วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci <p><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; letter-spacing: -.15pt;"> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความยินดีรับตีพิมพ์บทความสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ พยาบาลศาสตร์</span><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> <span style="letter-spacing: -.05pt;">เภสัชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ การบิน สิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิชา</span>ที่เกี่ยวข้อง เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ดังนี้ </span><span style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">(1) <span lang="TH">ผลงานวิชาการที่ส่งมาขอตีพิมพ์ต้องไม่เคยเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อนและต้องไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</span> (<span style="letter-spacing: .4pt;">2)<span lang="TH"> การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">กองบรรณาธิการ ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมิน</span><span lang="TH">คุ<span style="letter-spacing: -.15pt;">ณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ บทความจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (</span></span><span style="letter-spacing: -.15pt;">Peer Review<span lang="TH">)</span></span><span lang="TH"> <span style="letter-spacing: -.35pt;">ในสาขาวิชานั้น ๆ จำนวนไม่น้อยกว่า</span></span><span style="letter-spacing: -.35pt;"> 3 <span lang="TH">ท่าน โดยเป็นการประเมินบทความที่ผู้ทรงคุณวุฒิ</span></span><span lang="TH">และ <span style="letter-spacing: -.2pt;">ผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อและสังกัดกันและกัน (</span></span><span style="letter-spacing: -.2pt;">Double<span lang="TH">-</span>blind<span lang="TH">) ทั้งนี้บทความจากบุคลากรภายใน</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: .4pt;">จะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกทั้งหมด และบทความจากบุคลากรภายนอกจะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกกับผู้ทรง</span><span lang="TH" style="letter-spacing: .15pt;">คุณวุฒิภายใน</span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">3)<span lang="TH"> ข้อความที่ปรากฏภายในบทความแต่ละเรื่องที่ตีพิมพ์ในวารสารเล่มนี้เป็น</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ และคณาจารย์</span><span lang="TH">ท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ความรับผิดชอบด้านเนื้อหา รูปภาพและการตรวจ<span style="letter-spacing: .15pt;">ร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบบทความของตนเอง</span></span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">4)<span lang="TH"> ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</span></span></span></p> Eastern Asia University th-TH วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2286-6175 <span>บทความใน “วารสาร EAU HERITAGE” เป็นความเห็นของผู้เขียนโดยเฉพาะ กองบรรณาธิการไม่มีส่วนในความคิดเห็นในข้อความเหล่านั้น</span> แบบจำลองสุขภาพเพื่อการวินิจฉัยและประโยชน์จากการสนทนาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ผ่านการแพทย์ทางไกล https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261550 <p>โรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือด มีอัตราป่วยและเสียชีวิตสูงทั่วโลก ในช่วงการระบาดของโคโรนาไวรัส สุขภาพดิจิทัลจึงเป็นเทคโนโลยีทางเลือกใหม่ เพื่อประเมินความดันโลหิตด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ดิจิทัล ในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง งานวิจัยหลายฉบับแสดงประโยชน์จากการใช้สุขภาพดิจิทัลและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม บทความนี้ได้ทบทวนแนวทางด้านสุขภาพดิจิทัล โดยการผสมผสานการให้แพทย์คำปรึกษาและการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย เป้าหมาย คือ การจัดตั้งแพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสำหรับการประเมินความดันโลหิตด้วยตนเอง(self-monitoring) และการประเมินผ่านทางไกล (tele-monitoring) ควรส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับโรคแก่ผู้ป่วย