วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM
<p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">-</span></span></p>
Department of Thai Traditional and Alternative Medicine
en-US
วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
1685-991X
-
ผลของสารสกัดด้วยเอทานอลของกระชายต่อการทำงานของเอนไซม์ CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2E1
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/275374
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> กระชาย (fingerroot) เป็นสมุนไพรไทยที่ใช้เป็นอาหารและยาในการแพทย์แผนไทย มีรายงานวิจัยพบว่าสารสกัดด้วยเอทานอล หรือเหล้ากระชายมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาหลายอย่างที่มีศักยภาพในการพัฒนาเป็นยาหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพ รวมทั้งฤทธิ์ต้าน SAR-CoV-2 อย่างไรก็ตามการนำผลิตภัณฑ์ของสารสกัดกระชายมาใช้ในผู้ป่วยที่กินยาแผนปัจจุบันร่วมด้วย อาจเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาและสารสกัดสมุนไพร (herb-drug interactions) เนื่องจากสารสกัดสมุนไพรอาจมีผลต่อเอนไซม์ไซโตโครมพี 450 (cytochrome P450) ในการศึกษานี้เพื่อตรวจสอบผลต่อ CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2E1 เนื่องจาก CYP3A4 เมทาบอไลซ์ยาในท้องตลาดกว่าร้อยละ 50, CYP2C9 ซึ่งเมทาบอไลซ์ยา warfarin ที่มีดัชนีการรักษา (therapeutic index) แคบ รวมถึง CYP2E1 เมทาบอไลซ์แอลกอฮอล์ที่มีการบริโภคกันอย่างกว้างขวาง คณะผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาผลของสารสกัดกระชายและสารสำคัญที่พบในสารสกัดต่อการทำงานของเอนไซม์ CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2E1</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เตรียมสารสกัดเหง้ากระชายด้วยการหมักใน 95% เอทานอล ครั้งละ 72 ชั่วโมง 3 ครั้ง ตรวจวิเคราะห์ชนิดและปริมาณสารสำคัญ คุณภาพทางเคมีของกระชายด้วยเครื่องโครมาโทกราฟีของเหลวประสิทธิภาพสูง (UPLC) และทดสอบผลของสารสกัดกระชายต่อเอนไซม์ CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2E1 ด้วยการตรวจวิเคราะห์ปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในปฏิกิริยาระหว่างเอนไซม์และสารตั้งต้นด้วยคุณสมบัติการเรืองแสง (fluorescence) คำนวณค่าการยับยั้งของสารสกัดกระชายและสารสำคัญเทียบกับสารควบคุมลบ (negative control) ได้แก่ ตัวทำละลายที่ใช้ในการทดสอบคือ 0.25% DMSO และสารควบคุมบวก (positive CYP inhibitors) ได้แก่ ketoconazole, sulfaphenazole และ tranylcypromine ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4, CYP2C9 และ CYP2E1 ตามลำดับ โดยแสดงผลเป็นร้อยละของการยับยั้ง (% inhibition) ค่า IC<sub>50</sub> และวิเคราะห์ผลทางสถิติ</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบสารสำคัญหลักในสารสกัดเอทานอลของกระชาย ได้แก่ pinocembrin และ pinostrobin โดยมีปริมาณสารเท่ากับ 6.0% และ 12.0% w/w ของน้ำหนักสารสกัดแห้ง ตามลำดับ เมื่อคำนวณความเข้มข้นของ pinocembrin และในสารสกัดได้เท่ากับ 11.71 µM และปริมาณ pinostrobin ได้เท่ากับ 22.20 µM เมื่อทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดและสารสำคัญ พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4 และ CYP2C9 แต่ไม่มีผลต่อเอนไซม์ CYP2E1 จากการทดสอบฤทธิ์ของสารสำคัญในสารสกัดด้วยเอทานอลของกระชายในปริมาณที่พบในสารสกัด พบว่า pinocembrin มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ CYP3A4 อย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em> = 0.037) แต่ pinostrobin ไม่มีฤทธิ์ดังกล่าว ขณะที่ทั้ง pinocembrin และ pinostrobin ไม่มีฤทธิ์ยับยั้งทั้งเอนไซม์ CYP2C9 และ CYP2E1</p> <p><strong>อภิปรายผล</strong><strong>:</strong> สารสกัดด้วยเอทานอลของกระชายมีผลยับยั้งการทำงานของ CYP3A4 แปรผันตามความเข้มข้น โดยฤทธิ์ยับยั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจากฤทธิ์ของสาร pinocembrin แต่ไม่เกี่ยวข้องกับ pinostrobin ขณะที่ฤทธิ์ยับยั้ง CYP2C9 ของสารสกัด น่าจะเนื่องจากสารอื่นที่ไม่ใช่ทั้ง pinocembrin และ pinostrobin ขณะที่ทั้งสารสกัดด้วยเอทานอลของกระชาย pinocembrin และ pinostrobin ไม่มีผลต่อ CYP2E1</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> สารสกัดด้วยเอทานอลของกระชายมีผลยับยั้งการทำงานของ CYP3A4 โดยส่วนหนึ่งเนื่องจากสาร pinocembrin ส่วนการยับยั้งการทำงานของ CYP2C9 ของสารสกัดกระชายไม่ผ่านทั้ง pinocembrin และ pinostrobin ขณะที่สารสกัดกระชายและสารสำคัญทั้งสองชนิดไม่มีผลต่อการทำงานของ CYP2E1 ทั้งนี้ควรศึกษาเพิ่มเติมด้านรูปแบบกลไกการออกฤทธิ์ของเอนไซม์ และการวิจัยทางคลินิก</p>
Nattaporn Polsan
เดชมนตรี วจีสุนทร
ศักดิ์วิชัย อ่อนทอง
สุภัชฌา พูนศรัทธา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
289
300
-
การประเมินผลโครงการส่งเสริมสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย จังหวัดลำปาง: 3S Anti-Aging
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/275709
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการ 3S Anti-Aging (Style-Smile-Smart Lampang Anti-Aging Program) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมสุขภาพกลุ่มก่อนสูงวัยและผู้สูงอายุด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยในจังหวัดลำปาง โดยใช้กรอบแนวคิด CIPP Model (Context, Input, Process, Product) เพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมของบริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการดำเนินงาน และผลผลิตของโครงการ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิจัยใช้วิธีการแบบผสมผสาน (mixed methods) เก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างสองกลุ่ม คือ กลุ่มสหวิชาชีพได้แก่ แพทย์แผนไทย พยาบาลวิชาชีพ นักสาธารณสุข (26 คน) และกลุ่มประชาชนอายุ 55 ปีขึ้นไปที่เข้าร่วมวิจัยที่สหวิชาชีพจัดขึ้น (130 คน) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา บูรณาการข้อมูลทั้งสองประเภทภายใต้กรอบแนวคิด CIPP Model</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบว่า ด้านบริบท