วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci
<p><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; letter-spacing: -.15pt;"> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความยินดีรับตีพิมพ์บทความสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ พยาบาลศาสตร์</span><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> <span style="letter-spacing: -.05pt;">เภสัชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ การบิน สิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิชา</span>ที่เกี่ยวข้อง เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ดังนี้ </span><span style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">(1) <span lang="TH">ผลงานวิชาการที่ส่งมาขอตีพิมพ์ต้องไม่เคยเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อนและต้องไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</span> (<span style="letter-spacing: .4pt;">2)<span lang="TH"> การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">กองบรรณาธิการ ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมิน</span><span lang="TH">คุ<span style="letter-spacing: -.15pt;">ณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ บทความจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (</span></span><span style="letter-spacing: -.15pt;">Peer Review<span lang="TH">)</span></span><span lang="TH"> <span style="letter-spacing: -.35pt;">ในสาขาวิชานั้น ๆ จำนวนไม่น้อยกว่า</span></span><span style="letter-spacing: -.35pt;"> 3 <span lang="TH">ท่าน โดยเป็นการประเมินบทความที่ผู้ทรงคุณวุฒิ</span></span><span lang="TH">และ <span style="letter-spacing: -.2pt;">ผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อและสังกัดกันและกัน (</span></span><span style="letter-spacing: -.2pt;">Double<span lang="TH">-</span>blind<span lang="TH">) ทั้งนี้บทความจากบุคลากรภายใน</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: .4pt;">จะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกทั้งหมด และบทความจากบุคลากรภายนอกจะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกกับผู้ทรง</span><span lang="TH" style="letter-spacing: .15pt;">คุณวุฒิภายใน</span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">3)<span lang="TH"> ข้อความที่ปรากฏภายในบทความแต่ละเรื่องที่ตีพิมพ์ในวารสารเล่มนี้เป็น</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ และคณาจารย์</span><span lang="TH">ท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ความรับผิดชอบด้านเนื้อหา รูปภาพและการตรวจ<span style="letter-spacing: .15pt;">ร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบบทความของตนเอง</span></span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">4)<span lang="TH"> ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</span></span></span></p>
Central Library Eastern Asia University
th-TH
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2286-6175
<span>บทความใน “วารสาร EAU HERITAGE” เป็นความเห็นของผู้เขียนโดยเฉพาะ กองบรรณาธิการไม่มีส่วนในความคิดเห็นในข้อความเหล่านั้น</span>
-
การพัฒนาและทดสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์เซรั่มจากสารสกัดใบไมยราบในอาสาสมัครปกติ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/276635
<p>ไมยราบ (<em>Mimosa pudica</em> L.) เป็นพืชท้องถิ่นที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย มีสรรพคุณต่าง ๆ มากมายในตำราการแพทย์แผนไทยและปัจจุบันผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรูปแบบเซรั่มเป็นที่นิยมอย่างมาก วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาเซรั่มจากสารสกัดใบไมยราบและศึกษาประสิทธิผลด้านความชุ่มชื้นของผิว วิธีการศึกษา: สกัดสารสำคัญจากใบไมยราบด้วยวิธีแช่สกัด (maceration) เอทานอล 85% เป็นเวลา 7 วัน ด้วยเครื่องระเหยแบบหมุน ทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัด ด้วยวิธี DPPH นำมาพัฒนาเป็นเซรั่ม 3 สูตร ทดสอบความคงตัวในสภาวะเร่ง 7 รอบ ที่อุณหภูมิ 5 และ 45 องศาเซลเซียส ทดสอบความปลอดภัยโดยการทดสอบการระคายเคืองต่อผิวหนังในอาสาสมัคร และศึกษาด้านความชุ่มชื้นของผิวหนังในอาสาสมัครจำนวน 50 คน เป็นเพศชาย 25 คน และเพศหญิง 25 คน อายุระหว่าง 20 - 25 ปี ด้วยเครื่อง Corneometer ก่อนและหลังใช้ 28 วัน ของการใช้ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้าจากสารสกัดใบไมยราบ สถิติที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า P-value การทดสอบสถิติ paired-sample t Test และผลการศึกษา: สารสกัดจากไมยราบมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ โดยมีค่า EC<sub>50</sub> เท่ากับ 30.31±0.06 µg/mL สารมาตรฐาน BHT มีค่า EC<sub>50</sub> เท่ากับ 16.36±0.05 µg/ml ผลการทดสอบความคงตัวพบว่าเซรั่ม สูตร 3 มีสีเหลืองใส ความเป็นกรด-ด่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื้อเซรั่มไม่มีการแยกชั้น และพบว่าหลังการใช้ผลิตภัณฑ์เซรั่มบำรุงผิวหน้า สูตร 3 ระยะเวลา 28 วัน มีค่าเฉลี่ยความชุ่มชื้นอยู่ที่ 46.52±11.51 P<.05 สรุป: เซรั่มจากสารสกัดใบไมยราบ สูตรที่ 3 มีความคงตัวทางกายภาพและเคมี และมีผลการให้ความชุ่มชื้นดีที่สุด ซึ่งสามารถนำไปใช้พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อบำรุงผิวได้ต่อไป</p> <p> </p>
แสงสิทธิ์ กฤษฎี
นงนุช บุญแจ้ง
สิริภารัศมิ์ อัศวปัญญาพร
สลิลทิพย์ กุลศิลารักษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
31
41
-
การพัฒนาแผ่นแปะสิวจากสารสกัดรากพร้าวนกคุ่มที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/277133
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดของรากพร้าวนกคุ่มและนำสารสกัดรากพร้าวนกคุ่มนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิวในรูปแบบแผ่นแปะ โดยเลือกสุ่มเก็บตัวอย่างรากพร้าวนกคุ่ม ในพื้นที่จังหวัดพัทลุง โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นสถิติเชิงพรรณนาใช้เพื่ออธิบาย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และนำสารสกัดรากพร้าวนกคุ่ม ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย <em>Cutibacterium acne</em> การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การทดสอบความยืดหยุ่นของแผ่นแปะสิว และทดสอบลักษณะทางกายภาพของแผ่นแปะ โดยพัฒนาทั้งหมด 5 สูตร พบว่า สูตรที่ดีที่สุดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แผ่นแปะสิว คือสูตรที่ 5 ซึ่งมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ Pectin NaCMC Glycerol ที่มากกว่าสูตรอื่น ๆ และสารสกัดรากพร้าวนกคุ่มที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียก่อสิว <em>C.acn</em><span style="font-size: 0.875rem;"><em>e</em> และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้ที่ IC</span><sub>50</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> เท่ากับ 15.70 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร อีกทั้งยังมีค่าความยืดหยุ่น เท่ากับ -24.22 มิลลิเมตร แผ่นแปะที่มีสารสกัดรากพร้าวนกคุ่ม มีลักษณะเนื้อสัมผัสนิ่ม แรงดึงความยืดหยุ่นได้ดี เกาะติดผิวได้นาน และมีลักษณะทางกายภาพ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง กลิ่น และค่าความเป็นกรด-ด่าง เท่ากับ 5.38–7.00 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ใช้บนใบหน้าของมนุษย์ และมีสะดวกต่อการพกพาและใช้งานของกลุ่มวัยที่มีปัญหาสิว</span></p>
ไซหนับ กะกา
นิศรีณ เจ๊ะน๊ะ
อารมาวาตี สาแล๊ะ
สุพัตรา พรหมอินทร์
ปิยะนุช สุวรรณรัตน์
ธีระพงษ์ นิลละออ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
42
57
-
การพัฒนายาอมเยลลี่ตรีผลาโดยใช้ความหวานจากน้ำสกัดชะเอมเทศ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/277353
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนายาอมเยลลี่ตรีผลาโดยใช้ความหวานจากน้ำสกัดชะเอมเทศ และประเมินการยอมรับทางประสาทสัมผัสของผู้บริโภคต่อยาอมเยลลี่ตรีผลา โดยศึกษาปริมาณน้ำตาลทราย และกลูโคสไซรัปที่เหมาะสมต่อคุณสมบัติทางกายภาพของเยลลี่ตรีผลาในสูตรที่ 1 2 และ 3 และศึกษาปริมาณน้ำสกัดชะเอมเทศที่เหมาะสมในสูตรที่ 4 5 และ 6 และศึกษาการยอมรับทางประสาทสัมผัสต่อผู้บริโภคในอาสาสมัครสุขภาพดี อายุระหว่าง 18 – 60 ปี จำนวน 30 คน โดยให้อาสาสมัครชิมยาอมเยลลี่ตรีผลาจำนวน 6 สูตร และให้คะแนนความชอบ 9 ระดับคะแนน ผลการศึกษาพบว่า ยาอมเยลลี่ตรีผลาสูตรที่ 3 ประกอบด้วย น้ำสกัดตรีผลา น้ำตาลทราย กลูโคสไซรัป เจลาติน กรดซิตริก และกลิ่นเปเปอร์มินต์ ร้อยละ 53.50 15.00 15.00 15.00 0.50 และ 1.00 ตามลำดับ มีคุณสมบัติทางกายภาพเหมาะสมที่สุด โดยมีค่าความเคี้ยว (chewiness) ความเหนียวแน่น (cohesiveness) ความหนืด (gumminess) และความแข็ง (hardness) สูงที่สุด และค่าความยืดหยุ่น (springiness) ต่ำที่สุด เมื่อเติมน้ำสกัดชะเอมเทศ และลดอัตราส่วนของกลูโคสไซรัป พบว่า ยาอมเยลลี่ตรีผลาสูตรที่ 5 ซึ่งมีปริมาณน้ำสกัดชะเอมเทศร้อยละ 10 มีคุณสมบัติทางกายภาพเหมาะสมที่สุด ผลการศึกษาการยอมรับทางประสาทสัมผัส พบว่า อาสาสมัครให้คะแนนความชอบยาอมเยลลี่ตรีผลาทั้ง 6 สูตร ในด้านสี รสชาติ ความยืดหยุ่น ความรู้สึกหลังกลืน และความชอบโดยรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ p≤.05 ทั้งนี้ อาสาสมัครให้คะแนนความชอบยาอมเยลลี่ตรีผลาสูตรที่ 1 ในด้านรสชาติ ความยืดหยุ่น ความรู้สึกหลังกลืน และความชอบโดยรวมมากที่สุด รองลงมาคือ สูตรที่ 4 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ยาอมเยลลี่ตรีผลาที่ใช้ความหวานจากน้ำสกัดชะเอมเทศ มีคุณสมบัติทางกายภาพเหมาะสม และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในระดับไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ p≤.05 กับยาอมตรีผลาที่ใช้เพียงความหวานจากน้ำตาลทรายและกลูโคสไซรัป ดังนั้นยาอมตรีผลาจึงเป็นทางเลือกให้กับผู้สนใจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่อไป</p>
จารุวรรณ เพ็ชรสังข์
ทักชิตา อนุกูลสวัสดิ์
ปิยะนุช สุวรรณรัตน์
สุพัตรา พรหมอินทร์
ธีระพงษ์ นิลละออ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
58
75
-
การพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการจัดการสินค้าคงคลังด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/277291
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการพัฒนาการจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรให้ธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแอปพลิเคชันบนมือถือร่วมกับการใช้งานระบบ Point of Sale: POS สำหรับสแกนบาร์โค้ดเพื่อขายหน้าร้าน (2) พัฒนาระบบวางแผนการสั่งซื้อล่วงหน้าด้วยเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) โดยใช้โมเดล Gradient Boosting Regression ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด โดยมีค่า MAE=1.4320 MSE=3.7344 RMSE=1.9270 R²=0.7148 และ MAPE=0.4953 (3) ส่งผลให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นและลดต้นทุนจากปัญหาสินค้าคงค้าง และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้พื้นที่ และการใช้โปรแกรมที่ซับซ้อนกับพนักงานที่ไม่ชำนาญ (4) ประเมินประสิทธิภาพของระบบทั้งในด้านการใช้งานและความพึงพอใจของผู้ใช้งาน จำนวน 30 กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กแบบเฉพาะกลุ่ม ที่ไม่มีระบบการจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติ จึงทำการประเมิน 5 ด้าน ดังนี้ (1) ด้านการจัดการแก้ไขระบบคลังสินค้า (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.64 SD=0.54) (2) ด้านการใช้ระบบขายหน้าร้าน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.12 SD=0.17) (3) ด้านการสั่งสินค้าจากการพยากรณ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.97 SD=0.07) (4) ด้านความถูกต้องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 3.80 SD=0.20) (5) ด้านการออกแบบการใช้งาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.22 SD=0.22) แสดงให้เห็นว่า แอปพลิเคชันสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ดีในเชิงการออกแบบ และความสะดวกในการใช้งาน ดังนั้นแอปพลิเคชันนี้จึงเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการปรับตัวในยุคที่การตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน</p>
ศุภดา สุทธา
ธัญญารัตน์ จิ๋วน๊อต
ทศพล เศรษฐวัชราวนิช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
76
90
-
การพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมต้นทุนต่ำโดยใช้เทคโนโลยี IoT และเครือข่าย LoRaWAN กรณีศึกษาหมู่บ้านธารปราสาท
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/278145
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมแบบเรียลไทม์ โดยใช้เทคโนโลยี IoT และเครือข่าย LoRa WAN เพื่อใช้งานในพื้นที่ชนบทที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ระบบที่พัฒนาประกอบด้วยเซ็นเซอร์วัดระดับน้ำแบบอัลตราโซนิกจำนวน 3 ตัวและเซ็นเซอร์วัดปริมาณน้ำฝน เชื่อมต่อกับไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย LoRaWAN ไปยังเกตเวย์ Raspberry Pi เพื่อบันทึกลงฐานข้อมูลบนคลาวด์ (Google Sheets) และแสดงผลผ่านแดชบอร์ดแบบเรียลไทม์บน Looker Studio ระบบใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ร่วมกับแบตเตอรี่ ทำให้สามารถทำงานต่อเนื่องได้แม้ไฟฟ้าดับ และมีการแจ้งเตือนผ่าน LINE Application โดยอัตโนมัติ เมื่อระดับน้ำเกินเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเตือนโรงเรียนและชุมชนให้เตรียมรับมือภัยน้ำท่วมล่วงหน้า โดยจัดทำเป็นชิ้นงาน ต้นแบบ (Prototype) เผื่อเก็บผลการทดลองเป็นจำนวนระยะเวลาแบบสุ่ม 20 วัน ที่แสดงให้เห็นว่า ระบบสามารถตรวจวัดระดับน้ำและปริมาณฝนได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำโดยมีความคลาดเคลื่อนเฉลี่ย 7% มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานจากการเก็บข้อมูลเป็นจำนวน 20 วัน ได้อยู่ที่ 39.71 ข้อมูลถูกส่งแบบเรียลไทม์และการแจ้งเตือนภัยทำได้อย่างทันท่วงที ส่งผลให้โรงเรียนและชุมชนได้รับข้อมูลเพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำท่วมได้รวดเร็วขึ้น ระบบที่พัฒนาขึ้นมีต้นทุนต่ำ ใช้พลังงานต่ำ และมีความน่าเชื่อถือในการสื่อสารระยะไกล อีกทั้งดูแลรักษาง่ายและรองรับการใช้งานในพื้นที่ห่างไกลที่โครงสร้างพื้นฐานการสื่อสารจำกัดได้เป็นอย่างดี ช่วยลดผลกระทบจากน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการรับมือภัยพิบัติในพื้นที่ศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ</p>
ณัฐวัฒน์ พิณรัตน์
กรวุฒิ โชติพนัส
ศุภศักดิ์ เอี่ยมสะอาด
ธนศักดิ์ พิทยากร
พรศิริ จงกล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
91
105
-
การเปรียบเทียบวิธีการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนรายเดือนในจังหวัดนราธิวาส
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/278844
<p>จังหวัดนราธิวาสมีปริมาณฝนเฉลี่ยรายเดือนที่มีความผันแปรตามฤดูกาลอย่างเด่นชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำและการเตรียมพร้อมรับมือต่อภัยพิบัติ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ การเคลื่อนไหวของอนุกรมเวลาและเปรียบเทียบความแม่นยำของแบบจำลองการพยากรณ์ปริมาณฝนระหว่างแบบจำลอง Holt-Winters’ Additive Exponential Smoothing: HW-AES และ Box-Jenkins ARIMA: ARIMA โดยใช้ข้อมูลปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายเดือน จำนวน 132 ค่า ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยประสิทธิภาพของแบบจำลองถูกประเมินด้วยค่าเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (MAPE) ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (RMSE) และค่าความแตกต่างสัมบูรณ์ต่ำสุดระหว่างค่าปริมาณฝนจริงกับค่าที่พยากรณ์ ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า แบบจำลอง Holt-Winters: HW ให้ผลการพยากรณ์ที่แม่นยำกว่าแบบจำลอง ARIMA โดยมีค่า MAPE ต่ำกว่า (83.86%) RMSE (46.27 มิลลิเมตร: มม.) และค่าความแตกต่างระหว่างค่าพยากรณ์กับค่าจริงที่น้อยกว่า (116.65 มม.) เมื่อเทียบกับแบบจำลอง ARIMA ซึ่งมีค่า MAPE เท่ากับ 198.26% และ RMSE เท่ากับ 100.89 มม. การพยากรณ์ปริมาณน้ำฝน ในปี พ.ศ. 2567 พบว่า มีค่าน้อยที่สุดในเดือนมีนาคม (46.03 มม.) และมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน (402.42 มม.) ดังนั้นแบบจำลอง HW-AES เหมาะสมกว่าสำหรับการพยากรณ์ในพื้นที่ที่มีลักษณะปริมาณน้ำฝนที่เป็นฤดูกาลอย่างชัดเจน</p>
ธนพร จิ้วไม้แดง
พรทิพย์ วิมลทรง
ธนา จารุพันธุเศรษฐ์
กานต์ธิดา บุญมา
บุษยมาศ เหมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
106
123
-
การพัฒนาตำรับยาธาตุอบเชยในรูปแบบผงฟองฟู่ และการวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีของตำรับยาธาตุอบเชยด้วยวิธีโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/278534
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตำรับยาธาตุอบเชยในรูปแบบผงฟองฟู่ และวิเคราะห์คุณภาพทางเคมีของผงฟองฟู่ที่มีส่วนผสมของสารสกัดตำรับยาธาตุอบเชย ซึ่งปกติยาธาตุอบเชยจะถูกเตรียมในรูปแบบยาต้ม แต่มีข้อจำกัดเรื่องรสชาติ กลิ่น และความคงสภาพ มีสรรพคุณบรรเทาท้องอืดท้องเฟ้อ การวิจัยได้เตรียมสูตรต้นแบบทั้งหมด 4 สูตร ผงฟองฟู่สารสกัดตำรับยาธาตุอบเชยถูกพัฒนาขึ้นจากสูตรต้นแบบ F1 ซึ่งมีคุณสมบัติการไหลในระดับดีเยี่ยม และละลายได้ดีที่สุด ด้วยวิธีแกรนูลเปียกโดยใช้ Citric acid Tartaric acid และ Sodium bicarbonate เป็นสารก่อให้เกิดฟองฟู่ ผงฟองฟู่สารสกัดตำรับธาตุอบเชยมีสีน้ำตาลอมแดง เมื่อนำผงยาละลายน้ำสามารถเกิดปฏิกิริยาฟองฟู่ได้ทันที เวลาในการเกิดฟองฟู่เฉลี่ยเท่ากับ 50.67±2.49 วินาที มีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวเล็กน้อย เมื่อเตรียมเสร็จบรรจุในถุงอลูมิเนียมฟอยล์ที่ปิดถุงด้วยความร้อนเก็บในโถแก้วดูดความชื้นเป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าเวลาในการเกิดฟองฟู่เฉลี่ยเท่ากับ 55.1±1.87 วินาที และไม่พบการเกาะกันของผงยา วิเคราะห์คุณภาพทางเคมีของผงฟองฟู่ด้วยวิธี HPLC แสดง retention time ที่เวลา 4.10 ที่ตรงกับสารมาตรฐาน Gallic acid ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผงฟองฟู่จากสารสกัดยาธาตุอบเชยที่พัฒนาขึ้นมานั้นมีสารสำคัญ คือ Gallic acid เป็นส่วนประกอบในตำรับและสามารถใช้สารสำคัญนี้เป็นสารบ่งชี้ในการควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ต่อไป</p>
เกศชฎา โชติพูล
อรุณรัตน์ แซ่อู้
