ความปลอดภัยและผลลัพธ์ทางคลินิกของการปิดช่องโหว่ในผนังกั้นหัวใจห้องบนในผู้ใหญ่ผ่านทางสายสวนหัวใจในโรงพยาบาลลำปาง
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
ความสำคัญ ในหลายปีที่ผ่านมาการรักษาผนังหัวใจห้องบนรั่วโดยผ่านทางสายสวนเป็นที่ยอมรับในการรักษาอย่างกว้างขวาง และแพร่หลาย เนื่องจากมีความเสี่ยงของการรักษาที่ และภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัด โดยโรงพยาบาลลำปางได้เริ่มทำการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีการดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา และยังไม่มีข้อมูลถึงความปลอดภัย และผลลัพธ์ทางคลินิกของการทำหัตถการในโรงพยาบาลลำปาง
วิธีการศึกษา การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป และมีภาวะผนังหัวใจห้องบนรั่วแต่กำเนิดแบบชนิด secundum และได้รับการรักษาด้วยการปิดผนังรูรั่วหัวใจห้องบนโดยผ่านสายสวนหัวใจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ถึง พ.ศ. 2561 ในโรงพยาบาลลำปาง ติดตามการรักษา 12 เดือน ผลลัพธ์หลักของการศึกษา ได้แก่ความปลอดภัยของการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว ผลลัพธ์รองของการศึกษาได้แก่ ผลลัพธ์อาการทางคลินิก และผลลัพธ์ทางคลินิกจากการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง
ผลการศึกษา ผู้ป่วยจำนวน 29 รายที่อยู่ในการศึกษา อายุเฉลี่ย 55.5 ปี (21-81 ปี) เพศหญิง จำนวน 20 ราย อาการแสดงก่อนการวินิจฉัยของผู้ป่วย พบว่า 28 ราย (ร้อยละ 96.5) มีอาการเหนื่อยเวลาออกแรง ค่าเฉลี่ยของรูรั่วผนังหัวใจห้องบนจากการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงโดยผ่านทางหน้าอก เท่ากับ 19.9 มิลลิเมตร (12-29 มิลลิเมตร) และค่าเฉลี่ยของอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดรูรั่วผนังหัวใจห้องบน เท่ากับ 27.4 มิลลิเมตร (16-36 มิลลิเมตร) ความปลอดภัยจากการรักษาประเมินจากภาวะแทรกซ้อนจากการทำหัตถการ ผู้ป่วย 1 ราย (ร้อยละ 3.5) มีรูรั่วผนังหัวใจห้องบนคงเหลือ ขนาด 3 มิลลิเมตร แต่ไม่มีอาการ และติดตามที่ 12 เดือนสามารถปิดได้เอง และ ผู้ป่วย 1 ราย (ร้อยละ 3.5) มีภาวะหัวใจห้องบนเต้นผิดปกติแบบ supraventricular tachycardia (SVT) และไม่พบภาวะแทรกซ้อนจากการทำหัตถการอย่างอื่น สำหรับผลลัพธ์ทางคลินิก หลังติดตามอาการไป 12 เดือน ผู้ป่วยอาการเหนื่อยดีขึ้น และค่าพารามิเตอร์ของการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงโดยผ่านทางหน้าอกอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ความสำเร็จในการปิดด้วยอุปกรณ์โดยผ่านทางสายสวน คิดเป็นร้อยละ 100
สรุปผลการศึกษา การปิดรูรั่วผนังหัวใจห้องบนโดยผ่านสายสวนค่อนข้างปลอดภัย และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยในการรักษาผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีผนังหัวใจห้องบนรั่วแต่กำเนิด การรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวช่วยทำให้ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยดีขึ้น และมีการลดลงของขนาดหัวใจห้องล่างขวา ความดันหัวใจห้องล่างขวา และความดันเลือดที่ไปยังปอดที่ 12 เดือนหลังจากได้รับการปิดรูรั่วไปแล้ว
Article Details
บทความที่ส่งมาลงพิมพ์ต้องไม่เคยพิมพ์หรือกำลังได้รับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น เนื้อหาในบทความต้องเป็นผลงานของผู้นิพนธ์เอง ไม่ได้ลอกเลียนหรือตัดทอนจากบทความอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้อ้างอิงอย่างเหมาะสม การแก้ไขหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่กองบรรณาธิการ จะต้องเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยก่อนจะได้รับพิจารณาตีพิมพ์ และบทความที่ตีพิมพ์แล้วเป็นสมบัติ ของลำปางเวชสาร
เอกสารอ้างอิง
Masura J, Gavora P, Podnar T. Long-term outcome of transcatheter secundum-type atrial septal defect closure using Amplatzer septal occulders. J Am Coll Cardiol. 2005;45(4):505-7.
Luermans JG, Post MC, ten Berg JM, Plokker HW, Suttorp MJ. Long-term outcome of transcatheter secundum-type atrial septal defect closure in adults. EuroIntervention. 2010;6(5):604-10.
Hengrussamee K, Katekangplu P, Porapakkham P, Plainetr V, Kanoksin A, Assavahanrit J, et al. Immediate, short and intermediate results of transcatheter closure of secundum-type atrial septal defect using Amplatzer septal occulder devices. J Med Assoc Thai. 2008;91(7):995-1001.
Warnes CA, Williams RG, Bashore TM, Child JS, Connolly HM, Dearani JA, et al. ACC/AHA 2008 guidelines for the management of adults with congenital heart disease: a report of the American College of Cardiology/American Heart Association Task Force on Practice Guidelines (writing committee to develop guidelines on the management of adults with congenital heart disease). Developed in collaboration with the American Society of
Echocardiography, Heart Rhythm Society, International Society for Adult Congenital Heart Disease, Society for Cardiovascular Angiography and Interventions, and Society of Thoracic Surgeons. J Am Coll Cardiol. 2008;52(23):e143-e263.
Butera G, Biondi-Zoccai G, Sangiorgi G, Abella R, Giamberti A, Bussadori C, et al. Percutaneous versus surgical closure of secundum atrial septal defects: a systematic review and meta-analysis of currently available clinical evidence. EuroIntervention. 2011;7(3):377-85.
Jampates S, Hengrussamee K. A comparative study of outcomes after transcatheter closure of secundum-type atrial septum defect in adults younger than 60 years and the older ones. J Med Assoc Thai.2014;97(11):1133-9.
Moore J, Hegde S, El-Said H, Beekman R, Benson L, Bergersen L, et al. Transcatheter device closure of atrial septal defects: a safety review. JACC Cardiovasc Interv.2013; 6(5): 433-42.
Krumsdorf U, Ostermayer S, Billinger K, Trepels T, Zadan E, Horvath K, et al. Incidence and clinical course of thrombus formation on atrial septal defect and patient foramen ovale closure devices in 1,000 consecutive patients. J Am Coll Cardiol. 2004;43(2):302-9.
Humenberger M, Rosenhek R, Gabriel H, Rader F, Heger M, Klaar U, et al. Benefit of atrial septal defect closure in adults: impact of age. Eur Heart J. 2011;32(5):553-60.
Akagi T. Current concept of transcatheter closure of atrial septal defect in adults. J Cardiol. 2015;65(1):17-25.