โครงการมีความสอดคล้องกับนโยบายและความต้องการในพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดลำปางซึ่งมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดในประเทศ กิจกรรมของโครงการสามารถประยุกต์กับกิจกรรมในชมรมผู้สูงอายุที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ได้ ด้านปัจจัยนำเข้า กลุ่มสหวิชาชีพที่ผ่านการอบรมสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีข้อจำกัดได้แก่ บุคลากรไม่เพียงพอ ภาระงานมาก ปัญหาการประสานงานและงบประมาณ ด้านกระบวนการ หลังจากการอบรม กลุ่มสหวิชาชีพสามารถจัดตั้งศูนย์ชะลอวัยในพื้นที่ได้ครบทั้ง 13 อำเภอ รวม 60 ศูนย์ และจัดกิจกรรม 57 ครั้งในช่วงปีงบประมาณ 2566-2567 มีกลุ่มเป้าหมายร่วมกว่า 5,640 คน กิจกรรมที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การออกกำลังกายด้วยตาราง 9 ช่อง การนวดหน้า การออกกำลังกายด้วยยางยืด อาหารสมุนไพร และการใช้สมุนไพรบำรุงผิว ด้านผลผลิตและผลลัพธ์ โครงการสามารถพัฒนาเครือข่ายบริการสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่าย ผ่านศูนย์ชะลอวัยที่จัดตั้งขึ้นตามรูปแบบการบูรณาการส่งเสริมสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมวิจัยในพื้นที่มีความรู้และความสนใจในการใช้แพทย์แผนไทยในการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนต่อจำนวนการรับบริการด้านแพทย์แผนไทยในระบบสุขภาพ</p> <p><strong>อภิปรายผล</strong><strong>:</strong> โครงการนี้ใช้กลยุทธ์พัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพด้านแพทย์แผนไทยในกลุ่มสหวิชาชีพ เพื่อสร้างรูปแบบการดำเนินงานแบบบูรณาการที่ยั่งยืนในการส่งเสริมสุขภาพ ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา ได้แก่ การเพิ่มบุคลากรและนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนงาน การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอย่างเหมาะสม การปรับปรุงสถานที่จัดกิจกรรมให้เหมาะสม การเพิ่มความยืดหยุ่นในตารางเวลา และการพัฒนาการประสานงานระหว่างหน่วยงาน</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>:</strong> โครงการ 3S Anti-Aging สะท้อนให้เห็นรูปแบบการบูรณาการศาสตร์การแพทย์แผนไทยกับการส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนก่อนเข้าสู่สูงวัย และวัยสูงอายุที่เป็นรูปแบบการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มสหวิชาชีพ และเป็นภาพรวมของทั้งจังหวัด ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาโครงการขยายผลสู่พื้นที่อื่นได้</p>
วรรณา ดำเนินสวัสดิ์
กนกวรรณ บัณฑุชัย
สุวนันท์ นามบุญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
301
317
-
ผลการรักษาด้วยตำรับยาแก้ลมแก้เส้นในผู้ป่วยที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/270595
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์:</strong> ตำรับยาแก้ลมแก้เส้น อยู่ในตำราเวชศาตร์วัณ์ณณา ตำราแพทย์แบบเก่า เล่ม 5 มีสรรพคุณแก้ลมแก้เส้น แก้เมื่อย แก้เหน็บชา แก้ตีนตายมือตาย เป็นตำรับยาแผนไทยเข้ากัญชา 1 ใน 3 ลำดับแรกที่มีการใช้ในคลินิกกัญชาทางการแพทย์ทั่วประเทศมากที่สุดแต่ยังไม่มีการศึกษาผลการรักษาและอาการไม่พึงประสงค์อย่างเป็นระบบ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการรักษาด้วยตำรับแก้ลมแก้เส้นในผู้ป่วยนอกที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างที่มารับบริการ ณ คลินิกหางกระรอก โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: เป็นการวิจัยเชิงสังเกตแบบไปข้างหน้า (prospective observational study) ในผู้ป่วยนอกที่มารับการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง จำนวน 60 คน ระหว่างเดือน มิถุนายน 2563 – พฤษภาคม 2564 กลุ่มตัวอย่างได้รับตำรับยาแก้ลมแก้เส้น ขนาดบรรจุซองละ 2 กรัม รับประทานครั้งละ 1 ซองโดยนำผงยาผสมกับน้ำผึ้งรวง/น้ำส้มส้าหรือน้ำต้มสุก วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า–เย็น ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ เพื่อติดตามผลการรักษาเพื่อประเมินระดับความเจ็บปวด (Visual Analogue Scale : VAS) อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (adverse event) และความพึงพอใจภาพรวมในการรักษา</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 93.33 มีอาการปวดกล้ามเนื้อดีขึ้นหลังรับประทานตำรับยาแก้ลมแก้เส้นครบ 1 สัปดาห์ มีคะแนนระดับความเจ็บปวดเฉลี่ยเปรียบเทียบก่อนและหลังรับประทานตำรับยาแก้ลมแก้เส้นครบ 4 สัปดาห์ลดลงจาก 7.57 <u>+</u> 1.24 คะแนน เป็น 3.18 <u>+</u> 1.14 คะแนนตามลำดับ อาการไม่พึงประสงค์ที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ อาการแสบร้อนกลางอก (ร้อยละ 16.67) อาการปากแห้ง คอแห้ง (ร้อยละ 5.00) และอาการเวียนศีรษะ (ร้อยละ 1.67) คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจภาพรวมในการรักษาด้วยตำรับยาแก้ลมแก้เส้น เท่ากับ 4.51 <u>+</u> 0.62 คะแนน</p> <p><strong>อภิปรายผล: </strong>ตำรับยาแก้ลมแก้เส้น สามารถลดระดับความเจ็บปวดของกลุ่มตัวอย่างได้ ทั้งนี้อาจจะเป็นผลมาจากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสำคัญในสมุนไพรในตำรับที่มีฤทธิ์ลดปวด ต้านการอักเสบ ประกอบกับตำรับยาแก้ลมแก้เส้น มีรสประธานของตำรับคือ ร้อนมาก รสยาทั้งตำรับร้อนมากแต่ออกหอม มีรสเมาเบื่อแทรก จึงสามารถเข้าสุมนาวาตะ กระจายกองลม ให้เคลื่อนที่ได้ดี ให้พัดโลหิตไปเลี้ยงตามอวัยวะต่างๆ ให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> การวิจัยที่ได้ชี้ให้เห็นว่าตำรับยาแก้ลมแก้เส้นมารถแก้ไขปัญหาอาการปวดกล้ามเนื้อส่วนล่างของกลุ่มตัวอย่างได้ดี ประเมินจากระดับความเจ็บปวดที่ลดลง รวมไปถึงไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรงในกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ยาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 เดือน</p>
ศศิพงค์ ทิพย์รัชดาพร
ศรีบุษย์ ศรีไชยจรูญพง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
221
235
-
ผลของการกดจุดเข่าร่วมกับการพอกเข่าสมุนไพรในการรักษาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม: การศึกษาเกี่ยวกับผลทางคลินิกและความพึงพอใจของผู้ป่วย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/276058
