https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/issue/feed ลำปางเวชสาร 2025-09-25T10:34:20+07:00 อนุวัตร พงษ์คุณากร dranuwat@hotmail.com Open Journal Systems <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;ลำปางเวชสาร เป็นวารสารวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขของโรงพยาบาลลำปาง เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากการทบทวน วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประยุกต์ข้อมูลสารสนเทศ ได้แก่ รายงานการวิจัย รายงานผู้ป่วย และบทความปริทัศน์ที่น่าสนใจ เพื่อสาธารณชนได้ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม &quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}">ลำปางเวชสาร เป็นวารสารวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขของโรงพยาบาลลำปาง เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ที่ได้จากการทบทวน วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประยุกต์ข้อมูลสารสนเทศ ได้แก่ รายงานการวิจัย รายงานผู้ป่วย และบทความปริทัศน์ที่น่าสนใจ เพื่อสาธารณชนได้ใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม </span></p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/article/view/278810 Total Hip Arthroplasty in Ankylosing Spondylitis 2025-04-28T13:51:11+07:00 วรวิธ อติพิบูลย์สิน ritap@kku.ac.th วิชชาภรณ์ วิทยาคม ritap@kku.ac.th ฤทธิ์ อภิญญาณกุล ritap@kku.ac.th <p>โรคกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด (ankylosing spondylitis, AS) เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังที่ส่งผลต่อกระดูกสันหลัง ข้อสะโพกและข้อต่อกระเบนเหน็บ-เชิงกราน ประมาณร้อยละ 24–36 ของผู้ป่วยมีข้อสะโพกอักเสบและเกิดภาวะข้อสะโพกติดแข็ง จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและลดความพิการ การผ่าตัดในผู้ป่วย AS มีความซับซ้อนสูง เนื่องจากความผิดรูปของกระดูกสันหลังและการเคลื่อนไหวของกระดูกเชิงกรานที่ลดลง การเตรียมตัวผ่าตัดจึงต้องประเมินพิสัยการเคลื่อนไหว ความผิดรูปของกระดูกสันหลัง และภาวะสุขภาพร่วมอื่นอย่างละเอียด การเลือกวิธีผ่าตัดต้องคำนึงถึงลักษณะข้อสะโพกติดแข็งเพื่อแก้ไขโครงสร้างรอบข้อสะโพกได้อย่างเหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบ ได้แก่ กระดูกหักและการเกิด heterotrophic ossification การวางตำแหน่งเบ้าสะโพกเทียมที่เหมาะสม มีความสำคัญต่อการป้องกันข้อหลุด ผลลัพธ์หลังผ่าตัดพบว่าผู้ป่วยมีพิสัยการเคลื่อนไหวและอาการปวดที่ดีขึ้นชัดเจนการดูแลรักษาควรทำแบบสหสาขาวิชาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการรักษา</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ลำปางเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/article/view/277896 ผลลัพธ์หลังการใช้แนวทางเวชปฏิบัติภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดกลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระพุทธบาท 2025-04-23T10:41:58+07:00 พิทยา บำรุงไทย petegunner20@gmail.com <p><strong>ภูมิหลัง:</strong> การใช้แนวทางเวชปฏิบัติ (clinical practice guideline, CPG) การรักษาภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) มีบทบาทในการลดอัตราเสียชีวิตของผู้ป่วย ปัจจุบันมีการพัฒนาตาม Surviving Sepsis Campaign 2021 ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น จึงนำมาปรับใช้ในรพ.พระพุทธบาท<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการใช้ CPG ที่ปรับปรุงใหม่ตาม Surviving Sepsis Campaign โดยมีลักษณะเป็นคำสั่งการรักษาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าในการรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis<br /><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> เป็นการศึกษาแบบ retrospective analytical study ในผู้ป่วยที่มีภาวะ sepsis และรักษาที่กลุ่ม งานอายุรกรรม รพ.