การออกแบบและพัฒนาเครื่องตัดเศษชิ้นงานสำหรับขั้วหลอดไฟพลาสติก

ผู้แต่ง

  • ทศพร อัศวรังษี ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
  • กัลยา อุบลทิพย์ ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องกล วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
  • นิตยา ศิริวัน ภาควิชาเทคโนโลยี วิทยาลัยพัฒนาชุมชนเมือง มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
  • ชินเดช เมธารมณ์ บริษัท บีทีพี อุตสาหกรรม จำกัด

คำสำคัญ:

การออกแบบและพัฒนา, เครื่องตัดเศษชิ้นงาน, ขั้วหลอดไฟพลาสติก

บทคัดย่อ

งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาเครื่องตัดเศษชิ้นงานสำหรับขั้วหลอดไฟพลาสติก โดยสามารถลดเวลาและข้อผิดพลาดในการตัดส่วนเกินได้ ผู้วิจัยจึงได้ดำเนินการออกแบบหลักการทำงานของเครื่องตัดเศษชิ้นงานสำหรับขั้วหลอดไฟพลาสติก ซึ่งมีขนาดมิติโดยรวมของเครื่องอยู่ที่ 380×585×880 มิลลิเมตร มีส่วนประกอบสำคัญทั้งหมด 5 ส่วน คือ ชุดกำหนดตำแหน่งชิ้นงาน ชุดปรับระยะการตัด ชุดลำเลียงเข้า ชุดการตัดด้วยระบบลม ชุดลำเลียงชิ้นงานออก ผลจากการออกแบบพบว่า เมื่อใช้เครื่องตัดเศษชิ้นงานสำหรับขั้วหลอดไฟพลาสติก ร่วมกับพนักงาน สามารถทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ โดยรุ่นฝาครอบสีขาว แบบ A รุ่น P008060 TTC/W ซึ่งเดิมพนักงานใช้เวลาในการตัดเฉลี่ย 12.1 วินาที/ชิ้น เมื่อพนักงานทำงานร่วมกับเครื่องใช้เวลา 1.83 วินาที/ชิ้น รุ่นฝาครอบสีขาว แบบ B รุ่น P008052 YYC/W ซึ่งเดิมพนักงานใช้เวลาในการตัด 7.9 วินาที/ชิ้น เมื่อพนักงานทำงานร่วมกับเครื่องใช้เวลา 2.33 วินาที/ชิ้น และรุ่นฝาเกลียว แบบ C รุ่นP101003 PT3/5 (PTE-E27) ซึ่งเดิมพนักงานใช้เวลาในการตัด 7.9 วินาที/ชิ้น เมื่อพนักงานทำงานร่วมกับเครื่องใช้เวลา 2.33 วินาที/ชิ้น ซึ่งสามารถตัดส่วนเกินของชิ้นงานขั้วหลอดไฟพลาสติกได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้ผิวสำเร็จชิ้นงานขั้วหลอดไฟพลาสติกได้คุณภาพ สามารถลดของเสียที่เกิดจากการปฎิบัติงาน ลดเวลาในการทำงาน ส่งผลให้เพิ่มกำลังการผลิตได้มากขึ้น

References

David, O. K. (2016). Injection mold design engineering (2nd ed.). Munich: Carl Hanser Verlag.

Johari, J., Abd Wahab, D., Sahari, J., Abdullah, S., Ramli, R., Mohd Yassin, R., & Muhamad, N. (2011). Systematic infusion of creativity in engineering design courses. Procedia Social and Behavioral Sciences, 18, 255–259. https://doi.org/10.1016/j.sbspro.2011.05.036

Manee-ngam, A., Saisirirat, P., & Suwankan, P. (2017). Hook design loading by the optimization method with weighted factors rating method. Energy Procedia, 138, 337–342. https://doi.org/10.1016/j.egypro.2017.10.132

Pahl, G., Beitz, W., Feldhusen, J., & Grote, K.-H. (2007). Engineering design a systematic approach (3rd ed.). London: Springer-Verlag London Limited.

Peti, P., Lucian, G., Ioan, S., & Cristian, C. (2010). Studies concerning the design of the runner, gate and venting systems in the case of the high pressure die casting technology. Fascicle of Management and Technological Engineering, 9(19), 3,178-3,183. doi:10.15660/AUOFMTE.2010-2.1926

Sookramoon, K., Bunchoowit, S., Permchart, W., Suetrong, C., & Kingthong, S. (2023). Finite element investigation on chassis design for agricultural vehicle. The Journal of Industrial Technology: Suan Sunandha Rajabhat University, 11(1), 94-106 (in Thai)

Sornnil, B., & Wattanasriyakul, S. (2015). Tabellenbuch metal Leadership (2nd ed.). Bangkok: King Mongkut’s University of Technology North Bangkok Publishing. (in Thai)

Thai Industrial Standards Institute (TISI) 17025. (2021). Community standards for instant stevia powder 1521. Bangkok: Thai Industrial Standards Institute (TISI). (in Thai)

Vijayakumar, M. D., Ramesh Kannan, C., Manivannan, S., Vairamuthu, J., Tilahun, S., & Bupathi Ram, P. M. (2020). Finite element analysis of automotive truck chassis. IOP Conference Series: Materials Science and Engineering, 988(1), 012114. doi:10.1088/1757-899X/988/1/012114

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2024-12-12