องค์ประกอบทางเคมี คุณค่าทางโภชนาการ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ในตัวอย่างไหมข้าวโพด 3 สายพันธุ์
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
ไหมข้าวโพดเป็นเศษวัสดุที่เหลือจากกระบวนแปรรูปในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับข้าวโพดที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก การศึกษานี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบองค์ประกอบทางเคมี คุณค่าทางโภชนาการ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ในตัวอย่างไหมข้าวโพด 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ไหมข้าวโพดหวานสลับสี ไหมข้าวโพดหวาน และไหมข้าวโพดข้าวเหนียว การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีทดสอบด้วยวิธี Thin layer chromatography phytochemical assay โดยการสกัดไหมข้าวโพดด้วยเอทานอลที่ความเข้มข้นร้อยละ 50 พบสารในกลุ่มฟีนอลิกและฟลาโวนอยด์ในสารสกัดไหมข้าวโพดทั้ง 3 สายพันธุ์ ทำการศึกษาเปรียบเทียบคุณค่าทางโภชนาการ ด้วยวิธี Proximate analysis พบว่า ไหมข้าวโพดหวานมีปริมาณความชื้นสูงสุด ที่ร้อยละ 10.26 ± 0.66 ไหมข้าวโพดข้าวเหนียวมีปริมาณเถ้าสูงสุด ที่ร้อยละ 6.43 ± 1.77 ไหมข้าวโพดหวานมีปริมาณไขมันสูงสุด ที่ร้อยละ 0.29 ± 0.17 ไหมข้าวโพดข้าวเหนียวมีปริมาณเส้นใยสูงสุด ที่ร้อยละ 14.13 ± 0.44 ไหมข้าวโพดหวานมีปริมาณโปรตีนสูงสุด ที่ร้อยละ 21.19 ± 0.61 และไหมข้าวโพดหวานสลับสีมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูงสุด ที่ร้อยละ 61.59 ± 1.06 เมื่อทำการศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ด้วยวิธี DPPH radical scavenging activity พบว่า สารสกัดไหมข้าวโพดที่มีความสามารถในการยับยั้งปฏิกิริยาอนุมูลอิสระ DPPH· ที่ร้อยละ 50 (IC50) ได้ดีที่สุดคือ สารสกัดไหมข้าวโพดหวาน ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 5991.98 ± 60.61 µg/ml และทำการศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ด้วยวิธี Tyrosinase inhibition activity พบว่า สารสกัดไหมข้าวโพดที่สามารถยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ร้อยละ 50 (IC50) ได้ดีที่สุด คือ สารสกัดไหมข้าวโพดข้าวเหนียว ซึ่งมีค่า IC50 อยู่ที่ 3082.28 ± 347.98 µg/ml การศึกษานี้แสดงผลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งสามารถนำที่ได้ไปเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ดูแลสุขภาพและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวได้ต่อไป
Article Details
เอกสารอ้างอิง
2. El-Ghorab A, El-Massry KF, Shibamoto T. Chemical composition of the volatile extract and antioxidant activities of the volatile and nonvolatile extracts of Egyptian corn silk (Zea mays L.). Journal Agric Food Chem. 2007;55(22):9124–7.
3. Hu QL, Zhang LJ, Li YN, Ding YJ, Li FL. Purification and antifatigue activity of flavonoids from corn silk. International Journal of Physical Sciences. 2010;5(4):321-6.
4. Ebrahimzadeh MA, Pourmorad F, Hafezi S. Antioxidant activities of Iranian corn silk. Turkish Journal of Biology. 2008;32:43–9.
5. Velazquez DVO, Xavier HS, Batista JEM, de Castro-Chaves C. Zea mays L. extracts modify glomerular function and potassium urinary excretion in conscious rats. Phytomedicine. 2005;12(5):363–9.
6. Wadbua P, Siri S, Kitancharoen N, Wongphathanakul W. The use of crude extract of Punica Granatum Linn pericarp to inhibit Catfish pathogenic bacteria. KKU research Journal. 2007;7(1):27-35. (in Thai)
7. AOAC. Official Methods of Analysis of AOAC International. USA: Maryland; 2000.
8. Mongkolsilp S, Pongbupakit P, Sae-Lee N, Sitthithaworn W. Radical scavenging activity and total phenolic content of medicinal plants used in primary health care. SWU Journal of Pharmaceutical Science. 2004;9:32-5. (in Thai)
9. Phuapaiboon P. Studies on the antioxidant content of wines produced from bark and fruit core. Mahasarakram university. Research and Development Institute. 2006. (in Thai)
10. Chan EWC, Lim YY, Wong LF, Lianto FS, Wong SK, Lim KK, et al. Antioxidant and tyrosinase inhibition properties of leaves and rhizomes of ginger species. Food Chemistry. 2008;109(3):477–83.
11. Rosli W, Nurhanan WI, Mohsin AR, Farid SSJ, Ghazali C. Aqueous, alcoholic treated and proximate analysis of Maydis stigma (Zea mays hairs). Annals of microscopy. 2008;8:66–72.
12. Liu J, Wang C, Wang Z, Zhang C, Lu S, Liu J. The antioxidant and free radical scavenging activities of extract and fractions from corn silk (Zea mays L.) and related flavone glycosides. Food Chemistry. 2011;126(1):261–9.
13. Thoudam B, Kirithika T, Ramya J, Usha K. Phytochemical constituents and antioxidant activity of various extracts of corn silk (Zea mays. L). Research Journal of Pharmaceutical, Biological and Chemical Sciences. 2011;2(4):986–93.