พระพุทธบาท แบ่งเป็นกลุ่มก่อนใช้ CPG ฉบับปรับปรุง (1 ม.ค. 2566 ถึง 31 ต.ค. 2566) และกลุ่ม หลังใช้ CPG (1 พ.ย. 2566 ถึง 31 ส.ค. 2567) บันทึกข้อมูลพื้นฐาน ยาปฏิชีวนะ, ปริมาณสารน้ำ, ระดับ serum lactate, การติดตามประเมินสารน้ำ, จำนวนวันนอนโรงพยาบาลและการเสียชีวิต เปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม ด้วยสถิติ Fisher’s exact test, t-test และ Mann-Whitney U test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> มีผู้ป่วยทั้งหมด 304 ราย เป็นกลุ่มก่อนและหลังใช้ CPG กลุ่มละ 152 ราย โดยมีภาวะ septic shock 73 ราย (ร้อยละ 48.0) และ 71 ราย (ร้อยละ 46.7) ตามลำดับ อัตราการเสียชีวิตภายใน 30 วันในกลุ่มที่ใช้ CPG ลดลงจากร้้อยละ 36.2 เหลือร้อยละ 24.3 (p=0.025) ในผู้ป่วยที่ มีภาวะ sepsis และลดลงจากร้อยละ 54.8 เหลือร้อยละ 38.0 (p=0.044) ในผู้ป่วยที่มีภาวะ septic shock เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ป่วย 292 รายที่นอนโรงพยาบาลไม่เกิน 30 วันพบว่า ค่ามัธยฐานของจำนวนวันนอนโรงพยาบาลลดลงจาก 8 วัน [พิสัยควอไทล์ 5,12] เป็น 7 วัน [พิสัยควอไทล์ 4,11] (p=0.011) ตำแหน่งการติดเชื้อที่พบมากที่สุดคือ ระบบทางเดินปัสสาวะ เชื้อก่อโรคที่พบมากที่สุดคือ Escherichia coli ภายหลังจากใช้ CPG พบว่า ร้อยละของผู้ป่วยที่ได้รับสารน้ำ 1,500 มล. ใน 3 ชั่วโมง, ประเมินสารน้ำหลังการรักษาและตรวจระดับ serum lactate เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ร้อยละของผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิิชีวนะภายใน 1 ชั่วโมงไม่แตกต่างกัน<br /><strong>สรุป:</strong> CPG การรักษาภาวะ sepsis ฉบับปรับปรุงของ รพ.พระพุทธบาท สามารถลดอัตราเสียชีวิตภายใน 30 วัน และผู้ป่วยได้รับสารน้ำ 1,500 มล. ใน 3 ชั่วโมง, ประเมินสารน้ำ หลังการรักษาและตรวจระดับ serum lactate เพิ่มขึ้น</p> 2025-07-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ลำปางเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/article/view/273048 ผลของการใช้สื่อแผ่นพับท่ากายบริหารร่วมกับกายภาพบำบัดต่อความสามารถทางกายและความเสี่ยงต่อการล้มของผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหัก 2025-04-11T08:57:05+07:00 มิตรชตา วงศ์คำเชียง mitchataw@gmail.com <p><strong>ภูมิหลัง:</strong>การฟื้นฟูสภาพผู้สูงอายุภายหลังผ่าตัดกระดูกสะโพกหักทำให้มีความสามารถทางกายที่ดีและลดความเสี่ยงต่อการล้ม การให้กายภาพบำบัดร่วมกับแผ่นพับความรู้ท่ากายบริหาร เพื่อใช้ฟื้นฟูต่อเนื่องที่บ้านอาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการล้ม เมื่อประเมินด้วยแบบทดสอบ Short Physical Performance Battery (SPPB) ซึ่งมีความแม่นยำในการประเมินผู้ป่วยกระดูกสะโพกหัก<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางกายที่มีความเสี่ยงต่อการล้ม ของผู้สูงอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพกหักระหว่างกลุ่มที่ได้รับการฟื้นฟูสภาพตามปกติกับกลุ่มที่ได้รับแผ่นพับท่ากายบริหารเพิ่มเติม<br /><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> เป็นการศึกษาแบบ retrospective cohort ในผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีกระดูกสะโพกหัก ได้รับการผ่าตัดใน รพ.ลำปาง ในช่วงตุลาคม พ.ศ. 2563 ถึง กันยายน พ.ศ. 2565 และฟื้นฟูสภาพโดยนักกายภาพบำบัดจนสามารถยืนหรือเดินได้ก่อนจำหน่าย แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง ได้รับเอกสารแผ่นพับ“กายภาพบำบัดในผู้ป่วยที่มีภาวะกระดูกสะโพกหัก” ที่เน้นการออกกำลังกายของข้อเท้า ข้อเข่าและข้อสะโพก 7 ท่า และกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับเอกสารแผ่นพับ เก็บข้อมูลทั่วไป ข้อมูลทางคลินิกและประเมินคะแนน SPPB หลังผ่าตัด 6 สัปดาห์ คำนวณร้อยละของผู้ป่วยที่มีคะแนน SPPB ≤6 ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงต่อการล้ม