เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน เพื่อส่งบทความ

ในขั้นตอนการส่งบทความ ผู้แต่งต้องตรวจสอบและยืนยันว่าปฏิบัติตามข้อกำหนดการส่งบทความทุกข้อ บทความที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดอาจถูกส่งคืนให้ผู้แต่งดำเนินการแก้ไข

  • The text is single-spaced; uses a 16-point font; employs italics, rather than underlining (except with URL addresses); and all illustrations, figures, and tables are placed within the text at the appropriate points, rather than at the end.

ลำปางเวชสาร เป็นวารสารที่ใช้ระบบ peer review แบบ double-blinded คือ ผู้นิพนธ์ จะไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการพิจารณาบทความ และผู้ทรงคุณวุฒิก็จะไม่ทราบว่าบทความ ที่พิจารณาเป็นของผู้ใด รายงานการวิจัย รายงานผู้ป่วย และบทความปริทัศน์จะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ บทความที่ส่งมาลงพิมพ์ต้องไม่เคยพิมพ์หรือกำลังได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่นเนื้อหาในบทความต้องเป็นผลงานของผู้นิพนธ์เอง ไม่ได้ลอกเลียนหรือตัดทอนจากบทความอื่นโดย ไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม การแก้ไขหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่กองบรรณาธิการ จะต้องเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะได้รับพิจารณาตีพิมพ์ และบทความที่ตีพิมพ์แล้วเป็นสมบัติของลำปางเวชสารต้องมีหนังสือลงนามรับรองบทความของผู้นิพนธ์ทุกคน หากเป็นการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หรือสัตว์ทดลองต้องมีหนังสือรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยของสถาบันแนบมาด้วยเสมอ ต้นฉบับที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง จะถูกส่งคืนเจ้าของบทความเพื่อแก้ไขก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณาบทความ

กำหนดเผยแพร่

ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน (กำหนดเผยแพร่ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม)

ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม (กำหนดเผยแพร่ภายในวันที่ 30 กันยายน)

ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (กำหนดเผยแพร่ภายในวันที่ 31 มกราคม)

การเตรียมและส่งต้นฉบับ

1. ให้จัดหน้ากระดาษขนาด A4 (216x279 มม.) และให้เว้นระยะห่างจากขอบกระดาษ 1 นิ้ว ใส่เลขหน้ามุมขวาบนหรือล่างของกระดาษ ตั้งแต่หน้าแรกเรียงไปตามลำดับ ใช้โปรแกรม Microsoft Words, Font Th Sarabun 16 point พร้อมแจ้งสถานที่ติดต่อและหมายเลขโทรศัพท์/โทรสาร/E-mail โดยให้พิมพ์หน้าเดียวบนกระดาษ ขนาด A4 (216x279 มม.) เว้นระยะห่างจากขอบกระดาษซ้ายมือ อย่างน้อย 25 มม. (1 นิ้ว)

2. ให้ส่งบทความต้นฉบับที่จะลงพิมพ์ พร้อมภาพประกอบ กราฟ ตาราง และแผนภูมิ ในระบบออนไลน์ ที่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ

3. ข้อแนะนำในการเตรียมต้นฉบับเพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย https://drive.google.com/file/d/10JtXqCjnMjnK_TrbJ1IiAYzwuv6YHB85/view?usp=sharing

4. ขั้นตอนการส่งบทความเข้าระบบ 

https://shorturl.asia/dh52F

ส่วนประกอบของผลงาน มีดังนี้

1. หน้าแรก ประกอบด้วย

1.1 ชื่อเรื่อง ควรสั้นกะทัดรัด และสื่อเป้าหมายหลักของการศึกษา ไม่ใช้คำย่อ ความยาวไม่เกิน 100 ตัวอักษร พร้อมช่องไฟ ถ้าชื่อยาวมากให้ตัดเป็นชื่อเรื่องรอง (subtitle) ชื่อเรื่องต้องมีภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

1.2 ชื่อผู้นิพนธ์ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (ไม่ใช้คำย่อ) พร้อมทั้งอภิไธยสูงสุดที่ได้รับต่อท้ายชื่อ และไม่ใส่ตำแหน่งวิชาการ

1.3 สถานที่ทำงานของผู้นิพนธ์

2. บทคัดย่อ (abstract) เป็นเนื้อความย่อลำดับตามโครงสร้างของบทความแบ่งหัวข้อย่อย เป็นภูมิหลัง วัตถุประสงค์ วัสดุและวิธีการ ผลการศึกษา และสรุป ไม่ควรเกิน 350 คำ ใช้ภาษารัดกุมเป็นประโยคสมบูรณ์ มีความหมายในตัวเอง ต้องมีทั้งบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ (Abstract) ควรผ่านการตรวจแก้ไขจากผู้เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษให้เรียบร้อยก่อนและไม่ควรมีคำย่อ