และบุคลากรทางการแพทย์จำเป็นต้องสนับสนุนให้มีการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงเบื้องต้น และการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพผ่านคลินิกออนไลน์ (virtual clinics) แนวทางด้านสุขภาพแบบดิจิทัลที่ผสานกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งสามารถช่วยแพทย์ในการคัดกรอง การวินิจฉัย และการรักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคโนโลยีที่สวมใส่หรือแอปพลิเคชันด้านสุขภาพในการดูแลความดันโลหิตสูง ส่งเสริมให้ผู้คนสามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเองได้ บทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญของสาเหตุการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และปัจจัยเสี่ยงโรค ในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ทักษะการสนทนากับผู้ป่วย เทคโนโลยี และความรู้ จึงมีความจำเป็นในการดูแลผู้ป่วยความดันโลหิตสูงให้ประสบความสำเร็จ สุขภาพดิจิทัลอาจเป็นแนวทางใหม่ในการส่งเสริมสุขภาพในประเทศไทย ปัจจุบันมีให้บริการในโรงพยาบาลเอกชน ในอนาคตอันใกล้จะต้องเป็นที่นิยมมากขึ้นทั่วประเทศไทย อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมในประเทศไทยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี และสร้างมาตรฐานด้านสุขภาพแบบดิจิทัล</p> อธิวัฒน์ ภูริศรี Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 1 18 ภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากอาชญากรรมทางเศรษฐกิจสู่อาชญากรรมทางเทคโนโลยี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261423 <p class="IndentNormal">แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่แสวงประโยชน์จากความตื่นกลัว ความโลภ ซึ่งเกิดขึ้นมานานระยะหนึ่งแล้ว แต่ได้ขยายวงอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 ในปัจจุบันเมื่อเทคโนโลยีสมาร์ทโฟนและโมบายแบงก์กิ้งได้รับความนิยมมากขึ้น แก๊งคอลเซ็นเตอร์จึงพัฒนารูปแบบการหลอกลวงเหยื่อด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้นจนกลายเป็นอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บทความนี้จะอธิบายถึงความเป็นมาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลวิธีทางวิศวกรรมสังคมในการหลอกลวงเหยื่อ การหลอกลวงรูปแบบใหม่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวคิดของ Cyber Kill Chain ปัญหาของบัญชีม้า มาตรการป้องกันโดย กสทช. ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การทำงานของแอปพลิเคชันปลอม และการป้องกันและรับมือ เพื่อให้เข้าใจกลวิธีหลอกลวงรูปแบบใหม่ และสร้างความตระหนักรู้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อโดนหลอกลวงจนต้องสูญเสียทรัพย์สิน</p> สรวิศ บุญมี Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 19 26 ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรกชนิดมีตัวรับเอสโตรเจนเป็นบวกและการดูแลตนเอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/262082 <p>มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกรวมทั้งประเทศไทย มะเร็งเต้านมในระยะเริ่มแรก คือ ระยะ 0-2 ซึ่งเป็นระยะที่สามารถรักษาให้หายขาดและมีระยะปลอดโรคในช่วง 5 ปีประมาณ 80-90 เปอร์เซนต์ การตรวจพบในระยะนี้จึงมีความสำคัญต่ออัตราการรอดชีวิตอีกทั้งการวินิจฉัยอย่างเหมาะสมทางพยาธิเพื่อได้แนวทางการรักษาที่มีความจำเพาะอย่างทันท่วงทีและครบถ้วน ซึ่งการรักษาหลัก คือ การผ่าตัดก้อนมะเร็งออกซึ่งปัจจุบันสามารถผ่าตัดแบบสงวนเต้าตามด้วยรังสีรักษามีโอกาสหายไม่แตกต่างจากการผ่าตัดออกทั้งเต้า นอกจากนั้นการใช้วิธีค้นหาต่อมน้ำเหลืองเซนติเนลก็สามารถลดการตัดต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมดในผู้ป่วยระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองทำให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้น ส่วนการพิจารณาการรักษาเสริมเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ อาทิ การให้ยาเคมีบำบัด และการใช้ยาต้านฮอร์โมนเป็นระยะเวลา 5 ปีได้แก่ยา Tamoxifen ในกลุ่มที่ยังไม่หมดประจำเดือนและให้ยากลุ่ม Aromatase inhibitors (AIs) ในกลุ่มที่หมดประเดือน หรือในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการกลับเป็นซ้ำสูงมีการใช้วิธีกดการทำงานของรังไข่ (Ovarian Function Suppression--OFS) ร่วมกับยา Tamoxifen หรือ AIs เพื่อให้รังไข่หยุดทำงาน สำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตรหลังการรักษาต้องมีการวางแผนกับแพทย์ก่อนเริ่มการรักษา