบทความแบ่งหัวข้อย่อย เป็นภูมิหลัง วัตถุประสงค์ วัสดุและวิธีการ 

ผลการศึกษา  และสรุป ไม่ควรเกิน 350 คำ ใช้ภาษารัดกุมเป็นประโยคสมบูรณ์ มีความหมายในตัวเอง  ต้องมีทั้งบทคัดย่อภาษาไทย

และภาษาอังกฤษ (Abstract) ควรผ่านการตรวจแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษให้เรียบร้อยก่อนและไม่ควรมีคำย่อ

3. คำสำคัญ (keywords)

           ใส่ไว้ท้ายบทคัดย่อเป็นหัวข้อเรื่องสำหรับทำดัชนีเรื่อง (subject index) ของปีวารสาร (volume) และดัชนีเรื่อง

สำหรับ Index Medicus โดยใช้ Medical Subject Headings (MeSH) terms ของ U.S. National Library of Medicine 

เป็นแนวทางการให้คำสำคัญหรือคำหลัก

4. บทนำ (introduction)

           เป็นส่วนของบทความที่บอกเหตุผลนำไปสู่การศึกษา แต่ไม่ต้องทบทวนวรรณกรรมมากมายที่ไม่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมาย

ของการศึกษา เป็นส่วนที่อธิบายให้ผู้อ่านรู้ว่าจะตอบคำถามอะไร และให้รวมวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็นร้อยแก้ว

ในส่วนท้ายของบทนำ

5. วัสดุและวิธีการ (materials and methods)

          เริ่มด้วยรูปแบบ แผนการศึกษา (study design, protocol) เช่น randomized controlled trial,

descriptive หรือ quasi-experiment การสุ่มตัวอย่าง เช่น การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย  แบบหลายขั้นตอน   เป็นต้น 

วิธีหรือมาตรการที่ใช้ศึกษา (intervention) เช่น การรักษา ชนิดและขนาดของยาที่ใช้ (ถ้าเป็นมาตรการ  ที่รู้จักทั่วไป

ให้ระบุในเอกสารอ้างอิงถ้าเป็นวิธีใหม่อธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจแล้วนำไปใช้ต่อได้) วิธีการเก็บข้อมูล วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล

และสถิติที่ใช้

6. ผลการศึกษา (results)

           แจ้งผลที่พบตามลำดับหัวข้อของแผนการศึกษาอย่างชัดเจน ดูได้ง่าย ถ้าผลไม่ซับซ้อน ไม่มีตัวเลขมาก

ให้บรรยายเป็นร้อยแก้ว ถ้ามีจำนวนตัวเลขหรือตัวแปรมาก ควรใช้ตารางหรือแผนภูมิ ให้แปลความหมายของผลที่ค้นพบ

หรือวิเคราะห์และสรุปเปรียบเทียบกับสมมติฐานที่วางไว้

7. วิจารณ์ (discussion)

           เริ่มด้วยการวิจารณ์ผลการศึกษาตรงกับวัตถุประสงค์ สมมติฐานของการวิจัย หรือแตกต่างไปจากผลงานที่มีผู้รายงานไว้ก่อนหรือไม่

อย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น วิจารณ์ผลที่ไม่ตรงตามที่คาดหวังอย่างไม่ปิดบัง บอกข้อเด่น ข้อด้อยของการศึกษา

8. สรุป (conclusion)

            สรุปผลที่ได้ว่าตรงกับวัตถุประสงค์การวิจัยหรือไม่ ให้ข้อเสนอแนะที่นำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์

หรือให้ประเด็นคำถามการวิจัยสำหรับการวิจัยต่อไป

9. กิตติกรรมประกาศ (acknowledgements)

           มีเพียงย่อหน้าเดียว แจ้งให้ทราบว่า มีการช่วยเหลือที่สำคัญจากบุคคล หน่วยงาน หรือ องค์กรใดบ้าง เช่น ผู้บริหาร

ผู้ช่วยเหลือทางเทคนิคบางอย่าง และผู้สนับสนุนทุนการวิจัย

10. เอกสารอ้างอิง (references)