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
124
135
-
ฤทธิ์ต้านออกซิเดชันและยับยั้งไทโรซิเนสของน้ำหมักใบมะรุมโดยเชื้อแอสเปอร์จิลลัส ไนเจอร์ TISTR 3240 สำหรับพัฒนาอิมัลเจลบำรุงผิว
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/279263
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการหมักใบมะรุม (<em>Moringa oleifera</em> Lam.) ทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งไทโรซิเนสของน้ำหมักที่ได้ และนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทำการทดลองโดยหมักผงใบมะรุมด้วยเชื้อ <em>Aspergillus niger</em> TISTR 3240 เป็นเวลา 1-3 วัน แล้วนำน้ำหมักมาวิเคราะห์และทดสอบฤทธิ์ต่าง ๆ ผลการวิจัยพบว่า ผงใบมะรุมหมัก 1 วัน ให้น้ำหมักที่มีปริมาณฟีนอลิกรวมและและฟลาโวนอยด์รวมสูงสุดเท่ากับ 14.60±0.29 mg gallic acid equivalent/g dry herb และ 3.08±0.08 mg quercetin equivalent/g dry herb ตามลำดับ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระจากการทดสอบโดยวิธี 2,2-diphenyl-1-picrylhydrazyl: DPPH ด้วยร้อยละการยับยั้งสูงสุดเท่ากับ 95.81±3.89 เมื่อหมัก 3 วัน และจากการทดสอบโดยวิธี ferric reducing ability power: FRAP มีค่า FRAP สูงสุดเท่ากับ 22.01±0.79 mM Fe2+/g dry herb เมื่อหมัก 1 วัน นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ยับยั้งไทโรซิเนสสูงสุดร้อยละ 75.84±0.07 เมื่อหมัก 1 วัน เช่นกัน เมื่อนำน้ำหมักใบมะรุมที่หมัก 1 วัน ไปพัฒนาตำรับอิมัลเจลบํารุงผิวจำนวน 13 สูตร พบว่าสูตรที่ 13 (ME-13) ซึ่งประกอบด้วยน้ำหมักใบมะรุม 1 วันความเข้มข้น 1%w/w เป็นสูตรที่ดีที่สุด มีความคงตัวทางกายภาพ เคมี และจุลชีววิทยามากที่สุดเมื่อเก็บที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 28 วัน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า น้ำหมักใบมะรุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้จากการหมักเป็นเวลา 1 วัน มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระและมีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ดังนั้นอิมัลเจล ME-13 ที่มีส่วนผสมของน้ำหมักใบมะรุมจึงมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาเครื่องสำอางเพื่อบำรุงผิวและประยุกต์ใช้ในเชิงพาณิชย์</p> <p> </p>
ณหทัย เวียงยา
ทานตะวัน จันทะพิมพ์
พัฒนา ศรีพลากิจ
อรสร สารพันโชติวิทยา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
136
152
-
การออกแบบเชิงหลักการอากาศยานไร้คนขับเพดานบินสูงเสมือนดาวเทียม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/279489
<p>จากบริบทของความมั่นคงสมัยใหม่ที่มีลักษณะซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับเพดานบินสูงเสมือนดาวเทียม (High Altitude Pseudo-Satellite: HAPS) จึงได้รับการพิจารณาในฐานะเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่สามารถทดแทนหรือเสริมศักยภาพของระบบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) และระบบดาวเทียม (satellite) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในภารกิจด้านการลาดตระเวน การสื่อสาร และการตรวจการณ์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการออกแบบเชิงหลักการของอากาศยาน HAPS ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมุ่งเน้นความเรียบง่ายและความสามารถในการประยุกต์ใช้จริงภายใต้ข้อจำกัดด้านพลังงาน น้ำหนัก และสภาพแวดล้อมที่ระดับความสูง 17 กิโลเมตร เหนือระดับน้ำทะเล แนวทางการออกแบบประกอบด้วย การวิเคราะห์สมดุลระหว่างมวลกับพลังงาน การประเมินศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์ในบริบทภูมิอากาศของ ประเทศไทย และการประมาณค่าทางอากาศพลศาสตร์ อาทิ อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนัก (power-to-weight ratio) และน้ำหนักต่อพื้นที่ปีก (wing loading) ผลการศึกษาเสนอรูปแบบอากาศยานต้นแบบที่มีน้ำหนักรวม 77 กิโลกรัม มีความกว้างของปีกไม่เกิน 30 เมตร และสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างต่อเนื่องมากกว่า 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา อย่างน้อย 1 เดือน พร้อมความสามารถในการส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายสื่อสารภาคพื้นดิน</p>
ธนพงศ์ อุ้มปรีชา
วันชัย เจียจันทร์
ปริพนธ์ สุขพิมาย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
153
172
-
การเพิ่มประสิทธิภาพเซลล์แสงอาทิตย์โดยการระบายความร้อนด้วยน้ำแบบอัตโนมัติ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/279537