สำหรับผู้ป่วยที่ตรวจพบยีน BRCA1/BRCA2 เป็นบวกควรเข้ารับการปรึกษาเรื่องพันธุกรรม ผู้ป่วยในระยะนี้ส่วนใหญ่รักษาแบบผู้ป่วยนอก แต่ยังมีอาการข้างเคียงของการรักษาที่สำคัญโดยเฉพาะการได้รับเคมีบำบัดผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันลดลง มีโอกาสเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกหลังได้รับยา Tamoxifen ผู้ป่วยยังมีความเครียดจากโรคและการรักษาดังนั้นจึงต้องดูแลตนเองให้เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อประสิทธิภาพในการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดี </p> ทิพวัลย์ สุวรรณรักษ์ ศศิกาญจน์ สกุลปัญญวัฒน์ อพีริยา คำแฝง Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 27 41 การนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ: แนวทางการออกแบบแผนภูมิและกราฟ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261618 <p>การนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ เป็นการแสดงผลข้อมูลให้อยู่ในรูปของแผนภูมิหรือกราฟรูปแบบต่าง ๆ ทำให้การนำเสนอข้อมูลได้ชัดเจน ช่วยให้วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเภทของรูปแบบการนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ ความเหมาะสมของลักษณะข้อมูลกับรูปแบบการนำเสนอข้อมูลเชิงภาพ ข้อควรระวังในการจัดรูปแบบการแสดงผลข้อมูล และเครื่องมือสำหรับสร้างข้อมูลเชิงภาพ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างข้อมูลเชิงภาพที่มีประโยชน์ต่อไป</p> ประภาพร กุลลิ้มรัตน์ชัย ศุภเสกข์ เกตุรักษา Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 42 57 ฝึกสมองให้มองแต่ความสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/264702 <p>เรื่องราวในแต่ละวันที่เราเจอล้วนทำให้เราเกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ไม่ทุกข์ก็สุข ในวันที่มีแต่เรื่องราวดี ๆ ความสุขเกิดขึ้นไม่ยาก แต่ในวันที่เจอเรื่องร้าย ๆ เราจะทำอย่างไรให้ยังคงรู้สึกมีความสุข เคนอิจิโร่ โมงิ นักวิชาการด้านสมองและนักวิจัยอาวุโสของ Sony Computer Science Laboratories บอกวิธีที่จะทำให้เรา ยังคงมีความสุขเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งนั้น คือ การฝึกสมองให้อยู่ในสภาพที่ตระหนักรู้ถึงความสุข “ความสุขไม่ใช่สิ่งที่ตกหล่นอยู่ตามพื้นหรือตกหล่นลงมาจากฟากฟ้า ตราบใดที่สมองอยู่ในสภาพที่ตระหนักรู้ถึงความสุขอยู่ การคิดของเราก็จะจำกัดอยู่ในโหมดของความสุขไปด้วย ไหน ๆ เราก็มีชีวิตกันเพียงครั้งเดียว แทนที่เราจะมัวคร่ำครวญว่าชีวิตเต็มไปด้วยความเครียด แล้วคุณไม่อยากใช้ชีวิตแบบที่ได้สัมผัสถึงรสแห่งความสุขในทุก ๆ วันบ้างหรือ” เคนอิจิโร่รวบรวมวิธีฝึกสมองจากการเป็นนักวิชาการด้านสมองและประสบการณ์ส่วนตัวจนได้เทคนิคที่ทุกคนทำตามได้ บางเทคนิคเป็นเรื่องใกล้ตัวที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เช่น พูดคำว่า “โอเค พอเท่านี้แหละ!” ให้มาก เพราะการคร่ำเคร่งอยู่กับเรื่องที่ทำให้เครียดไม่มีอะไรดีขึ้น มิหนำซ้ำยังทำให้จิตใจแย่ลง เพราะจิตใจคนเราก็คล้ายกับสปริง เมื่อเจอเรื่องเครียดก็จะหดตัว หากหดตัวชั่วครู่คงไม่เป็นไร แต่ถ้าสปริงหดตัวแล้วไม่ยอมยืดออกอีกต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น หรือเทคนิคที่เราคาดไม่ถึง เช่น ใช้คำพูดหรือการกระทำสั่งให้สมองมีความสุข เพราะสองสิ่งนี้ คือ การตัดสินตัวเองให้สมองรับรู้ทีละน้อย การพูดสิ่งไม่ดีจึงส่งผลให้สมองรับรู้ว่านี่ คือ สิ่งที่เราต้องรู้สึกหรือเป็น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเราไม่ควรพูดคำว่า เบื่อ น่ารำคาญ ไม่สบาย เพราะในไม่ช้าสมองจะจัดการให้เราเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ</p> ประภาพร กุลลิ้มรัตน์ชัย Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 244 246 การพยากรณ์การขนส่งทางอากาศจากอากาศยานแต่ละประเภทด้วยวิธีผสมผสาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/258087 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์อากาศยานที่เหมาะสมแต่ละประเภทด้วยวิธีผสมผสาน (2) เพื่อพยากรณ์อากาศยานแต่ละประเภท โดยเก็บข้อมูลจากอากาศยานแต่ละประเภท (Code A–F) จากท่าอากาศยานภูเก็ต จำนวน 336 ชั่วโมง (14 วัน) เป็นชุดฝึกสอน (train data) และเก็บข้อมูลต่อจากนั้นอีก 24 ชั่วโมง (1 วัน) เพื่อเป็นชุดทดสอบ (test data) และนำมาพยากรณ์โดยใช้ Microsoft Excel และ Microsoft Visual Basic for Application เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า