           การอ้างอิงเอกสารใช้ระบบแวนคูเวอร์ (Vancouver Style) โดยใส่ตัวเลขอารบิกหลังข้อความ

หรือหลังชื่อบุคคลเจ้าของข้อความที่อ้างถึงเป็นตัวยกอยู่ในวงเล็บ โดยใช้หมายเลข 1 สำหรับเอกสารอ้างอิงอันดับแรก

และเรียงต่อไปตามลำดับ  ถ้าต้องการอ้างอิงซ้ำให้ใช้หมายเลขเดิม

           ชื่อวารสารในการอ้างอิง ให้ใช้ชื่อย่อตามรูปแบบของ U.S. National Library of Medicine

ที่ตีพิมพ์ใน Index Medicus  หรือในเว็บไซต์ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/nlmcatalog/journals/

 

ตัวอย่างการเขียนเอกสารอ้างอิง

  หลักการอ้างอิงในเนื้อเรื่อง (in-text citation) เมื่อนำผลงานของบุคคลอื่น ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดมาอ้างอิงในงานนิพนธ์

ให้ใส่ตัวเลขกำกับที่ท้ายข้อความนั้น เรียงตามลำดับ 1,2,3...โดยใช้ตัวเลขอารบิกอยู่ในวงเล็บกลม (round brackets)

หรือตัวเลขยกขึ้น (superscript) แล้วรวบรวมเป็นรายการอ้างอิง (Reference list  หรือ Bibliography) ที่ส่วนท้ายของงานนิพนธ์

การเขียนเอกสารอ้างอิงผลงานวิชาการในรูปแบบแวนคูเวอร์มีหลักเกณฑ์  ดังนี้

 

ตัวอย่างการอ้างอิงบทความจากวารสาร  

           บทความที่มีผู้แต่งเป็นบุคคล

1. กำทร ดานา. การพัฒนาบทบาทการดูแลผู้ป่วยจิตเวชของครอบครัวและภาคีเครือข่ายในชุมชน. วารสารวิชาการสาธารณสุข. 2564;30(3):406-14.

2. Kuwabara M, Yashiro M, Kotani K, Tsuboi S, Ae R, Nakamura Y, et al. Cardiac lesions and initial laboratory data in Kawasaki disease: a nationwide survey in Japan. J Epidemiol  2015;25(3):189–93.

           บทความที่ผู้แต่งเป็นหน่วยงานหรือสถาบัน

1. สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม. วารสารโรคข้อและรูมาติสซั่ม 2550;18:83-8..

2. American College of Dentists, Board of Regents. The ethics quackery and fraud in dentistry: a position paper. J Am Coll Dent 2003;70:6-8.

 

           บทความที่ไม่มีชื่อผู้แต่ง ให้เขียนชื่อบทความเป็นรายการแรก

1. Characterization of T-Cell Responses to Cryptic Epitopes in Recipients of a Noncodon-Optimized HIV-1 Vaccine. J Acquir Immune Defic Syndr 2014;65:142-50.

2. การนวดแบบราชสำนักในผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อ Upper trapezius. วารสารเทคนิคการแพทย์และกายภาพบำบัด 2556:25:45-62.

 

ตัวอย่างการอ้างอิงหนังสือ ตำรา หรือรายงาน

           หนังสือที่มีผู้แต่งเป็นบุคคล

1. Cleland JA. Netter’s orthopaedic clinical examination: an evidence-based approach. 2nd ed. Philadelphia: Elsevier; 2011.

2. ยงยุทธ สหัสกุล. ECG ทางคลินิก เล่ม 2. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: เอ็น.พี.เพรส; 2552.

          หนังสือที่มีผู้แต่งเป็นบรรณาธิการหรือผู้รวบรวม (Editor / Compiler)

1. Zeibig EA, editor. Clinical parasitology: a practical approach. 2nd ed. Missouri: Elsevier; 2013.

2. พนิชา อิ่มสมบูรณ์, บรรณาธิการ. ไมเกรน รักษาได้โดยไม่ใช้ยา. 3 เล่ม. กรุงเทพฯ: เนชั่นบุ๊คส์; 2556.