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์:</strong> โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นความผิดปกติทางสรีรวิทยาและกายวิภาคของกระดูกอ่อนผิวข้อ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและกระบวนการอักเสบภายในข้อเข่า โดยความรุนแรงของโรคมีความสัมพันธ์กับระดับความปวดและความสามารถในการใช้งานข้อ ทำให้การเคลื่อนไหวข้อถูกจำกัด ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจวัตรประจำวัน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยกล่าวว่า โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากการติดขัดของลมบริเวณข้อเข่า ส่งผลทำให้มีอาการปวดตึงและนำไปสู่การเสียหน้าที่ของธาตุดินในที่สุด การรักษาทางการแพทย์แผนไทยจึงมุ่งเน้นในการลดการติดขัดของลมในบริเวณข้อ เพื่อลดอาการปวดและปรับปรุงการใช้งานข้อเข่า การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลทางคลินิกและความพึงพอใจของการรักษาด้วยการกดจุดเข่าร่วมกับการพอกเข่าสมุนไพรในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษากึ่งทดลองทางคลินิก ทำการศึกษาในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม ณ โรงพยาบาลเทพา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา จำนวน 36 คน ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แผนปัจจุบันว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการกดจุดเข่า 7 จุด จุดละ 2 นาที รวม 14 นาที ประกอบด้วย จุดสัญญาณ 1, 2, 3 เข่า จุดสัญญาณ 4 ขาด้านนอก จุดเหนือข้อพับด้านใน 2 นิ้ว จุดสัญญาณ 4 ขาด้านใน และ จุดใต้ข้อพับเข่า 2 นิ้ว ร่วมกับการพอกเข่าสมุนไพร 30 นาที ซึ่งเป็นสูตรตำรับของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ประกอบด้วย ไพล ดองดึง ยาดำ และการบูร จำนวน 1 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน ทำการประเมินผลก่อนและหลังการรักษา โดยการประเมินการเปลี่ยนแปลงช่วงระดับความปวดด้วยมาตรวัดความปวดชนิดตัวเลข ประเมินผลทางคลินิกด้วยแบบประเมินอาการของผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม (modified WOMAC) ฉบับภาษาไทย ประกอบด้วยข้อคำถาม 3 ด้าน ได้แก่ ระดับอาการปวด ระดับอาการข้อฝืด และระดับความสามารถในการใช้งานข้อ รวมทั้งประเมินความพึงพอใจหลังการรักษา สำหรับข้อมูลการเปลี่ยนแปลงช่วงระดับความปวด และความพึงพอใจ นำเสนอเป็นความถี่และร้อยละ ส่วนผลประเมินทางคลินิก ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังการรักษา ด้วยสถิติ paired <em>t</em>-test โดยกำหนดค่าระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> หลังการรักษาด้วยการกดจุดเข่าร่วมกับการพอกเข่าสมุนไพร จำนวน 1 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน สามารถเปลี่ยนแปลงช่วงระดับความปวดของผู้ป่วยได้ โดยเปลี่ยนช่วงความปวดจากระดับปานกลางเป็นระดับเล็กน้อย เพิ่มขึ้นร้อยละ 55.56 และจากการเปรียบเทียบผลประเมินทางคลินิกด้วยแบบประเมิน modified WOMAC พบว่า หลังการรักษาผู้ป่วยมีค่าเฉลี่ยของระดับอาการปวด ระดับอาการข้อฝืด และระดับความสามารถในการใช้งานข้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.001) เมื่อเทียบกับก่อนการรักษา รวมทั้งผู้ป่วยมีความพึงพอใจโดยรวมเฉลี่ย 4.47 ± 0.65 โดยผู้ป่วยมีความพึงพอใจในผลการรักษาระดับมากที่สุด ร้อยละ 55.55</p> <p><strong>อภิปรายผล:</strong> การกดจุดเข่าร่วมกับการพอกเข่าสมุนไพร มีผลในการลดความปวด และอาการทางคลินิกของผู้ป่วย โดยการกดจุดเข่าในการศึกษานี้ เป็นจุดที่ใช้รักษาอาการเกี่ยวกับข้อเข่าตามหลักการนวดไทย และมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งทางกายวิภาคศาสตร์ จึงมีผลกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนของเลือดและลมบริเวณข้อเข่า ทำให้กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็นบริเวณข้อเข่าเกิดการคลายตัว ส่งผลต่อการปรับปรุงความสามารถในการใช้งานของข้อเข่าได้ อีกทั้งตำรับยาพอกเข่าที่ใช้ในการศึกษา มีส่วนประกอบของไพล ซึ่งมีสารระเหยสำคัญคือ terpinene-4-ol ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และ camphor เป็นสารระเหยที่พบในการบูร มีคุณสมบัติเป็นสารช่วยเพิ่มการซึมผ่านทางผิวหนังของสารออกฤทธิ์ ซึ่งอาจส่งเสริมให้สารสำคัญในยาพอกเข่าสามารถซึมผ่านและให้ผลในการเปลี่ยนแปลงระดับอาการทางคลินิก ทั้งนี้ผลของการกดจุดและการพอกเข่าอาจมีความสัมพันธ์กับกลไกการลดปวดตามทฤษฎีควบคุมประตูความปวด (gate control theory) โดย สามารถยับยั้งการส่งสัญญาณความปวดจากไขสันหลังไปยังสมอง ทำให้ hypothalamus และ pituitary gland หลั่งสาร <em>β</em>-endorphin ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดและลดความเจ็บปวดลงได้</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ:</strong> การกดจุดเข่าร่วมกับการพอกเข่าสมุนไพร จำนวน 1 ครั้งต่อวัน ติดต่อกัน 3 วัน สามารถลดระดับอาการปวด อาการข้อฝืด และเพิ่มความสามารถในการใช้งานของข้อเข่าในผู้ป่วยได้ โดยสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดูแลผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
บดินทร์ ชาตะเวที
สมพร ชาญวณิชย์สกุล
จุฬาลักษณ์ โชคไพศาล
นงลักษณ์ กุลวรรัตต์
มาสีเตาะห์ ยูโซ๊ะ
ฟาติน แวหามะ
จรัญ คงสุวรรณ
มูรณี สาแลแม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
236
249
-
การพัฒนาวิธีวิเคราะห์ปริมาณเตตราไฮโดรแคนนาบินอลโดยวิธีเอชพีแอลซี และข้อกำ หนดทางเคมีฟิสิกส์ของช่อดอกเพศเมียและใบกัญชา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/271090