<p>ปัจจุบันเซลล์แสงอาทิตย์ได้รับความนิยมในการผลิตไฟฟ้าเนื่องจากเป็นพลังงานสะอาด ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่ออุณหภูมิสูง โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนซึ่งอุณหภูมิอาจสูงถึง 70 องศาเซลเซียส ส่งผลให้กำลังไฟฟ้าลดลง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเซลล์แสงอาทิตย์โดยการระบายความร้อนด้วยน้ำแบบอัตโนมัติ ใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์แบบโมโนคริสตัลไลน์ขนาด 300 วัตต์ จำนวน 2 แผง คือ แผงที่ไม่มีระบบระบายความร้อน และแบบที่มีระบบระบายความร้อน โดยระบบควบคุมอัตโนมัติใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP8266 ปั๊มน้ำ DC 12 โวลต์ ที่มีอัตราการไหล 60 ลิตรต่อนาที มีรูสำหรับปล่อยน้ำ 24 รู และทำงานตามเงื่อนไขที่ตั้งค่าอุณหภูมิไว้ คือ 50 องศาเซลเซียส และหยุดการทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงเหลือ 40 องศาเซลเซียส โดยทดลองในช่วงเดือนเมษายน ทำการทดลองตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 นาฬิกา ทำการบันทึกข้อมูลทุก 15 นาที ผลการทดลองพบว่าเซลล์แสงอาทิตย์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำมีประสิทธิภาพสูงกว่าเซลล์แสงอาทิตย์ที่ไม่มีระบบระบายความร้อน คือ 20.05 และ 18.49 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ อุณหภูมิเฉลี่ยของเซลล์แสงอาทิตย์ทั้ง 2 แบบ มีค่า 46.26 และ 61.50 องศาเซลเซียส ช่วงเวลาที่มีค่าความเข้มแสงอาทิตย์สูงสุด คือ 12.00 นาฬิกา ซึ่งมีแรงดันไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า เท่ากับ 41.28 โวลต์ 7.30 แอมแปร์</p> <p> </p>
ทรงพล วิจารณ์จักร
กานต์ กอมณี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
173
182
-
ชุดอุปกรณ์กำหนดความถี่ก้าวและระยะก้าว สำหรับการวิ่งโดยใช้แสงไฟและเสียง ในการนำวิ่งที่ความถี่ การก้าวและระยะก้าว
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/279604
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดอุปกรณ์กำหนดจังหวะและระยะก้าว (2) ทดสอบความแม่นยำของชุดอุปกรณ์จากความถี่ก้าวและค่าระยะก้าวโดยการทำงานของชุดอุปกรณ์จะใช้ข้อมูลการประมวลผลภาพ (Image Processing) จากภาพเคลื่อนไหวในขณะวิ่งของผู้วิ่งเพื่อนำมากำหนดใช้เป็นที่มีความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับนักวิ่ง ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยประกอบด้วย (1) ศึกษาความต้องการและลักษณะจำเพาะในการออกแบบ (2) กำหนดคุณลักษณะสำคัญ (3) การเลือกส่วนประกอบ (4) การออกแบบและการสร้างชุดอุปกรณ์สร้างแสงและเสียง (5) การทดสอบการทำงาน โดยใช้นาฬิกาจับเวลาความละเอียด 0.01 วินาทีในการวัดความแม่นยำ ที่ความถี่ก้าว 120 160 200 240 280 และ 320 ก้าวต่อนาที และใช้แถบวัดระยะ (สายวัดหน่วยมิลลิเมตร) ในการวัดระยะก้าวของชุดอุปกรณ์ ที่ระยะ 30 60 90 120 และ 180 เซนติเมตร โดยใช้ค่าร้อยละความแม่นยำ (% of accuracy) เป็นค่าบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์โดย กำหนดความคลาดเคลื่อนไม่เกิน ± 5% ผลการทดลองพบว่า (1) ค่าความแม่นยำความถี่การก้าวมากที่สุด 1.32% (2) ความแม่นยำของการแสดงผลระยะก้าวมากที่สุด คือ 1.62% ซึ่งทั้งความแม่นยำของความถี่การก้าวและระยะการก้าว เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดในงานวิจัยนี้ไว้ คือ ไม่เกิน 5% ซึ่งผลผลิตจากงานวิจัยนี้คือต้นแบบชุดอุปกรณ์ สำหรับกำหนดความถี่ก้าวและระยะก้าวที่สามารถนำไปใช้ในการศึกษาค่าการวิ่งประหยัดพลังงาน และใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกซ้อมเพื่อหาค่าความถี่และระยะก้าวที่เหมาะสมกับนักวิ่งแต่ละบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ </p>
ธีรศักดิ์ บุญวัง
พิชชาภา คนธสิงห์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
183
195
-
การพัฒนาระบบแจ้งซ่อมอัจฉริยะผ่านแชทบอท กรณีศึกษาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาลตำบลหวายเหนียว
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/280053
<p class="Authorname" style="text-align: left;" align="left">การจัดการปัญหาสาธารณูปโภคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังประสบปัญหาความล่าช้าในการรับแจ้งและติดตาม ขาดช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และขาดระบบติดตามที่โปร่งใส แม้มีการใช้แชทบอทในหลายองค์กรแล้ว แต่ยังขาดการศึกษาเชิงลึกการประยุกต์ใช้แชทบอทบนแพลตฟอร์ม LINE สำหรับการจัดการปัญหาสาธารณูปโภคในระดับท้องถิ่น การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาระบบรับแจ้งและติดตามปัญหาสาธารณูปโภคผ่านแชทบอท LINE และ (2) ประเมินประสิทธิภาพของระบบในด้านความถูกต้อง ความสะดวกในการใช้งาน และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ การดำเนินงานวิจัยใช้แนวทางการวิจัยและพัฒนา (research and