การสร้างสมการพยากรณ์ที่เหมาะสมมาจากอัลกอริทึมการเลียนแบบการอบอ่อนและอัลกอริทึมการเคลื่อนลงตามความชัน และเมื่อนำมาพยากรณ์พบว่าอากาศยาน Code B มีความถูกต้องร้อยละ 100 อากาศยาน Code C มีความถูกต้องร้อยละ 82.53 อากาศยาน Code D มีความถูกต้องร้อยละ 100 และ อากาศยาน Code E มีความถูกต้องร้อยละ 100</p> บุญญวัฒน์ อักษรกิตติ์ สุวัฒน์ จรรยาพูน ภานุมาส ทองสุขดี Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 58 68 การควบคุมการทำงานของเครื่องกวนสารด้วยระบบควบคุมวงลูปปิด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/258334 <p>งานวิจัยนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ออกแบบ สร้าง และทดสอบประสิทธิภาพเครื่องกวนสารด้วยระบบควบคุมวงลูปปิด โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ในการควบคุมหลัก และสามารถวัดค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ด้วยโมดูลวัดการใช้พลังงาน (PZEM-004T) ระบบควบคุมเครื่องกวนสารที่สร้างขึ้นสามารถทำการประเมินค่าความหนืด จากสูตรสมการพื้นฐานของเครื่องวัดความหนืดแบบหมุนและสามารถแสดงผลความหนืดได้แบบเรียลไทม์ การทำงานของเครื่องจะอาศัยหลักการทำงานของมอเตอร์ภายใต้สภาวะคงตัว เมื่อมีมอเตอร์หมุนจะทำให้เกิดทอร์กหน่วงที่กระทำต่อพื้นผิวใบพัด อันเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของของเหลวภายในเครื่องกวนสาร และทอร์กหน่วงที่เกิดขึ้นนั้นแปรผันกับความหนืดของสารที่ทำการผสม ผลการทดลองพบว่า ระบบควบคุมแบบวงลูปปิดหรือระบบป้อนกลับสามารถทำให้ความเร็วรอบในการผสมคงที่อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลาในการผสม และจากการทดสอบประสิทธิภาพการกวนสารตัวอย่างพบว่า เมื่อผสมแชมพูในปริมาตร 10 ลิตร เครื่องกวนสารที่สร้างขึ้นจะใช้ระยะเวลาในกระบวณการผลิตอยู่ในช่วง 45 -55 นาที เมื่อเทียบกับการใช้เครื่องผสมสารตามท้องตลาดในปริมาตรเท่ากัน จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที นอกจากนี้การประเมินความหนืดของตัวอย่างผลิตภัณฑ์พบว่า การประเมินความหนืดของแชมพูที่ผสมจะมีเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนเฉลี่ย 2.94% และมีความคลาดเคลื่อนสูงสุด 3.15 % เมื่อเทียบกับเครื่องวัดความหนืดมาตรฐานแบบบรุคฟิลด์ ซึ่งมีค่าที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่ยอมรับได้</p> ปาริมา ผุยแสงพันธ์ ชัยยงค์ เสริมผล Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 69 81 การพัฒนาวิธีการตัดสินใจหลายหลักเกณฑ์แบบผสมผสานในการขนส่งทางอากาศ เพื่อคำนวณน้ำหนักและสมดุลอากาศยานในการบรรทุกสัมภาระใต้ท้องเครื่อง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/258584 <p style="font-weight: 400;">การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการตัดสินใจหลายหลักเกณฑ์แบบผสมผสาน ในการขนส่งทางอากาศ โดยนำแนวคิดการตัดสินใจแบบหลายหลักเกณฑ์แบบผสมสานมาประยุกต์ให้เกิดทางเลือกใหม่ เพิ่มความสามารถให้ระบบคำนวณน้ำหนักและสมดุลอากาศยานในการบรรทุกสัมภาระใต้ท้องเครื่องแบบอัตโนมัติด้วยโปรแกรมประยุกต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ผลการวิจัยพบว่า สามารถพัฒนาระบบคำนวณได้ 9 ฟังก์ชันหลัก แบ่งเป็น 115 ฟังก์ชันย่อย มุ่งพัฒนาระบบให้สามารถคำนวณได้อย่างอัตโนมัติเชื่อมโยงข้อมูลในการจัดวางสัมภาระในการบรรทุกใต้ท้องเครื่อง ทดแทนวิธีการแบบดั้งเดิมที่ใช้ประสบการณ์ส่วนบุคคลในการคำนวณและตัดสินใจที่มีความซ้ำซ้อน สามารถจำลองรูปแบบจากการคำนวณตามแนวคิดการตัดสินใจหลายหลักเกณฑ์แบบผสมผสานได้ 647 รูปแบบ และนำมาจัดลำดับได้จำนวน 19 ลำดับ 247 รูปแบบ ที่มีค่าความสมดุลเหมาะสมต่อจุดศูนย์ถ่วงของอากาศยานในการบรรทุกสัมภาระใต้ท้องเครื่อง 3 ระดับความสำคัญ (1) ความปลอดภัยต่อโครงสร้างอากาศยาน (2) ความพึงพอใจต่อการปฏิบัติการบิน (3) ความประหยัดลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ใช้เป็นทางเลือกและสนับสนุนการตัดสินใจในการดำเนินงาน ตามโครงสร้างอากาศยานแบบลำตัวแคบ</p> วรรษมนต์ สันติศิริ สุวัฒน์ จรรยาพูน Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 82 96 การประยุกต์ใช้แนวทางคิวซีสตอรี่ในการปรับปรุงเพื่อลดของเสีย ในกระบวนการผลิตหลังคาเมทัลชีทแบบมีฉนวนพียูโฟม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/259141 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจและทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษากระบวนการทำงานและการผลิตหลังคาเมทัลชีทแบบมีฉนวน (2) ศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดของเสียในกระบวนการผลิตหลังคาเมทัลชีทแบบมีฉนวน และ (3) ลดของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตไม่น้อยกว่า ร้อยละ 5 โดยการเก็บข้อมูลจำนวนการผลิตและของเสียย้อนหลัง 10 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง ตุลาคม พ.