และวิเคราะห์ทางสถิติเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> มีผู้ป่วยในการศึกษา 100 ราย อายุเฉลี่ย 75.5±7.7 ปี (พิสัย 60–89 ปี) ร้อยละ 77 เป็นเพศหญิง กลุ่มทดลองมีคะแนน SPPB เฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุม (7.8±2.5 vs 6.5 ± 2.1คะแนน, p=0.010) เมื่อจำแนกรายด้านพบว่า กลุ่มทดลองมีค่ามัธยฐานของคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุม ในด้านความเร็วการเดิน (2 [IQR 1, 3] vs 1 [IQR 1, 2] คะแนน, p=0.009) และทดสอบการลุกนั่ง (2 [IQR 1, 3] vs 1 [IQR 1, 2] คะแนน, p=0.038) แต่คะแนนในด้านการทรงตัวไม่แตกต่างกัน (4 [IQR 4, 4] vs 4 [IQR 4, 4] คะแนน, p=0.492) ผู้ป่วยที่มีคะแนน SPPB ≤6 ในกลุ่ม ทดลองมี 17 ราย (ร้อยละ 37.0) และกลุ่ม ควบคุมมี 33 ราย (ร้อยละ 61.1, p=0.027)<br /><strong>สรุป:</strong> การใช้สื่อแผ่นพับท่ากายบริหารร่วมกับกายภาพบำบัดอาจช่วยเพิ่มความสามารถทางกายและลดความเสี่ยงต่อการล้มในผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัดและกายภาพบำบัด จนสามารถยืนหรือเดินได้ก่อนจำหน่าย เมื่อประเมินด้วยแบบทดสอบ SPPB หลังผ่าตัด 6 สัปดาห์</p> 2025-08-20T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ลำปางเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/article/view/278958 ความชุกของการตรวจพบผลการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติในหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลลำปาง 2025-04-22T14:59:43+07:00 ชญาดา วงศ์สุวรรณ buzzispice@hotmail.com เกื้อหนุน บัวไพจิตร buzzispice@hotmail.com สุจิตรา กอบการดี buzzispice@hotmail.com สุนิสา นันตาวงศ์ buzzispice@hotmail.com <p><strong>ภูมิหลัง:</strong> มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 4 ในสตรีไทย รพ.ลำปาง มีนโยบายคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มาฝากครรภ์ โดยวิธี liquid-based cytology (LBC) แต่ยังไม่มีข้อมูลความชุกของผลการตรวจที่พบความผิดปกติ<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความชุกของผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ผิดปกติในสตรีตั้งครรภ์ และความชุกของรอยโรค ระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกขั้นที่ 2 ขึ้นไป (cervical intraepithelial neoplasia [CIN] 2+) ในกลุ่มที่มีผลคัดกรองผิดปกติและได้รับการขลิบชิ้นเนื้อหลังคลอด<br /><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> เป็นการศึกษาแบบ retrospective study ในสตรีตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์และได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธี LBC ใน รพ.ลำปาง ระหว่าง 1 มิถุนายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2566 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่มีผลคัดกรองปกติและกลุ่มที่มีผลคัดกรองผิดปกติ<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> มีสตรีตั้งครรภ์ 1,163 ราย ที่ได้รับการตรวจคัดกรอง พบผิดปกติ 71 ราย (ร้อยละ 6.1) ได้แก่ atypical squamous cells of undetermined significance (ASCUS) 45 ราย (ร้อยละ 3.8), รองลงมาคือ low grade squamous intraepithelial lesion (LSIL) 20 ราย (ร้อยละ 1.7), atypical squamous cells cannot exclude HSIL (ASC-H) 2 ราย (ร้อยละ 0.2), high grade squamous intraepithelial lesion (HSIL) 3 ราย (ร้อยละ 0.3) และมะเร็งปากมดลูกจากการตัดชิ้นเนื้อใน รอยโรคที่พบจากตาเปล่า 1 ราย (ร้อยละ 0.1) กลุ่มที่ผลคัดกรองปกติมีประวัติเคยคลอดบุตรร้อย ละ 57.2 ต่ำกว่ากลุ่มผลคัดกรองผิดปกติที่พบร้อย ละ 70.4 (p = 0.034) สตรีที่มีผลคัดกรองผิดปกติ มารับการตรวจส่องกล้อง และขลิบชิ้นเนื้อหลัง คลอด 26 ราย (ร้อยละ 37.1) พบรอยโรค CIN1 8 ราย และ CIN2+ 2 ราย เมื่อนับรวมกับ 1 ราย ที่ พบมะเร็งปากมดลูกจากการตรวจคัดกรองขณะตั้ง ครรภ์แล้วจึงเป็นรอยโรค CIN2+ ทั้งหมด 3 ราย