development) โดยพัฒนาระบบต้นแบบด้วยเทคโนโลยีเว็บแอปพลิเคชันที่เชื่อมโยงกับ LINE API ทดสอบระบบกับกลุ่มตัวอย่างในเขตเทศบาลตำบลหวายเหนียว จำนวน 135 คน ประกอบด้วยประชาชนผู้ใช้บริการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ รวบรวมข้อมูลจากการทดสอบการใช้งานระบบและแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ระบบสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างครบถ้วน รองรับการแจ้งซ่อม การระบุตำแหน่งผ่าน GPS และการตอบกลับแบบโต้ตอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยรวม 4.50 จาก 5.00) โดยเฉพาะด้านความสะดวกในการใช้งานและความรวดเร็วในการตอบสนอง การวิจัยนี้แสดงให้เห็นศักยภาพของการใช้แชทบอทบน LINE ในการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการสาธารณะ เป็นแนวทางสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในยุคดิจิทัล</p>
พิชยา สุขปลั่ง
ประกฤต จันทร์ขำ
วรัญญู คุณพินิจ
ศุภกฤษ นาคป้อมฉิน
สุพิชฌาย์ จันทร์เรือง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
195
211
-
ระบบวิเคราะห์ค่าเวลาการทำงานจากวิดีโอในสายการผลิตอุตสาหกรรม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/279822
<p>ในปัจจุบัน วิธีการจับเวลาการทำงานด้วยนาฬิกาจับเวลา (stopwatch method) แม้จะเป็นวิธีที่ใช้แพร่หลาย แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านความแม่นยำ ความต่อเนื่อง และภาระการใช้แรงงาน ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนและไม่สะดวกต่อการตรวจสอบย้อนหลัง งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบวิเคราะห์ค่าเวลาการทำงานจากวิดีโอในสายการผลิตอุตสาหกรรม โดยใช้เทคโนโลยีเว็บร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อเพิ่มความถูกต้องและลดข้อจำกัดของวิธีดั้งเดิม ระบบที่พัฒนาขึ้นเป็นเว็บแอปพลิเคชันซึ่งรองรับการอัปโหลดวิดีโอจากสถานีงาน และสามารถคำนวณค่าเวลามาตรฐานพร้อมทั้งค่าสถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์ความแปรปรวน ผลการทดลองกับสายการผลิตจำลอง 11 สถานีงาน พบว่า ระบบสามารถลดการบันทึกเวลาที่ต้องทำด้วยคนกว่า 110 ครั้ง เหลือเพียงการอัปโหลดวิดีโอครั้งเดียวต่อสถานี อีกทั้งยังให้ค่าความแปรปรวน ต่ำสุดเพียง 0.74% ซึ่งสะท้อนถึงความแม่นยำสูง ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถใช้งานได้จริงในการคำนวณค่าเวลามาตรฐานและสนับสนุนการวิเคราะห์กระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับอุตสาหกรรม</p>
รณกฤต ทิมสันเทียะ
ชัยยงค์ เสริมผล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
212
226
-
ประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีต่อความร่วมมือในการใช้ยา: การศึกษาเชิงคุณภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/281442
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีต่อความร่วมมือในการใช้ยา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ได้รับการวินิจฉัยจากจิตแพทย์โดยใช้เกณฑ์การวินิจฉัยโรค DSM-5 และมีประสบการณ์การใช้ยารักษาโรคซึมเศร้า จำนวน 15 ราย คัดเลือกโดยวิธีการแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2568 ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบข้อมูล 4 ด้าน ได้แก่ (1) ความหมายของการใช้ยาในมุมมองของผู้ป่วย พบว่า มีความตระหนักในการใช้ยาเพื่อควบคุมอารมณ์นำมาซึ่งพฤติกรรมใช้ยาอย่างสม่ำเสมอเป็นกิจวัตร (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความร่วมมือในการใช้ยา พบว่า มีบุคคลในครอบครัวให้การสนับสนุนในการรับประทานยา และบุคลากรทางการแพทย์ให้ความรู้ ติดตามอาการเป็นอย่างดี (3) อุปสรรคต่อความร่วมมือในการใช้ยา พบว่า ผู้ป่วยกลัวติดยา และมีความเชื่อว่าการเจ็บป่วยทางจิตใจสามารถหายได้เอง ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า (4) ผลลัพธ์จากความร่วมมือในการใช้ยา ด้านการควบคุมอาการและอารมณ์ พบว่า ยาต้านซึมเศร้าช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถแสดงบทบาททางสังคมและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ มีความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเองจากการจัดการตนเองได้ สรุปได้ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ามีประสบการณ์และมุมมองต่อการใช้ยาที่หลากหลาย ทั้งด้านประโยชน์และข้อจำกัด ที่ส่งผลต่อระดับความร่วมมือในการใช้ยา ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อความต่อเนื่องและประสิทธิผลของการรักษาในระยะยาว</p>
วันเพ็ญ แสงสงวน
ณภาภัช ใบตระกูล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
227
243
-
รูปแบบสมรรถนะและบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/281039