ศ. 2564 เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการปรับปรุง แล้ววิเคราะห์ปัญหาด้วยการประชุมระดมความคิดเห็นจากพนักงานโดยใช้แผนผังแสดงสาเหตุและผล ในการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นจัดลำดับความสำคัญสาเหตุของปัญหาด้วยเกณฑ์ 3 ประการ คือ ความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา ความรุนแรงของปัญหา และความถี่ของการเกิดปัญหา เพื่อเลือกปัญหาที่ส่งผลให้เกิดของเสียในกระบวนการผลิตมากที่สุด แล้วจึงวิเคราะห์หาแนวทางการปรับปรุงเพื่อแก้ไขปัญหา ผลการวิจัยพบว่า สาเหตุของปัญหาเกิดจาก คน เครื่องจักร วัตถุดิบ และสภาพแวดล้อม การดำเนินการปรับปรุงแก้ไขได้แก่ การใช้หลักการ Eliminate Combine Rearrange Simplify--ECRS การกรอกข้อมูลลงในใบตรวจสอบหลังการตรวจวัดงาน ภายหลังการปรับปรุงจึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลของเสียตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึงเดือน มกราคม 2565 และนำข้อมูลภายหลังจากการปรับปรุงมาวิเคราะห์ผล ผลปรากฎว่า จำนวนของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตลดลง จากเดิมที่มีของเสียเฉลี่ย 889 เมตรต่อเดือน เหลือ 705 เมตรต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 20.7</p> พรศิริ จงกล วันชนะ แก้วแสนชัย Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 97 110 การสังเคราะห์ตัวเร่งปฏิกิริยาประเภท SBA-15 เพื่อดูดซับสีย้อม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/262087 <p>เมโซพอรัสซิลิกาชนิด SBA-15 ที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาโดยใช้ Pluronic P123 และเตตระเอทิลออร์โทซิลิเกตเตรียมโดยใช้วิธีการไฮโดรเทอร์มอลอย่างง่ายที่ 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามด้วยการเผาที่ 500 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ซิลิกาเมโซพอร์ชนิด SBA-15 ที่สังเคราะห์มาเรียบร้อยแล้ว จะถูกนําไปวิเคราะห์องค์ประกอบของโครงสร้างด้วยเทคนิคการหาองค์ประกอบทางโครงสร้างเคมีของสารโดยใช้ความยาวคลื่นช่วงอินฟราเรด (Fourier Transform Infrared Spectroscopic-FT-IR) กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องผ่าน (Transmission Electron Microscope--TEM) และวิเคราะห์พื้นที่ผิวจำเพาะ ขนาดรูพรุนด้วยเทคนิคการดูดซับแก๊สไนโตรเจน (N<sub>2</sub> sorption surface area and porosity analysis-BET) สําหรับการดูดซับพร้อมอัตราการดูดซับสีย้อมภายในเวลา 40 ชั่วโมง พบว่า เมทิลีนบลู Methylene Blue (0.0067 s<sup>-1</sup>) เมทิลไวโอเลต Methyl Violet (0.0036 s<sup>-1</sup>) คองโกเรด Congo Red (0.0035 s<sup>-1</sup>) และ โรดามีนบี Rhodamine B (0.0018 s<sup>-1</sup>) ซึ่งสีย้อมเหล่านี้มีความเป็นพิษสูงที่อุณหภูมิห้อง โดยตัวเร่งปฏิกิริยา SBA-15 มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของรูพรุนประมาณ 5.0431 นาโนเมตร เมื่อใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา SBA-15 ปริมาณ 5 มิลลิกรัม จะสามารถดูดซับสีย้อมที่เข้มข้น 500 ppm ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย ให้ค่า 73.80 82.20 และ 100 % สำหรับ คองโกเรด เมทิลไวโอเลตและเมทิลีนบลูได้ ตามลำดับ โดยตัวเร่งปฏิกิริยา TUSB มีความสามารถในการดูดซับสีย้อมเหล่านี้สูงและรวดเร็ว มีศักยภาพในการพัฒนาใช้ในอุตสาหกรรมได้</p> สุภกร บุญยืน Paramasivam Shanmugam ปณต ลักขณาวราภรณ์ ณัฐภัทร แก้วทอง สุชานันท์ พวงนาค Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 111 119 แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์บนฐานความรู้เชิงความหมายเพื่อการแนะนำ การดูแลรักษาโรคเรื้อรังของผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/259516 <p>ผู้สูงอายุเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังเพิ่มขึ้นจำนวนมาก รวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาเพื่อดูแลสุขภาพ มักมุ่งเน้นในฝั่ง<br />การประมวลผลที่ทำนายได้เพียงผลลัพธ์เชิงจำแนกการเป็นโรค และความเสี่ยงต่อการเกิดโรค จึงนำไปสู่วัตถุประสงค์ของการวิจัย (1) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์บนฐานความรู้เชิงความหมาย เพื่อการแนะนำการดูแลรักษาโรคเรื้อรังของผู้สูงอายุ และ (2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์บนฐานความรู้เชิงความหมายเพื่อการแนะนำการดูแลรักษาโรคเรื้อรังของผู้สูงอายุ ผลการพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ได้แก่ ส่วนติดต่อผู้ใช้งานเพื่อนำเข้าค่าทางสุขภาพ อัลกอริทึมการเรียนรู้ของเครื่องในการจำแนกอาการความผิดปกติของโรคด้วยการฝึกสอนจากชุดข้อมูลออนไลน์เกี่ยวกับโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ฐานความรู้ออนโทโลยีจำนวน 33 โหนด แบ่งเป็น 4 ชั้นความรู้ ฐานกฎเชิงความหมาย จำนวน 6 ส่วน และส่วนแสดงผลการแนะนำการดูแลสุขภาพตามผลการจำแนกอาการโรค การพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ใช้เทคนิคการสร้างโมเดลการจำแนกโรคด้วยแมชชีนเลิร์นนิงที่เชื่อมประสานการประมวลผลกับฐานความรู้เชิงความหมายด้วยออนโทโลยีที่ผ่านการสกัดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างคำแนะนำจากผลการทำนายที่เป็นอัตโนมัติจากข้อมูลภาวะสุขภาพที่ตรวจวัดจากเซนเซอร์ของอุปกรณ์ไอโอที อุปกรณ์การแพทย์ทั่วไปที่ส่งค่าแบบบลูทูธ และการนำเข้าผ่านหน้าจอโปรแกรม โดยแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์สามารถจำแนกอาการด้วยอัลกอริทึมต้นไม้การตัดสินใจ ได้ค่าความถูกต้องเฉลี่ยสูงสุด คิดเป็น 100% และการแนะนำข้อมูลการดูแลรักษาโรคด้วยฐานความรู้เชิงความหมาย สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างถูกต้องคลอบคลุม โดยมีค่า F-measure เท่ากับ 92.3%</p> <p> </p> ณัฐพล คุ้มใหญ่โต เกรียงศักดิ์ เตมีย์ ปราโมทย์ สิทธิจักร Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 120 137 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อความเสี่ยงจากการหกล้มของผู้สูงอายุ ในชุมชนจังหวัดปทุมธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261301 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการหกล้มของผู้สูงอายุ จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุ จำนวน 90 คน สุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 3 แห่ง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ด้านสุขภาพทางกาย สุขภาพทางใจ การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และภาวะเสี่ยงต่อการหกล้ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสถิติไคสแควร์ กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัย พบว่า อายุ และภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มมีความสัมพันธ์กับการหกล้มของผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญ (p-value&lt;.001*) สำหรับตัวแปรสภาวะสุขภาพในชุมชน สุขภาพทางกาย สุขภาพทางใจ การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน พฤติกรรมเสี่ยง สภาวะแวดล้อมที่อยู่อาศัย เพศอาชีพ รายได้ โรคเรื้อรัง และค่าดัชนีมวลกาย พบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับการหกล้มของผู้สูงอายุ ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้กำหนดนโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ให้ความสำคัญกับการหกล้มในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการสร้างเสริมสุขภาพผู้ใหญ่ด้านกายภาพการสร้างความรู้ด้านการดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุที่ ดัชนีมวลกายสูงกว่าปกติ</p> <p> </p> รัฐพล ศิลปรัศมี ภูษิตา อินทรประสงค์ จันทรรัตน์ จาริกสกุลชัย Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 138 147 ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261510 <p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ โรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก เก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างจำนวน 200 รายด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.92 และทดสอบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุฯ ด้วยการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง ระยะเวลาดำเนินการระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน 2565 ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นหญิงร้อยละ 84.5 มีค่าน้ำตาลสะสม 7.0–7.9 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ร้อยละ 77.5 รักษาเบาหวานด้วยการกินยาร้อยละ 97.0 ฉีดยาร้อยละ 2.0 และทั้งกินยาและฉีดยาร้อยละ 1.0 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุฯ พบว่า (1) แรงสนับสนุนทางสังคม มีอิทธิพลทางตรงกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (b=0.27 