          หนังสือที่มีผู้แต่งเป็นหน่วยงานหรือสถาบัน (Organization)

1. Advanced Life Support Group. Acute medical emergencies: the practical approach. London: BMJ Books; 2001.

2. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. Manual of medical therapeutics. กรุงเทพฯ: ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; 2553.

          หนังสือที่มีผู้เขียนเฉพาะบท และมีบรรณาธิการของหนังสือ (Chapter in a book)

1. Aldridge M, Stephen W. Developing healthcare skills through simulation. In: Murray PR, Rosenthal KS, Pfaller MA, editors. Medical microbiology. 7th ed. Philadelphia: Elsevier; 2013.  p.151-62.

2. วีระชัย วาสิกดิลก. ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น. ใน: ศรีเกียรติ อนันต์สวัสดิ์. การดูแลด้านจิตวิญญาณในผู้ป่วยระยะสุดท้าย. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: โครงการสวัสดิการ สถาบันพระบรมราชชนก; 2553. น. 87-96.

           หนังสือประกอบการประชุม / รายงานการประชุม สัมมนา (Conference proceeding)

1. JSPS-NRCT Core University Exchange System on Pharmaceutical Sciences, National Research Council of Thailand. Advance in research on pharmacologically active substances from natural sources; 1992 Dec 3-5, Holiday Garden Hotel, Chiang Mai. Chiang Mai: The University; 1992.

2. การประชุมวิชาการคณะเทคนิคการแพทย์ ประจำปี, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. การประชุมวิชาการคณะเทคนิคการแพทย์ ประจำปี พ.ศ. 2553 เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษก ปีที่ 60 และการเฉลิมพระชนมพรรษา; วันที่ 30 พฤศจิกายน - วันที่ 3 ธันวาคม 2553; ณ โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัย; 2553.

            วิทยานิพนธ์ (Thesis /Dissertation)

1. Napaporn Apiratmateekul. Development of high efficiency hybridoma technology for production of Monoclonal antibodies [dissertation]. Chiang Mai: Chiang Mai University; 2012.

2. กชพร ศรีพรรณ์. การพัฒนาแบบทดสอบมาตรฐานทักษะการรู้สารสนเทศสำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสารสนเทศศึกษา]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2553.

 

          บทความในหนังสือพิมพ์ (Newspaper article)

1. Wangkiat P. 8 medical faculties call for Feb 2 election delay. Bangkok Post. 2014 Jan 21; National: 2 (col. 1).

2. เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง. หนี้สาธารณะพุ่ง สวนทางเศรษฐกิจหด. โพสต์ทูเดย์. 21 มกราคม 25571; วิเคราะห์เศรษฐกิจ: น.5.

          พจนานุกรม (Dictionary)

1. Quick reference dictionary for occupational therapy. 3rd ed. Thorofare, N.J: SLACK;2001. delusion; p.48

2. พจนานุกรมโรคและการบำบัด = Dictionary of diseases and therapies. กรุงเทพฯ: รวมสาส์น; 2543.  โรคข้อเสื่อม; น. 208-9

          เอกสารสิทธิบัตร (Patent)

1. Pagedas AC, inventor; Ancel Surgical R&D Inc., assignee. Flexible endoscopic grasping and cutting device and positioning tool assembly. United States patent US 20020103498. 2002 Aug 1.