<p><strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt; font-family: 'Tahoma',sans-serif;">บทนำและวัตถุประสงค์:</span></strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt;"> เนื่องจากยังไม่มีข้อกำหนดมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพของช่อดอกเพศเมียและใบกัญชา งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาคุณภาพทางเคมีฟิสิกส์ของช่อดอกเพศเมียและใบกัญชา โดยจัดทำเอกลักษณ์ทางเคมี ประเมินคุณภาพทางเคมีฟิสิกส์พัฒนาวิธีวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญ และทดสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำมอโนกราฟในตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย</span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt; font-family: 'Tahoma',sans-serif;">วิธีการศึกษา: </span></strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt;">ใช้ตัวอย่างช่อดอกเพศเมีย </span><span style="font-size: 9.0pt;">23 <span lang="TH">ตัวอย่างและใบกัญชา</span>16 <span lang="TH">ตัวอย่างศึกษาเอกลักษณ์ทางเคมีโดยใช้เตตราไฮโดรแคนนาบินอลและแคนนาบิไดออลเป็นสารมาตรฐานเปรียบเทียบ พร้อมประเมินคุณภาพทางเคมีฟิสิกส์ และพัฒนาวิธีวิเคราะห์เตตราไฮโดรแคนนาบินอลด้วยวิธีเอชพีแอลซีพร้อมตรวจสอบความใช้ได้ของวิธี</span></span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt; font-family: 'Tahoma',sans-serif;">ผลการศึกษา: </span></strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt;">การศึกษาเอกลักษณ์ทางเคมีด้วยวิธีปฏิกิริยาการเกิดสีพบสารในกลุ่มแคนนาบินอยด์และเทอพีนอยด์ส่วนการวิเคราะห์ด้วยทีแอลซีพบสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลและแคนนาบิไดออลการประเมินคุณภาพทางเคมีฟิสิกส์ของช่อดอกเพศเมียกัญชา พบค่าเฉลี่ย </span><span style="font-size: 9.0pt;">± <span lang="TH">ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของปริมาณความชื้น ปริมาณเถ้ารวม ปริมาณเถ้าที่ไม่ละลายในกรดปริมาณสารสกัดด้วยน้ำ ปริมาณสารสกัดด้วยเอทานอลและปริมาณเตตราไฮโดรแคนนาบินอลเท่ากับร้อยละ </span>8.00 ± 0.68,12.94 ± 2.03, 1.96 ± 0.96, 18.51 ± 3.33, 17.64 ± 2.59 <span lang="TH">และ </span>1.95 ± 1.51 <span lang="TH">โดยน้ำหนักต่อน้ำหนัก ตามลำดับ ส่วนใบกัญชา มีค่าเท่ากับร้อยละ </span>7.83 ± 0.74,17.38 ± 3.07, 2.48 ± 1.70, 26.04 ± 2.54, 14.88 ± 3.39 <span lang="TH">และ </span>0.39 ± 0.23 <span lang="TH">โดยน้ำหนักต่อน้ำหนัก ตามลำดับ วิธีที่พัฒนาขึ้นมีความจำเพาะสูงใช้ได้ในช่วงความเข้มข้น </span>2–10 <em>µ</em>g/mL <span lang="TH">ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง (</span>R<sup>2</sup>) <span lang="TH">เท่ากับ </span>0.9998 <span lang="TH">ค่าการคืนกลับอยู่ในช่วงร้อยละ </span>97.71–103.15 <span lang="TH">ค่าความเที่ยงอยู่ในช่วงร้อยละ </span>0.08–0.36 <span lang="TH">ค่าความเข้มข้นน้อยที่สุดที่ตรวจพบได้และความเข้มข้นน้อยที่สุดที่หาปริมาณได้ เท่ากับ </span>0.08 <span lang="TH">และ </span>0.25<em> µ</em>g/mL <span lang="TH">ตามลำดับ</span></span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt; font-family: 'Tahoma',sans-serif;">อภิปรายผล: </span></strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt;">การศึกษาเอกลักษณ์ทางเคมีของช่อดอกเพศเมียและใบกัญชา พบว่ามีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลและแคนนาบิไดออลแตกต่างกัน โดยพบสารแคนนาบิไดออลเพียงไม่กี่ตัวอย่าง ซึ่งอาจเกิดจากความแตกต่างของสายพันธุ์แหล่งปลูก และอายุการเก็บเกี่ยว ทั้งนี้ในแหล่งปลูกเดียวกัน พบว่าช่อดอกเพศเมียมีปริมาณเตตราไฮโดรแคนนาบินอลมากกว่าใบกัญชา ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่ระบุว่าช่อดอกเพศเมียเป็นแหล่งสะสมสารแคนนาบินอยด์หลักของพืชกัญชา การตรวจเอกลักษณ์ทางเคมีด้วยเทคนิคเอชพีแอลซีสามารถแยกสารมาตรฐานได้ </span><span style="font-size: 9.0pt;">8 <span lang="TH">ชนิด จากการศึกษาคุณภาพทางเคมีฟิสิกส์พบว่าสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการควบคุมคุณภาพของสมุนไพรกัญชา นอกจากนี้การพัฒนาวิธีวิเคราะห์ปริมาณเตตราไฮโดรแคนนาบินอลในช่อดอกเพศเมียและใบกัญชาด้วยเทคนิคเอชพีแอลซีพบว่าวิธีที่พัฒนาขึ้นมีความจำเพาะสูง มีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงสูง ค่าการคืนกลับและค่าความเที่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานการวิเคราะห์ทางเภสัชกรรม และการใช้ระบบเอชพีแอลซีแบบเกรเดียนต์ช่วยลดระยะเวลาในการวิเคราะห์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</span></span></p> <p><strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt; font-family: 'Tahoma',sans-serif;">สรุป: </span></strong><span lang="TH" style="font-size: 9.0pt;">ข้อกำหนดทางเคมีฟิสิกส์และวิธีวิเคราะห์ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถนำไปใช้จัดทำมาตรฐานของช่อดอกเพศเมียและใบกัญชาในตำรามาตรฐานยาสมุนไพรเพื่อเป็นมาตรฐานอ้างอิงระดับประเทศ</span></p>
ภูริทัต รัตนสิริ
Suphan Pattarapornchaiwat
Warunee Jirawattanapong
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
266
288
-
บทบาทของเบญจกูลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม: มุมมองอิทธิพลจากธาตุเจ้าเรือน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/277757
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์: </strong>เบญจกูลเป็นตำรับยาสมุนไพรไทยที่มีผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ เนื่องจากเบญจกูลได้รับการศึกษาว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แก้ปวด และกระตุ้นระบบหมุนเวียนภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี การแพทย์แผนไทยมีแนวคิดว่าโรคภัยไข้เจ็บมักเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของธาตุเจ้าเรือนทั้งสี่ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการแสดงออกของโรคและการตอบสนองต่อการรักษา อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังขาดข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของธาตุเจ้าเรือนกับและผลลัพธ์การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของสารสกัดตำรับยาเบญจกูลในการบรรเทาอาการปวดในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่มีธาตุเจ้าเรือนต่างกัน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยทางคลินิกแบบพหุสถาบัน ดำเนินการในโรงพยาบาล 4 แห่งในประเทศไทย ผู้เข้าร่วมวิจัยเข้าร่วมการศึกษาจำนวน 170 คน มีอายุ 50–80 ปี ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมระดับ 1–3 ตามเกณฑ์ของโรคข้อเข่าเสื่อม (Kellgren and Lawrence) โดยแพทย์ออร์โทพีดิกส์ มีคะแนนความเจ็บปวด ≥ 3 และค่าดัชนีมวลกาย ≤ 32 kg/m<sup>2</sup> ผู้เข้าร่วมวิจัยได้รับแคปซูลสารสกัดเบญจกูลขนาด 100 mg วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เป็นระยะเวลา 28 วัน ร่วมกับยา omeprazole เพื่อป้องกันผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหาร สารสกัดเบญจกูลเตรียมโดยอ้างอิงตามบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ประกอบด้วย ดีปลี ช้าพลู สะค้าน เจตมูลเพลิงแดง และขิงในสัดส่วนที่เท่ากัน สกัดโดยการหมักด้วยเอทธานอล 95% และผ่านการควบคุมคุณภาพของยาแคปซูลตามเกณ์มาตรฐานในรูปแคปซูลขนาด 500 mg มีสารสกัด 100 g/capsule ประเมินอาการปวดด้วย Visual Analogue Scale (VAS), the 40m Fast-Paced Walk Test (40mFPWT), the Timed Up and Go Test (TUG), แบบประเมิน the Knee Injury and Osteoarthritis Outcome Score (KOOS) มีการประเมินผลภาพรวม รวมถึงการติดตามความปลอดภัยจากค่าการทำงานของตับ และไต ในการวิเคราะห์ผลการศึกษาผู้เข้าร่วมวิจัยจะถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มธาตุเจ้าเรือนตามวันเกิด การวิเคราะห์ใช้สถิติเชิงพรรณนาในข้อมูลพื้นฐานของผู้เข้าร่วมวิจัย ใช้การทดสอบไคสแควร์วิเคราะห์ข้อมูลนามบัญญัติ การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มใช้ one-way ANOVA สำหรับข้อมูลที่มีการแจกแจงปกติ และการเปรียบเทียบภายในกลุ่มใช้สถิติ pair samples <em>t</em>-tests ค่านัยสำคัญทางสถิติกำหนดที่ <em>p</em> < 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>จากผู้เข้าร่วมวิจัย 151 คนที่เข้าร่วมจนเสร็จสิ้นการศึกษา พบว่า 23.8% อยู่ในกลุ่มธาตุไฟ, 33.8% ในกลุ่มธาตุลม, และ 21.2% ในกลุ่มธาตุน้ำและธาตุดินตามลำดับ หลังจากได้รับแคปซูลสารสกัดเบญจกูล 28 วัน ร่วมกับยา omeprazole พบว่าคะแนน VAS ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในทุกกลุ่ม (<em>p</em> < 0.001) ผลทดสอบ 40mFPWT พบมีค่าดีขึ้นเล็กน้อย และมีเพียงธาตุดินพบการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p </em>< 0.001) เวลาในการทดสอบ TUG ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุดิน (<em>p</em> < 0.001) และกลุ่มธาตุน้ำ (<em>p</em> < 0.05) คะแนน KOOS แสดงผลที่ดีขึ้นในหลายมิติ โดยกลุ่มธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุน้ำ พบมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในทุกพารามิเตอร์ <em>(</em><em>p </em>< 0.05) ในขณะที่กลุ่มธาตุดินแสดงผลที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเฉพาะในกิจกรรมชีวิตประจำวัน กีฬา/นันทนาการ และคุณภาพชีวิต (<em>p </em>< 0.05) ประสิทธิผลโดยรวมเมื่อพิจารณาจากทุกพารามิเตอร์ที่พบว่าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ 87.5% ในกลุ่มธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุน้ำ และ 75% ในกลุ่มธาตุดิน โดยธาตุลมแสดงประสิทธิผลในการรักษาสูงที่สุด เมื่อสิ้นสุดการศึกษา 43.0% ของประเมินว่าการรักษาดีขึ้นปานกลาง โดยกลุ่มธาตุน้ำมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด (2.69/4) ตามด้วยกลุ่มธาตุลม (2.31/4) รวมทั้งการใช้เบญจกูลไม่พบผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับหรือไตในทุกกลุ่มธาตุเจ้าเรือน</p> <p><strong> อภิปรายผล: </strong>ผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มธาตุลม ตามด้วยธาตุไฟ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองการแพทย์แผนไทยที่เชื่อมโยงโรคข้อเข่าเสื่อม (ลมจับโปงแห้งเข่า) กับความไม่สมดุลของธาตุลม ฤทธิ์ร้อนของเบญจกุลช่วยขับลม กระตุ้นธาตุไฟ ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต และฟื้นฟูสมดุลของธาตุ ส่งผลให้ลดอาการปวด การอักเสบ และปรับปรุงการทำงานของข้อ กลไกดังกล่าวได้รับการยืนยันจากงานวิจัยที่ผ่านมา โดยเกี่ยวข้องกับกลไกกระตุ้นตัวรับความร้อนซึ่งช่วยลดความไวของเส้นทางความเจ็บปวด พร้อมกับตอบสนองของการอักเสบ ซึ่งแสดงประสิทธิผลที่ดีโดยเฉพาะในผู้ที่อยู่ในกลุ่มธาตุลม ผลการศึกษาแสดงถึงประสิทธิภาพในการรักษาโรค ทำให้อาการปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงช่วยเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว และลดการอักเสบ ทำให้ข้อเข่ามีความมั่นคงขึ้นจากผลการทดสอบ TUG ซึ่งเป็นการทดสอบการทรงตัวและความเสี่ยงต่อการล้ม และคะแนน KOOS ซึ่งเกิดจากสารต้านการอักเสบในเบญจกุล ได้แก่ piperine, 6-gingerol, 6-shogaol และ plumbagin ฤทธิ์ร้อนของสารสกัดเบญจกูลช่วยเพิ่มการทำงานในการเคลื่อนของธาตุลมในโรคข้อเข่าเสื่อม ช่วยลดความเจ็บปวดและเพิ่มการทำงานของข้อเข่า ในขณะที่กลุ่มธาตุดินแสดงการตอบสนองต่อการรักษาน้อยกว่าธาตุอื่น อาจเนื่องมาจากมีดัชนีมวลกายสูงกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีแพทย์แผนไทยที่ระบุว่าผู้มีธาตุเจ้าเรือนดินมักมีร่างกายสูงใหญ่ กระดูกใหญ่ และน้ำหนักมาก ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของโรคข้อเข่าเสื่อม จากการศึกษาครั้งนี้แคปซูลสารสกัดเบญจกูลมีผลต่อการรักษาได้ดี มีความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อการทำงานของตับหรือไต</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ: </strong>แคปซูลสารสกัดเบญจกูล (100 mg วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ร่วมกับยา omeprazole) สามารถลดอาการปวด และมีความปลอดภัยในการใช้เป็นทางเลือกในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม แม้จะไม่พบความแตกต่างของประสิทธิผลระหว่างกลุ่มธาตุเจ้าเรือนทั้ง 4 กลุ่มทางสถิติ แต่กลุ่มธาตุลมและธาตุน้ำก็แสดงผลลัพธ์ที่ดีกว่ากลุ่มธาตุดินเล็กน้อย ประสิทธิผลที่ดีขึ้นของผลการรักษาอาจเป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาใช้ตำรับยาสมุนไพรฤทธิ์ร้อนในการลดอาการปวดที่มีทฤษฏีของการเกิดโรคจากธาตุลมทางการแพทย์แผนไทยได้ การควบคุมน้ำหนักและการทำท่ากายบริหารซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้ ทั้งนี้ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น และมีการเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่เป็นยามาตรฐาน</p>
จิตรลดา คงคำ
ปิยะ ปิ่นศรศักดิ์
ภูริทัต กนกกังสดาล
ณิชมน มุขสมบัติ
สุนิตา มากชูชิต
ปราณพร คุโรปกรณ์พงษ์
ภริตา ทองยา
กาญจนา เกิดธูป
สิทธิโชค ปราสาร
อดิสรณ์ คงคำ
สมศักดิ์ กรีชัย
นีล เอ็ม เดวีส์
อรุณพร อิฐรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
181
197
-
ประสิทธิผลของการนวดราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพรต่อระดับความเจ็บปวดและองศาการเคลื่อนไหวของข้อในผู้ป่วยโรคหัวไหล่ติด
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/271954
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> โรคข้อไหล่ติดเกิดจากเยื่อบุข้ออักเสบเรื้อรังและหนาตัวขึ้นภายในปลอกหุ้มข้อทำให้ช่องข้อต่อแคบลงจนเกิดการจำกัดการเคลื่อนไหวเนื่องจากภาวะข้อไหล่ยึดติด มีชื่อเรียกทางหัตถเวชกรรมไทยว่า “โรคหัวไหล่ติด” แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ หัวไหล่ติดเฉียบพลันและหัวไหล่ติดเรื้อรัง งานวิจัยในอดีตได้รายงานประสิทธิผลของการนวดราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพรในการลดระดับอาการปวด และเพิ่มการเคลื่อนไหวของคอและข้อเข่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การรายงานประสิทธิผลในกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวไหล่ติดยังมีจำนวนจำกัด งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาประสิทธิผลของการนวดราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพร โดยเป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลองเบื้องต้น ในผู้ป่วยโรคหัวไหล่ติดเรื้อรังกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง โดยได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (เลขที่ 319-317/2566)</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการนวดราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพรต่อระดับความเจ็บปวดและองศาการเคลื่อนไหวของหัวไหล่ทุกทิศทาง (ท่ายกแขนขึ้นไปด้านหน้า ท่ายกแขนขึ้นไปด้านหลัง ท่ากางแขน ท่าหุบแขน ท่าหมุนหัวไหล่เข้า และท่าหมุนหัวไหล่ออก) ในผู้เข้าร่วมวิจัยโรคหัวไหล่ติดเรื้อรังจำนวน 30 คน ได้รับการรักษา 8 ครั้ง (สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ประเมินผลก่อนการรักษา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4 และติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6 วิเคราะห์ผลทางสถิติด้วย paired samples <em>t</em>-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 50-69 ปี เป็นโรคหัวไหล่ติดข้างขวามากที่สุด ทั้งนี้ค่าเฉลี่ยระดับความเจ็บปวดของหัวไหล่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) โดยก่อนการรักษา: X̄ = 4.47 ± 0.33 หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 2.61 ± 0.45 ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 2.40 ± 0.44 ขณะที่ค่าเฉลี่ยองศาการเคลื่อนไหวของหัวไหล่เพิ่มขึ้นทุกทิศทางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) โดยพบว่า ท่ายกแขนขึ้นไปด้านหน้า ก่อนการรักษา: X̄ = 105.83 ± 6.24 องศา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 119.50 ± 5.55 องศา ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 121.2 ± 6.88 องศา ท่ายกแขนขึ้นไปด้านหลัง ก่อนการรักษา: X̄ = 29.30 ± 5.56 องศา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 39.70 ± 5.01 องศา ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 41.20 ± 3.66 องศา ท่ากางแขน ก่อนการรักษา: X̄ = 80.06 ± 5.49 องศา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 93.63 ± 5.36 องศา ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 92.90 ± 6.09 องศา ท่าหุบแขน ก่อนการรักษา: X̄ = 15.64 ± 4.12 องศา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 24.11 ± 5.26 องศา ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 23.77 ± 4.96 องศา ท่าหมุนหัวไหล่เข้า ก่อนการรักษา: X̄ = 29.30 ± 4.92 องศา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 37.73 ± 4.78 องศา ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 37.10 ± 4.42 องศา และท่าหมุนหัวไหล่ออก ก่อนการรักษา: X̄ = 27.36 ± 5.05 องศา หลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 4: X̄ = 37.16 ± 5.68 องศา ติดตามผลหลังการรักษาในสัปดาห์ที่ 6: X̄ = 36.20 ± 5.55 องศา</p> <p><strong>อภิปรายผล</strong><strong>:</strong> การนวดราชสำนักร่วมกับการประคบสมุนไพรเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาโรคทางระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในประเทศไทย มีประสิทธิผลในการเพิ่มการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองและเพิ่มการผ่อนคลาย ลดความตึงตัวของเนื้อเยื่อ ลดระดับความเจ็บปวด ลดการอักเสบเรื้อรังของหัวไหล่และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของหัวไหล่ได้ทุกทิศทางเมื่อได้รับการรักษาต่อเนื่อง 8 ครั้ง (สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) จำนวน 4 สัปดาห์</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ</strong><strong>: </strong>การนวดร่วมกับการประคบสมุนไพรมีประสิทธิผลในการลดระดับความเจ็บปวดและเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของหัวไหล่ทุกทิศทาง ในการศึกษาครั้งต่อไปควรศึกษาเปรียบเทียบระหว่างการนวดร่วมกับการประคบสมุนไพรกับการรักษาตามแนวทางมาตรฐานของการแพทย์แผนปัจจุบัน และเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมวิจัยให้มากขึ้น</p>
ปฏิคม พาสว่าง
วิรา นิลดำ
สุพรรณิการ์ วงษ์วิลา
Narongsak Chantawang
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
23 2
250
265
-
ภูมิปัญญา “โต๊ะบิแด” ในการดูแลสุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์ในหญิงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเทศไทย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/272720