ในจำนวนสตรีที่มีผลการคัดกรองผิดปกติ และได้ รับการขลิบชิ้นเนื้อเพื่อยืนยันวินิจฉัย 27 ราย คิด เป็นความชุกร้อยละ 11.1<br /><strong>สรุป:</strong> การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรี ตั้งครรภ์พบผลการตรวจที่ผิดปกติร้อยละ 6.1 และ รอยโรคก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกขั้นสูง (CIN2+) ร้อยละ 11.1 ในกลุ่มมีผลคัดกรองผิดปกติ และได้รับการขลิบชิ้นเนื้อหลังคลอด </p> 2025-09-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ลำปางเวชสาร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/LMJ/article/view/279483 การทดสอบภายนอกของแบบจำลอง MAGENTA ในการพยากรณ์ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตในโรงพยาบาลของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการกำเริบรุนแรง ที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลลำปาง 2025-08-07T08:15:16+07:00 ศุภณัฐ กองเจริญ iamkeng@gmail.com <p><strong>ภูมิหลัง:</strong> โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการกำเริบ (acute exacerbation of chronic obstructive pulmonary disease: AECOPD) มีอัตราการเสียชีวิตสูง โดยเฉพาะในผู้ ป่วยที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล แม้จะมีเครื่องมือพยากรณ์ หลายชนิด แต่มักใช้ยากในบริบทที่มีทรัพยากรจำกัด แบบ จำลอง MAGENTA จึงถูกพัฒนาขึ้นจากข้อมูลพื้นฐานที่หา ได้ง่าย เพื่อพยากรณ์การเสียชีวิตในโรงพยาบาล หาก สามารถใช้งานได้ใน รพ.ลำปาง ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในการวางแผนการรักษาผู้ป่วยในกลุ่มความเสี่ยงสูงได้ดียิ่ง ขึ้น โดยเฉพาะในหอผู้ป่วยหนัก<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อทดสอบแบบจำลอง MAGENTA แบบ การทดสอบภายนอก ในการพยากรณ์การเสียชีวิตในโรง พยาบาลของผู้ป่วย AECOPD ที่ รพ.ลำปาง<br /><strong>วัสดุและวิธีการ:</strong> เป็นการศึกษาเชิงพยากรณ์ในผู้ป่วย AECOPD อายุ &gt;18 ปี ที่เข้ารับการรักษาใน รพ.ลำปาง ระหว่าง ต.ค. 2562 – ต.ค. 2566 โดยใช้ตัวแปร 7 รายการ จากแบบจำลอง MAGENTA (อายุ, อุณหภูมิกาย, mean arterial pressure, การใส่ท่อช่วยหายใจ, ระดับโซเดียม, ยู เรียไนโตรเจน และอัลบูมิน ในวันแรกรับไว้ใน รพ.) ผลลัพธ์ หลักคือการเสียชีวิตในโรงพยาบาล ประเมินสมรรถนะในการ จำแนก (area under the receiver operating characteristic curve: AuROC) หากพบการสอบเทียบ คลาดเคลื่อน จะปรับเทียบใหม่ด้วยการปรับ intercept และ/ หรือ slope เพื่อลด overfitting จนได้สมการใหม่ วิเคราะห์ positive predictive value (PPV) และ positive likelihood ratio (LR+) ในการจำแนกเป็นความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูงตามสมการที่ปรับแล้ว<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> มีผู้ป่วย 115 ราย (324 ครั้งของการกำเริบ) ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุเฉลี่ย 75.6 ปี และมีความรุนแรงของโรคระดับ severe แบบจำลอง MAGENTA มีความ สามารถในการจำแนกที่ดีเยี่ยม (AUC 0.926) แต่พบ ความคลาดเคลื่อนในการสอบเทียบ (ค่า observed-to- expected ratio [O:E ratio] 2.054, calibration-in-the- large [CITL] 1.182 และ slope 1.293) จึงปรับเทียบใหม่ (O:E ratio, CITL และ slope =1.000) และ AuROC ยังคง เท่าเดิม (0.926) ทำให้ได้สมการใหม่ในการพยากรณ์ความ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตใน รพ.ลำปาง โดยมีค่า PPV ร้อยละ 1.05, 10.00, 53.01 และ LR+ 0.06, 0.59, 6.04 ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และสูง ตามลำดับ<br /><strong>สรุป:</strong> แบบจำลอง MAGENTA สามารถจำแนกผู้ป่วย AECOPD ที่มีความเสี่ยงเสียชีวิตในโรงพยาบาลได้อย่าง แม่นยำ แม้จะพบปัญหาในการสอบเทียบกับข้อมูลภายนอก แต่เมื่อปรับค่าทางสถิติแล้ว ยังสามารถพยากรณ์ความเสี่ยงได้ดี</p> 2025-09-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ลำปางเวชสาร