3. คำสำคัญ (keywords) ใส่ไว้ท้ายบทคัดย่อเป็นหัวข้อเรื่องสำหรับทำดัชนีเรื่อง (subject index) ของปีวารสาร (volume) และดัชนีเรื่อง สำหรับ Index Medicus โดยใช้ Medical Subject Headings (MeSH) terms ของ U.S. National Library of Medicine เป็นแนวทางการให้คำสำคัญหรือคำหลัก

4. บทนำ (introduction) เป็นส่วนของบทความที่บอกเหตุผลนำไปสู่การศึกษา แต่ไม่ต้องทบทวนวรรณกรรมมากมายที่ไม่เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของการศึกษา เป็นส่วนที่อธิบายให้ผู้อ่านรู้ว่าจะตอบคำถามอะไร และให้รวมวัตถุประสงค์ของการศึกษาเป็นร้อยแก้วในส่วนท้ายของบทนำ

5. วัสดุและวิธีการ (materials and methods) เริ่มด้วยรูปแบบ แผนการศึกษา (study design, protocol) เช่น randomized controlled trial,descriptive หรือ quasi-experiment การสุ่มตัวอย่าง เช่น การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบบหลายขั้นตอน เป็นต้น วิธีหรือมาตรการที่ใช้ศึกษา (intervention) เช่น การรักษา ชนิดและขนาดของยาที่ใช้ (ถ้าเป็นมาตรการ ที่รู้จักทั่วไป ให้ระบุในเอกสารอ้างอิงถ้าเป็นวิธีใหม่อธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจแล้วนำไปใช้ต่อได้) วิธีการเก็บข้อมูล วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้

6. ผลการศึกษา (results) แจ้งผลที่พบตามลำดับหัวข้อของแผนการศึกษาอย่างชัดเจน ดูได้ง่าย ถ้าผลไม่ซับซ้อน ไม่มีตัวเลขมาก ให้บรรยายเป็นร้อยแก้ว ถ้ามีจำนวนตัวเลขหรือตัวแปรมาก ควรใช้ตารางหรือแผนภูมิ ให้แปลความหมายของผลที่ค้นพบหรือวิเคราะห์และสรุปเปรียบเทียบกับสมมติฐานที่วางไว้

7. วิจารณ์ (discussion) เริ่มด้วยการวิจารณ์ผลการศึกษาตรงกับวัตถุประสงค์ สมมติฐานของการวิจัย หรือแตกต่างไปจากผลงานที่มีผู้รายงานไว้ก่อนหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น วิจารณ์ผลที่ไม่ตรงตามที่คาดหวังอย่างไม่ปิดบัง บอกข้อเด่น ข้อด้อยของการศึกษา

8. สรุป (conclusion) สรุปผลที่ได้ว่าตรงกับวัตถุประสงค์การวิจัยหรือไม่ ให้ข้อเสนอแนะที่นำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์หรือให้ประเด็นคำถามการวิจัยสำหรับการวิจัยต่อไป

9.กิตติกรรมประกาศ(acknowledgements) มีเพียงย่อหน้าเดียว แจ้งให้ทราบว่า มีการช่วยเหลือที่สำคัญจากบุคคล หน่วยงาน หรือ องค์กรใดบ้าง เช่น ผู้บริหาร ผู้ช่วยเหลือทางเทคนิคบางอย่าง และผู้สนับสนุนทุนการวิจัย

10. เอกสารอ้างอิง (references) การอ้างอิงเอกสารใช้ระบบแวนคูเวอร์ (Vancouver Style) โดยใส่ตัวเลขอารบิกหลังข้อความหรือหลังชื่อบุคคลเจ้าของข้อความที่อ้างถึงเป็นตัวยกอยู่ในวงเล็บ โดยใช้หมายเลข 1 สำหรับเอกสารอ้างอิงอันดับแรกและเรียงต่อไปตามลำดับ ถ้าต้องการอ้างอิงซ้ำให้ใช้หมายเลขเดิม ชื่อวารสารในการอ้างอิง ให้ใช้ชื่อย่อตามรูปแบบของ U.S. National Library of Medicine ที่ตีพิมพ์ใน Index Medicus หรือในเว็บไซต์ https://www.ncbi.nlm.nih.gov/nlmcatalog/journals/