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์</strong>: พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีภูมิปัญญาในการดูแลหญิงตั้งครรภ์และหญิงหลังคลอดของหมอพื้นบ้านที่มีชื่อเรียกตามภาษามลายูถิ่นว่า “โต๊ะบีแด” ที่มีความชำนาญในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ถึงหลังคลอด การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภูมิปัญญาของโต๊ะบิแดในการดูแลสุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์ของหญิงในจังหวัดปัตตานี รวบรวมเป็นข้อมูลในการต่อยอดงานสาธารณสุขการดูแลสุขภาพของประชาชนต่อไป</p> <p><strong>ระเบียบวิธีศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ศึกษาภูมิปัญญา ของโต๊ะบิแดในจังหวัดปัตตานี จำนวน 17 คน โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก มีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบบันทึกการสัมภาษณ์ ข้อมูลที่ได้จะมีการทวนสอบจากผู้ให้ข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการวิเคราะห์แก่นสาระ (thematic analysis) ระยะเวลาในการดำเนินการศึกษา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>พบว่า มีโต๊ะบิแดในจังหวัดปัตตานีทั้งหมด 17 คน ทุกคนรับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ จากการสัมภาษณ์ แบ่งเป็น 5 ประเด็น คือ (1) การสืบทอดภูมิปัญญาของโต๊ะบิแด วิธีการเรียนรู้มีทั้งการศึกษาจากตำรา และสิ่งเหนือธรรมชาติ (2) การรักษาภาวะมีบุตรยาก ศาสตร์ของโต๊ะบิแดถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนทางที่ช่วยในการรักษาภาวะการมีบุตรยาก (3) การดูแลสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ มุสลิมมีความเชื่อเรื่องการฝากครรภ์กับโต๊ะบิแดโดยเฉพาะในครอบครัวที่มีผู้ใหญ่ เช่น ย่า ยาย แม่ (4) การดูแลสุขภาพหญิงหลังคลอด การอยู่ไฟโดยโต๊ะบิแดใช้เวลา 15–30 วัน เริ่มตั้งแต่หลังจากคลอด 3 วัน หรือเมื่อแผลหายดี และ (5) การมีส่วนร่วมในระบบสาธารณสุขของโต๊ะบิแด บางโรงพยาบาลมีการให้โต๊ะบิแดเข้าไปร่วมดูแลหญิงตั้งครรภ์ และหลังคลอด สามารถลดปัญหาการไม่มาโรงพยาบาลของบางกลุ่มได้ ผลการศึกษานำไปสู่การต่อยอดพัฒนาแนวทางการบูรณาการร่วมระหว่างการแพทย์พื้นบ้านและระบบสุขภาพสาธารณสุขต่อไป</p> <p><strong>อภิปรายผล </strong>โต๊ะบิแดในจังหวัดปัตตานีมีการสืบทอดองค์ความรู้มาจากบรรพบุรุษ ด้านการดูแลรักษาแบ่งได้เป็น การเตรียมตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ และหลังคลอด จะเห็นได้ว่าไม่มีการดูแลระยะคลอด เนื่องจากปัจจุบันมีการรณรงค์ให้คลอดในโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัยของมารดาและบุตร นอกจากนี้การบูรณาการร่วมกับโต๊ะบิแดของหน่วยบริการสามารถลดปัญหา และทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการหลักของโรงพยาบาลเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ฝากครรภ์ในโรงพยาบาลได้</p> <p><strong>ข้อสรุป </strong>ในปัจจุบันโต๊ะบิแดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีบทบาทในการดูแลสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ของหญิงในพื้นที่ การศึกษานี้เป็นการรวบรวมและสรุปภูมิปัญญาที่ยังคงมีการใช้สืบทอดกันมาของโต๊ะบิแด สามารถนำข้อมูลนี้ไปต่อยอดเพื่อพัฒนาแนวทางในการบูรณการร่วมกับงานสาธารณสุขในพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนต่อไป</p>
อรชุดา ชัยธรรม
ภิลันทน์ สังคง
นาซีเราะฮ์ มะเก๊ะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
318
328
-
ประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาแก้ลมแก้เส้นในการลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบนเปรียบเทียบกับยาหลอก: การทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุมแบบปกปิดสองทาง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/274951
<p><strong>บทนำและวัตถุประสงค์:</strong> ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อและกระดูกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัยทำงาน เนื่องจากใช้งานกล้ามเนื้อหนักเกินไปและมีอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยยาแผนปัจจุบันสูงขึ้นมาก ในปี พ.ศ. 2563 โดยประเทศไทยนำเข้ายากลุ่มนี้ประมาณ 7,070 ล้านบาทต่อปี ในขณะจากอาการเจ็บป่วยดังกล่าวประชาชนกลุ่มวัยทำงานเริ่มให้ความสนใจด้านการแพทย์แผนไทยและการใช้สมุนไพรมากขึ้น อย่างไรก็ดีการใช้ยาสมุนไพรยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง เนื่องจากขาดหลักฐานทางวิชาการที่สนับสนุนอย่างเพียงพอ กระทรวงสาธารณสุขจึงกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรและยาแผนไทย โดยเพิ่มยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร 97 รายการในปี พ.ศ. 2566 เพื่อสนับสนุนการรักษาทางเลือก และลดการนำเข้ายาแผนปัจจุบัน ประกอบกับนโยบายการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการคัดเลือกตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสม มาใช้นำร่องในระบบบริการสุขภาพ อย่างไรก็ตามงานวิจัยเกี่ยวกับกัญชาในทางการแพทย์ยังมีจำนวนจำกัด จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าตำรับยาแก้ลมแก้เส้น ประกอบด้วยสมุนไพร 7 ชนิด ได้แก่ เทียนขาว เทียนดำ เทียนข้าวเปลือก ขิง เจตมูลเพลิง ใบกัญชา และพริกไทย ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นตำรับที่มีความเป็นไปได้สูงในการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังได้รับการบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลและความปลอดภัยของยาแก้ลมแก้เส้นกับยาหลอก เพื่อสนับสนุนการใช้ทางการแพทย์ต่อไป</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่มชนิดมีกลุ่มควบคุมแบบปกปิดสองทาง (double-blind randomized controlled trial) ในกลุ่มผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบนตั้งแต่ 2-30 วัน มีผู้เข้าร่วมวิจัย 60 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยคอมพิวเตอร์ กลุ่มทดลองได้รับยาแก้ลมแก้เส้น (ยาบรรจุแคปซูลสมุนไพร 7 ชนิด ได้แก่ เทียนขาว เทียนดำ เทียนข้าวเปลือก ขิง เจตมูลเพลิง ใบกัญชา และพริกไทย) ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับยาหลอกที่มีลักษณะภายนอกเหมือนกัน รับประทานวันละ 4 แคปซูล แบ่งเป็น เช้า-เย็น ครั้งละ 2 แคปซูล เป็นเวลา 7 วัน จากนั้น ประเมินประสิทธิผลโดยวัดระดับความปวดด้วย NRS (numerical rating scale) องศาการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอด้วยเครื่องมือ CROM (cervical range of motion) และความทนต่อแรงกดเจ็บของกล้ามเนื้อด้วยเครื่องมือ algometer ติดตามอาการในวันที่ 3 และ 7 พร้อมตรวจเลือดเพื่อประเมินความปลอดภัย โดยวิเคราะห์ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของไตและตับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ได้แก่ Independent t-test, Mann–Whitney U, Paired t-test และ Wilcoxon Signed Rank Test ตามความเหมาะสมของการแจกแจงข้อมูล โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em> < 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้เข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 60 คน ไม่มีผู้ถอนตัวจากการศึกษาและผู้เข้าร่วมทุกคนรับประทานยาครบตามเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 80 พื้นฐานข้อมูลประชากรทั้งสองกลุ่ม เช่น เพศ อายุ น้ำหนัก ส่วนสูง ความดันโลหิต ระยะเวลาปวดกล้ามเนื้อ และอิริยาบถการทำงาน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> > 0.05) จากการศึกษาในด้านประสิทธิผล พบว่า กลุ่มที่ได้รับยาแก้ลมแก้เส้นมีระดับอาการปวดกล้ามเนื้อที่วัดด้วย NRS (numerical rating scale) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.001) ทั้งในวันที่ 3 และวันที่ 7 เมื่อเทียบกับกลุ่มยาหลอก โดยเฉลี่ยลดลงจาก 5.70 เป็น 1.86 คะแนน ขณะที่กลุ่มยาหลอกลดลงจาก 5.33 เป็น 4.10 คะแนน ด้านองศาการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบ่าและต้นคอ กลุ่มที่ได้รับยาแก้ลมแก้เส้นมีการเพิ่มขึ้นขององศาอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em> < 0.001) เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 8-14 องศา ในขณะที่กลุ่มควบคุมเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนระดับความทนต่อแรงกดเจ็บ ทั้งสองกลุ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มที่ได้รับยาแก้ลมแก้เส้นมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกจุด แม้ความแตกต่างเมื่อเทียบระหว่างกลุ่มจะไม่ถึงระดับนัยสำคัญทางสถิติ ผลการประเมินภาพรวมการรักษา พบว่า กลุ่มที่ได้รับยาแก้ลมแก้เส้นร้อยละ 46.7 มีอาการดีขึ้นมาก และร้อยละ 6.7 มีอาการหายดี เทียบกับกลุ่มควบคุมที่มีเพียงร้อยละ 3.3 รายงานว่าอาการดีขึ้นมาก และไม่มีผู้ใดที่อาการหายดี ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em> < 0.001) ด้านความปลอดภัย พบว่า ทั้งสองกลุ่มอยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของไตและตับแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติในทั้งสองกลุ่ม (<em>p</em> > 0.05) พบอาการไม่พึงประสงค์เล็กน้อยในกลุ่มยาแก้ลมแก้เส้น เช่น ปากแห้ง คอแห้ง และง่วงซึม ในส่วนของค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การทำงานของไตและตับแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติในทั้งสองกลุ่ม (<em>p</em> > 0.05)</p> <p><strong>อภิปรายผล:</strong> ยาแก้ลมแก้เส้น สามารถใช้บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและตึงของเส้นเอ็น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว และเพิ่มความทดต่อแรงกดเจ็บได้ดีกว่ายาหลอกได้อย่างมีประสิทธิผล ตั้งแต่วันที่ 3 ของการรักษา และยังสอดคล้องกับค่ามาตรฐานองศาการเคลื่อนไหวของคอและไหล่ในประชากรทั่วไป ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้อาการปวดกล้ามเนื้ออาจหายเองได้ แต่การใช้ตำรับสมุนไพรช่วยเร่งการฟื้นตัวได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้อาการปวดกล้ามเนื้ออาจหายเองได้ แต่การใช้ยาแก้ลมแก้เส้นจะช่วยเร่งการฟื้นตัวได้ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสมุนไพรในตำรับโดยเฉพาะพริกไทยซึ่งมี piperine มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ COX-2 ลด cytokines และสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณปวด รวมถึง cannabinoids ได้แก่ THC (Tetrahydrocannabinol) และ CBD (Cannabidiol) จากใบกัญชาที่ช่วยลดความไวต่อการเจ็บปวดผ่านการทำงานของ CB1 และ CB2 receptors ส่งผลให้การเคลื่อนไหวและความทนต่อแรงกดเจ็บของกล้ามเนื้อดีขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดการแพทย์แผนไทยที่อธิบายว่าอาการปวดกล้ามเนื้อเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุ โดยเฉพาะธาตุลมและธาตุไฟ การใช้ยารสร้อนจึงช่วยปรับสมดุลธาตุ บรรเทาความตึงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด อย่างไรก็ตามการใช้ยาควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์แผนไทยหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานเพื่อความปลอดภัยในการรักษา</p> <p><strong>ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ</strong>: ยาแก้ลมแก้เส้นมีประสิทธิผลในการบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบน ช่วยลดระดับความปวด เพิ่มองศาการเคลื่อนไหว และเพิ่มความทนต่อแรงกดเจ็บของกล้ามเนื้อดีกว่าการไม่ใช้ยา และมีความปลอดภัยในการใช้กับอาการปวดกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปริมาณสารสำคัญและกลไกการออกฤทธิ์ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ในระยะยาว</p>
ปิยทัศน์ ใจเย็น
ภูริทัต กนกกังสดาล
อรุณพร อิฐรัตน์
ปรีชา หนูทิม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
198
220
-
สารบัญ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/282000
<p>N/A</p>
Vichai Chokevivat
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
(9)
(12)
-
นโยบายและจริยธรรม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/281999
<p>N/A</p>
Vichai Chokevivat
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
23 2
(1)
(8)
-
บรรณาธิการแถลง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/281994
<p>N/A</p>
Vichai Chokevivat
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
175
180
-
วารสารสโมสร
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/281996
<p>N/A</p>
Thongchai Sooksawate
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
342
345
-
Monograph of Select Thai Material Medica: (..)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/281997
<p>N/A</p>
Subcommittee on the Preparation of Monographs of Selected Thai Materia Medica
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
329
333
-
Dictionary of Traditional Chinese Medicine Volume 2 (Chinese-Thai-English) (21)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JTTAM/article/view/281998
<p>N/A</p>
Tawat Buranatawonsom
Xiaotao Wang
Suchada Anotayanonth
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
23 2
334
341