p-value&lt;.05) และพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (b=0.08 p-value&lt;.05) พบมีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผ่านความรอบรู้ด้านสุขภาพ (b=0.08 p-value&lt;.05) (2) การรับรู้ความสามารถแห่งตน มีอิทธิพลทางตรงกับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (b=0.49 p-value&lt;.05) และพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (b=0.44 p-value&lt;.05) พบมีอิทธิพลทางอ้อมต่อพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดผ่านความรอบรู้ด้านสุขภาพของผู้ป่วย (b=0.15 p-value&lt;.05) และ (3) ความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีอิทธิพลทางตรงต่อพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (b=0.30 p-value&lt;.05) ผลการศึกษาพบว่า แรงสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ความสามารถแห่งตน และความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ร้อยละ 43.0</p> <p> </p> ปัทมา สุพรรณกุล อาจินต์ สงทับ อนุสรา สีหนาท นพวรรณ วัชรพุทธ เบญจมาภรณ์ นาคามดี กู้เกียรติ ก้อนแก้ว เอกภพ จันทร์สุคนธ์ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 148 161 การศึกษาลายนิ้วมือแฝงที่ผ่านการใช้น้ำยาทำความสะอาดมือทั่วไป จากการปัดผงฝุ่นแม่เหล็ก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261481 <p>งานวิจัยนี้ศึกษาผลของน้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไปต่อลายนิ้วมือแฝงบนซองพัสดุพลาสติก โดยให้อาสาสมัครจำนวน 10 คน (ชาย 5 คนและหญิง 5 คน) รวมทั้งหมด 30 ตัวอย่างทำความสะอาดมือน้ำยาที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ จากนั้นประทับนิ้วมือบนซองพัสดุพลาสติก แล้วปัดด้วยผงฝุ่นแม่เหล็ก เพื่อตรวจหารอยลายนิ้วมือแฝงที่ปรากฏ นำรอยลายนิ้วมือแฝงทั้ง 30 ตัวอย่าง ที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมืออัตโนมัติ (AFIS) เพื่อหาจุดลักษณะสำคัญพิเศษ (minutiae) ก่อนประเมินคุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงจากเกณฑ์ที่กำหนด จากนั้นเปรียบเทียบคุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงระหว่างเพศชายและหญิง พบว่า คุณภาพรอยลายนิ้วมือแฝงเพศชายและหญิงไม่มีความแตกต่างกัน ต่อมาได้ทำการเปรียบเทียบรอยนิ้วมือระหว่างการตรวจพิสูจน์ด้วยโปรแกรม AFIS กับตรวจพิสูจน์ด้วยผู้วิจัย พบว่า minutiae บางตำแหน่งที่ตรวจพบจากผู้วิจัยไม่ปรากฏในลายนิ้วมือที่ตรวจด้วยโปรแกรม AFIS จึงนำ minutiae ดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือที่พิมพ์ด้วยหมึกดำ ปรากฏว่ามีบางจุด minutiae ที่ได้การตรวจด้วยผู้วิจัยก็ไม่พบในลายนิ้วมือที่พิมพ์ด้วยหมึกดำ เช่นเดียวกัน จากนั้นทำการประเมิน minutiae ของรอยลายนิ้วมือแฝงจากน้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ต่อการนำไปใช้ในชั้นศาล พบตัวอย่างกว่า 33.33% ที่มีจุดลักษณะสำคัญพิเศษ 10 จุดขึ้นไป ซึ่งเพียงพอต่อการตรวจพิสูจน์ในชั้นศาลสำหรับประเทศไทย</p> <p> </p> ปุณิกา คงไกรสิน กมลชนก วรนาม พรรณพัชร สุวรรณพงษ์ ปรารถนา พานทอง สุนิษา โอบอ้อม Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 162 175 ระบบแนะนำการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้ข้อมูลการรีวิวของนักท่องเที่ยวแบบไร้โครงสร้างและการเช็คอิน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261625 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาระบบแนะนำการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้ข้อมูลการรีวิวของนักท่องเที่ยวแบบไร้โครงสร้างและการเช็คอิน และ (2) ประเมินประสิทธิภาพของระบบแนะนำการท่องเที่ยวเชิงนันทนาการในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้ข้อมูลการรีวิวของนักท่องเที่ยวแบบไร้โครงสร้างและการเช็คอิน ผู้วิจัยทำการรวบรวมข้อมูลการรีวิวด้วยภาษาไทยเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจำนวน 300 รายการ บนบริการแผนที่กูเกิล เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนันทนาการ 5 แห่ง ได้แก่ (1) อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ (2) บี.เอ็น.