ผลลัพธ์ของการระงับความรู้สึกและดูแลทางเดินหายใจในผู้ป่วย โรคติดเชื้อของเนื้อเยื่อชั้นลึกบริเวณลำคอที่ผ่าตัดในโรงพยาบาลลำปาง
Main Article Content
บทคัดย่อ
ภูมิหลัง: การติดเชื้อของเนื้อเยื่อชั้นลึกบริเวณลำคอเป็นโรคที่ท้าทายความสามารถของวิสัญญีแพทย์ เนื่องจากอาจเกิดภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนและใส่ท่อหายใจยาก
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเทคนิคและผลลัพธ์ของการระงับความรู้สึกและดูแลทางเดินหายใจในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดระบายหนองในเนื้อเยื่อชั้นลึกบริเวณลำคอ ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่ท่อหายใจไม่สำเร็จหรือใส่ยาก
วัสดุและวิธีการ: เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยโรคติดเชื้อของเนื้อเยื่อชั้นลึกบริเวณลำคอที่ได้รับการผ่าตัดโดยให้ยาสลบทั่วไปในรพ.ลำปาง ตั้งแต่มิถุนายน 2552 - สิงหาคม 2557 วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ถอดท่อหายใจได้ในห้องผ่าตัดกับกลุ่มที่คาท่อหายใจหลังผ่าตัด และระหว่างกล่มุ ที่ใส่ท่อหายใจด้วยวิธี direct laryngoscopy ได้สำเร็จหรือใส่ได้ง่ายกับกลุ่มที่ใส่ไม่สำเร็จหรือใส่ได้ยากด้วย Fisher’s exact probability test เปรียบเทียบระยะเวลานอนโรงพยาบาลด้วย one-way ANOVA
ผลการศึกษา: ผู้ป่วยที่ผ่าตัด 73 ราย เป็นเพศชายร้อยละ 69.9 อายุเฉลี่ย 53.4±14.3 ปี (พิสัย 20-82 ปี) ตำแหน่งการติดเชื้อที่พบมากที่สุดคือ suprahyoid space (ร้อยละ 56.2) รองลงมาคือ Ludwig’s angina (ร้อยละ 20.6) เทคนิคการใส่ท่อหายใจส่วนใหญ่คือ direct laryngoscopy (ร้อยละ 67.1) รองลงมาคือ fiberoptic intubation (ร้อยละ 23.3) มีผู้ป่วย 3 รายถูกเจาะคอและ 46 รายต้องคาท่อหายใจหลังผ่าตัดโดยส่วนใหญ่สามารถถอดท่อหายใจได้ในวันที่ 1 (26 ราย) ระยะเวลานอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 9.5 ± 4.8 วัน (พิสัย 1-33 วัน) โดยไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ถอดท่อหายใจในห้องผ่าตัด กลุ่มที่คาท่อหายใจ
หลังผ่าตัดหรือกลุ่มที่เจาะคอ ปัจจัยเสี่ยงต่อการคาท่อหายใจหลังผ่าตัดได้แก่ ASA physical status class 3-4 การอ้าปากได้จำกัดและการใส่ท่อหายใจยาก ไม่พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่ท่อหายใจยากหรือใส่ไม่สำเร็จโดยเทคนิค direct laryngoscopy
สรุป: การใส่ท่อหายใจด้วยวิธี direct laryngoscopy โดยนำสลบทางหลอดเลือดดำและใช้ยาหย่อนกล้ามเนื้อ succinylcholine เป็นเทคนิคที่นิยมใช้มากที่สุดในการผ่าตัดระบายหนองในเนื้อเยื่อชั้นลึกบริเวณลำคอ ไม่พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใส่ท่อหายใจยากหรือใส่ไม่สำเร็จโดยเทคนิคนี้
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ส่งมาลงพิมพ์ต้องไม่เคยพิมพ์หรือกำลังได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น เนื้อหาในบทความต้องเป็นผลงานของผู้นิพนธ์เอง ไม่ได้ลอกเลียนหรือตัดทอนจากบทความอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม การแก้ไขหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่กองบรรณาธิการ จะต้องเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะได้รับพิจารณาตีพิมพ์ และบทความที่ตีพิมพ์แล้วเป็นสมบัติ ของลำปางเวชสาร
เอกสารอ้างอิง
วิชาญ จงประสาธน์สุข. การศึกษาผู้ป่วยติดเชื้อของเยื่อหุ้มชั้นลึกบริเวณคอ 127 รายในโรงพยาบาลน่าน. ลำปางเวชสาร 2554;32(2):42-50.
Ovassapian A, Tuncbilek M, Weitzel EK, Joshi CW. Airway management in adult patients with deep neck infections: a case series and review of the literature. Anesth Analg 2005;100(2):585-9.
Oliver ER, Gillespie MB. Deep neck space infection. In:Flint PW, Haughey BH, Lund VJ, et al., editors. Cummings otolaryngology-head and neck surgery. 5th ed. Philadelphia:Mosby Elsevier; 2010. p 201-8.
Klock PA Jr, Benumof JL. Definition and incidence of the difficult airway. In: Hagberg CA, editor. Benumof’s airway management: principles and practice. 2nd ed. Philadelphia: Mosby Elsevier; 2007. p 215-20.
Wolfe MM, Davis JW, Parks SN. Is surgical airway necessary for airway management in deep neck infections and Ludwig angina?. J Crit Care 2011;26(1):11-4.
Neff SPW, Merry AF, Anderson B. Airway management in Ludwig’s angina. Anaesth Intens Care 1999;27(6):659-61.
Karkos PD, Leong SC, Beer H, Apostolidou MT, Panarese A. Challenging airways in deep neck space infections. Am J Otolaryngol 2007;28(6):415-8.
Gidley P, Ghorayeb B, Stiernberg C. Contemporary management of deep neck space infections. Otolaryngol Head Neck Surg 1997;116(1):16-22.
Potter JK, Herford AS, Ellis E. Tracheotomy versus endotracheal intubation for airway management in deep neck space infections. J Oral Maxillofac Surg 2002;60:349-54.
Loughnan TE, Allen DE. Ludwig’s angina: the anaesthetic management of nine cases. Anaesthesia 1985;40:295-7.