<p>การวิจัยเรื่องรูปแบบสมรรถนะและบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ศึกษาสมรรถนะและบทบาทอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (2) พัฒนารูปแบบรูปแบบสมรรถนะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต้นแบบที่สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น ประชากรอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 2,356 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่างคำนวณโดยใช้สูตรทาโร่ ยามาเน่ จำนวน 500 ราย ทำการกระจายโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ การเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม 5 ระดับ (rating scale) การหาค่าความเชื่อมั่น (reliability) โดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัค (Cronbach’s Alpha Coefficient) เท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาความถี่และร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง และผู้สูงอายุ สมรรถนะและบทบาทหน้าที่โดยรวมอยู่ในระดับ “สูง” ในทุกมิติ โดยมีสมรรถนะด้านทัศนคติ ด้านความชอบในการทำงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมและความสามารถในการปฏิบัติบทบาทหน้าที่ก็อยู่ในระดับ “สูง” จากภาพโมเดลที่นำเสนอ อสม. ต้นแบบพบว่า ปัจจัยความรู้ และทัศนคติ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมสุขภาพของ อสม. และปัจจัยมีอิทธิพลโดยตรงต่อบทบาทหน้าที่ที่กำหนดตามมาตรฐานสาธารณสุขพื้นฐาน คือ ปัจจัยด้านความรู้และทัศนคติของ อสม. และเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนในชุมชนได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูงสุด</p>
ศศิกาญจน์ สกุลปัญญวัฒน์
อุทัยวรรณ พงษ์บริบูรณ์
กะรัตเพชร ทองเกตุ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
244
253
-
คุณภาพการนอนหลับในวัยผู้ใหญ่: เรื่องพื้นฐานที่สำคัญต่อสุขภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/281726
<p>การนอนหลับเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานและกระบวนการทางธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ทุกเพศทุกวัยต้องการการนอน แต่ระยะเวลาการนอนหลับมีความต่างกันในแต่ละช่วงอายุ ในปัจจุบันวัยผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวัยทำงานต้องเผชิญกับความเครียดจากหลายด้าน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานเป็นกะ ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนไม่เพียงพอ ซึ่งคุณภาพการนอนหลับ หมายถึง การนอนหลับที่ได้ทั้งจำนวนชั่วโมงนอน ความลึกและความต่อเนื่อง รวมถึงตื่นมาแล้วรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า จะช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อความจำและการเรียนรู้ ช่วยควบคุมอารมณ์ การเผาผลาญพลังงาน และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในทางตรงข้าม ถ้าคุณภาพการนอนหลับไม่ดีจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย จิตใจ และสังคม ในระยะสั้นทำให้อารมณ์หงุดหงิด เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานและอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในระยะยาวมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต เสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง รวมไปถึงโรคความเสื่อมประสาท คุณภาพการนอนหลับไม่ขึ้นกับระยะเวลาเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงความต่อเนื่องและความลึกด้วย บทความนี้อธิบายถึงความสำคัญของการนอนหลับที่มีคุณภาพ ระยะและวงจรของการนอนหลับ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ ผลกระทบของการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ การประเมินคุณภาพการนอนหลับ และวิธีการส่งเสริมสุขอนามัยการนอนหลับ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต</p>
ยุพาพร หงษ์ชูเวช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
1
15
-
การเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/277348
<p>อุตสาหกรรมการบินเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บทความนี้นำเสนอการวิเคราะห์เกี่ยวกับการพัฒนาอากาศพลศาสตร์ในอุตสาหกรรมการบิน โดยมุ่งเน้นการศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ส่งผลทางบวกในการเพิ่มประสิทธิภาพของการบินและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไปสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions ภายในปี 2050</p>
สุฐิต ห่วงสุวรรณ
เขมณัฏฐ์ อำนวยวรชัย
สุกัญญา สมมณีดวง
สุธาสินี รูปแก้ว
กมล น้อยทองเล็ก
อนิรุทธิ์ ต่ายขาว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-12-06
2025-12-06
19 3
16
30