         

ตัวอย่างการเขียนอ้างอิงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Material)

           หนังสือบนอินเทอร์เน็ต (Monograph on the Internet)

1. Cara E, MacRae A. Psychosocial Occupational Therapy: An Evolving Practice [Internet]. 3rd ed. New York: McGraw-Hill; 2012 [cited 2014 Jan 23]. Available from: http://books.google.co.th/books?id=-tALMZO1XBcC&printsec=frontcover&dq=occupational+therapy&hl=en&sa=X&ei=WcjgUsWVJ4W1kAXY1YCgBA&ved=0CEQQ6AEwBQ#v=onepage&q=occupational%20therapy&f=false

          บทความวารสารบนอินเทอร์เน็ต (Journal article on the Internet)

1. Lamb AJ, Metzler CA. Defining the value of occupational therapy: A health policy lens on research and practice. Am J Occup Ther [Internet]. 2014 Jan/Feb [cited 2014 Jan 23];68(1):9-14. Available from:http://search.proquest.com/docview/1477346021/fulltextPDF/

143233F07D84583B028/3?accountid=4472           

          บทความที่มีการเผยแพร่ทางอิเล็กทรอนิกส์ก่อนฉบับพิมพ์ (Article published electronically ahead of the print version)

***เติมคำว่า [Epub ahead of print] ซึ่งส่วนมากจะเป็นบทความที่สืบค้นได้จากฐานข้อมูล PubMed

1. Newell EW, Davis MM. Beyond model antigens: high-dimensional methods for the analysis of antigen-specific T cells. Nat Biotechnol. 2014 Jan 19. [Epub ahead of print] 

          บทความที่มีหมายเลขเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Article with document number in place of traditional pagination)

1. Vandersickel N, Kazbanov IV, Nuitermans A, Weise LD, Pandit R, Panfilov AV. A study of early afterdepolarizations in a model for human ventricular tissue. PLoS One                          2014 Jan 10;9(1):e84595. PMID: 24427289

          บทความที่มีรหัสประจำบทความดิจิทัล (Article with a Digital Object Identifier (DOI))

1. Petvises S, O'Neill HC. Distinct progenitor origin distinguishes a lineage of dendritic-like cells in spleen. Front Immunol 2014 Jan 2;4(501). doi: 10.3389/fimmu.2013.00501. 

           ซีดี-รอม (CD-ROM)  

1. Safran MR. Instructions for sports medicine patients [CD-ROM]. 2nd ed. Philadelphia: Elsevier; 2012.

2. รัญชนา มากมี. การเปรียบเทียบผลการให้ความรู้เรื่องกายภาพบำบัดก่อนและหลังการใช้สื่อวิดิทัศน์แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ [ซีดีรอม]. เชียงใหม่: คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2556.                                                  

          การอ้างอิงโฮมเพจ/เว็บไซต์ (Homepage/Web site)

1. World Health Organization [Internet]. Switzerland: World Health Organization; c1999 [updated 2014 Jan 10; cited 2014 Jan 23] Available from:http://www.who.int/en/

2. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข; c2552 [ปรับปรุงเมื่อ 7 ธันวาคม 2556 ; เข้าถึงเมื่อ 23 มกราคม 2557] เข้าถึงได้จาก http://www.dmsc.moph.go.th/dmsc/home.php         

          การอ้างอิงฐานข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต (Database on the Internet)

เป็นรูปแบบที่สามารถประยุกต์ใช้ได้ตามข้อมูลที่จะนำมาอ้างอิง นิยมใช้กันมากในการอ้างอิงข้อมูลต่างๆ ที่สืบค้นได้จากอินเทอร์เน็ต

1. American Medical Association [Internet]. Chicago: The Association; c1995-2002

[updated 2001 Aug 23; cited 2002 Aug 12]. AMA Office of Group Practice Liaison;

[about 2 screens]. Available from: http://www.amaassn.org/ama/pub/category/1736.html http://www.who.int/en/

2. Wikipedia. Generation Y [Internet]. 2011 [cited 2011 Jul 5]. Available from:

http://en.wikipedia.org/wiki/Generation_Y

ที่มา : ทิพวรรณ สุขรวย. การเขียนอ้างอิงวิชาการรูปแบบ Vancouver style [อินเทอร์เน็ต]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ห้องสมุดคณะเทคนิคการแพทย์; 2557 [เข้าถึงเมื่อ 14 มิ.ย.2560]. เข้าถึงได้จาก:  http://www.ams.cmu.ac.th/lib/administrator/paper/Vancouver%20citation3.pdf