ผลของการเตรียมคลอดตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ เพื่อเพิ่มความร่วมมือในการปฏิบัติท่าคลอดศีรษะสูง
Main Article Content
บทคัดย่อ
ภูมิหลัง: การอยู่ในท่าศีรษะสูงระหว่างรอคลอดช่วยลดระยะเวลาในการคลอดและทำให้คลอดปกติได้ง่ายขึ้น หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับการเตรียมความพร้อมในการคลอดอย่างมีแบบแผนจะเผชิญความเจ็บปวดได้ดีและมีความมั่นใจในการคลอด
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของการเตรียมคลอดต่อความร่วมมือของผู้คลอดในการปฏิบัติท่าคลอดศีรษะสูง
วัสดุและวิธีการ: เป็นการศึกษาแบบ non-randomized, concurrent controlled study ในหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ที่ รพ.ลำปาง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2553 - พฤษภาคม 2554 แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 200 รายคือ กลุ่มทดลองได้รับการสอนวิธีการเตรียมคลอดท่าศีรษะสูงตั้งแต่อายุครรภ์ 32-36 สัปดาห์ และกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้รับการสอน เมื่อเจ็บครรภ์และมาคลอดจะได้รับการประเมินความร่วมมือในการปฏิบัติท่าศีรษะสูงทุก 1 ชั่วโมงใน latent phase และทุกครึ่งชั่วโมงใน active phase โดยใช้ Likert scale วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วย Mann-Whitney U test
ผลการศึกษา: ทั้ง 2 กลุ่มมีอายุเฉลี่ยไม่แตกต่างกัน กลุ่มทดลองมีส่วนสูงและระดับการศึกษาสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ในระยะ latent phase มีผู้คลอด 48 รายเกิดภาวะแทรกซ้อน คงเหลือผู้คลอดกลุ่มละ 176 ราย พบว่ากลุ่มทดลองมีการปฏิบัติท่าศีรษะสูงได้ดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001) ส่วนในระยะ active phase ไม่แตกต่างกัน (p=0.588) ระยะที่ 1 ของการคลอดในกลุ่มทดลองสั้นกว่ากลุ่มควบคุม (152.3 ± 113.8 vs 195.4 ±
147.6 นาที, p=0.007) โดยเฉพาะการคลอดครรภ์แรก (p=0.024) แต่ไม่แตกต่างกันในครรภ์หลัง (p=0.293) กลุ่มทดลองใช้เวลาในระยะที่ 2 ของการคลอดน้อยกว่า (23.6 ± 21.3 vs 26.6 ± 23.6 นาที, p=0.416) และคลอดปกติได้มากกว่ากลุ่มควบคุมแต่ไม่มีนัยสำคัญ (87.5% vs 78.4%, p=0.070)
สรุป: การให้ความรู้เพื่อการเตรียมคลอดในท่าศีรษะสูงตั้งแต่อายุครรภ์ 32-36 สัปดาห์ ทำให้ผู้คลอดสามารถปฏิบัติในระยะ latent phase ได้ดีกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับการเตรียมคลอดและช่วยลดเวลาในระยะที่ 1 ของการคลอดเท่านั้น
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ส่งมาลงพิมพ์ต้องไม่เคยพิมพ์หรือกำลังได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น เนื้อหาในบทความต้องเป็นผลงานของผู้นิพนธ์เอง ไม่ได้ลอกเลียนหรือตัดทอนจากบทความอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม การแก้ไขหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่กองบรรณาธิการ จะต้องเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะได้รับพิจารณาตีพิมพ์ และบทความที่ตีพิมพ์แล้วเป็นสมบัติ ของลำปางเวชสาร
เอกสารอ้างอิง
World Health Organization. Joint Interregional Conference on Appropriate Technology for Birth, Fortaleza, Brazil, 22-26 April 1985: Summary Report. Geneva: World Health Organization; 1985.
Simkin PP, O’hara M. Nonpharmacologic relief of pain during labor: systematic reviews of five methods. Am J Obstet Gynecol 2002;186(5 Suppl Nature):S131-59.
Michelle T. Women during the reproductive. In: Breslin ET, Lucas VA, editors. Women’s health nursing toward evidence-based practice. St. Louis, Missouri: Saunders; 2003.p.573-9.
Priddis H, Dahlen H, Schmied V. What are the facilitators, inhibitors, and implications of birth positioning? A review of the literature. Women Birth 2011; Epub 2011 Jun 8.
เบญจรัตน์ ยศเสถียร, ลำดวน คุณสมบัติ, สุนทรี อินทราพิเชฐ, อารยา ประกฤติกรชัย. ผลของการเตรียมคลอดอย่างมีแบบแผนต่อพฤติกรรมการเผชิญความเจ็บปวด ระยะของการคลอดและคะแนนแอปการ์ของทารกแรกเกิดของสตรีตั้งครรภ์ในระยะคลอด. วารสารพยาบาลศาสตร์ 2542;17(2):54-63.
Lawe N. The pain and discomfort of labor and birth. J Obstet Gynecol Neonatal Nurs 1996; 25(1):82-92.
Allen IE, Seaman CA. Likert scales and data analysis. Quality Progess 2007;40:64-5.
Ricci SS. Essentials of maternity, newborn and women’s health nursing. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2007.
Mayberry LJ, Wood SH, Strange LB, Lee L, Heisler DR, Neilsen-Smith K. Managing second-stage labor. AWHONN Lifelines 1999 Dec-2000 Jan;3(6):28-34.
Gupta JK, Hofmeyr GJ, Shehmar M. Position in the second stage of labour for women without epidural anaesthesia. Cochrane Database Syst Rev 2012;5:CD002006.