ฟาร์ม (3) ภูแก้ว รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์ ปาร์ค (4) ทุ่งกังหันลม เขาค้อ และ (5) สวนสนุกไดโนเสาร์มหัศจรรย์ เพื่อนำข้อมูลการรีวิวการท่องเที่ยวมาวิเคราะห์โครงสร้างประโยคและคำที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยใช้อัลกอริทึมไบแกรมร่วมกับเทคนิคการสกัดชุดข้อมูล และสร้างระบบเชคอินเพื่อนับจำนวนการเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ของนักท่องเที่ยว เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการพัฒนากลไกการแนะนำด้วยอัลกอริทึมการกรองเชิงเนื้อหาที่ผ่านการปรับปรุงขั้นตอนวิธีใหม่ ทำการประเมินประสิทธิภาพการให้คำแนะนำแหล่งท่องเที่ยวจากระบบ เทียบวัดกับคำตอบที่แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยพบว่า ระบบสามารถแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 90</p> ดวงจันทร์ สีหาราช อนุพงษ์ สุขประเสริฐ เจษฎาพร ปาคำวัง จิตรนันท์ ศรีเจริญ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 176 188 ผลของการฝึกด้วยกีฬายูโดแบบเฉพาะเจาะจงที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อ ของนักกีฬายูโดระดับเยาวชนหญิง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261789 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการฝึกด้วยกีฬายูโดแบบเฉพาะเจาะจงที่มีต่อพลังกล้ามเนื้อ ก่อนการฝึก หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 4 และสัปดาห์ที่ 8 ของนักกีฬายูโดเยาวชนหญิง อายุ 15-19 ปี ขึ้นทะเบียนนักกีฬาในจังหวัดศรีสะเกษ กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการคำนวณขนาดตัวอย่างประมาณการค่าเฉลี่ยขนาดประชากรค่าเฉลี่ยกรณีทราบขนาดประชากร จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ แบบฝึกด้วยกีฬายูโดแบบเฉพาะเจาะจง ทำการฝึก 3 วันต่อสัปดาห์ ทั้งหมด 8 สัปดาห์ โดยในการฝึกสัปดาห์ที่ 1-2 อัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกาย ร้อยละ 60-70 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด และค่าคะแนนการรับรู้การออกแรงของร่างกาย (Rating of Perceived Exertion--RPE) เท่ากับ 6-11 สัปดาห์ที่ 3-4 อัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายเพิ่มเป็น ร้อยละ 70-80 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด และค่าคะแนนการรับรู้การออกแรงของร่างกาย เท่ากับ 12-16 และสัปดาห์ที่ 5-8 อัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายเพิ่มเป็น ร้อยละ 80-90 ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด และค่าคะแนนการรับรู้การออกแรงของร่างกาย เท่ากับ 12-16 โดยผ่านการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC=1.00) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบทดสอบการทุ่มบอลเหนือศีรษะและแบบทดสอบความสามารถในการกระโดด สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดช้ำทางเดียว (One-way analysis of variance with repeated measures) และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่ ด้วยวิธีของ Tukey กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 72.60 ครั้งต่อนาที และขณะออกกำลังกาย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 169.95 ครั้งต่อนาที คะแนนการรับรู้การออกแรงของร่างกายขณะการออกกำลังกาย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.60 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำทางเดียวของพลังกล้ามเนื้อ ระหว่างก่อนฝึก หลังฝึกสัปดาห์ที่ 4 และหลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ </p> นิลาวัลย์ บุญประถัมภ์ ธัญญาวัฒน์ หอมสมบัติ Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 189 200 การศึกษาอุบัติเหตุจากการเล่นชิงช้าของเด็กประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/259224 <p>งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาลักษณะการเกิดอุบัติเหตุและอาการบาดเจ็บของเด็กที่เกิดจากการเล่นชิงช้า (2) เพื่อศึกษาอุปสรรคและปัญหาที่พบของเด็กในขณะเล่นชิงช้า และ (3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะในการลดการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บของเด็กจากการเล่นชิงช้า ระยะเวลาการศึกษาตั้งแต่ มกราคม 2565–มีนาคม 2565 ผู้เข้าร่วมงานวิจัยนี้ คือ เด็กอายุ 7-12 ปีจำนวน 400 คน ภายในจังหวัดนครราชสีมา เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามในการรวบรวมข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุจากการเล่นชิงช้า และพฤติกรรมการเล่นชิงช้า การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า (1) เด็กส่วนใหญ่เล่นชิงช้า 5 วัน/สัปดาห์ แนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มมากขึ้นตามอายุ (2) การเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ คือ การพลัดตกจากชิงช้า คิดเป็นร้อยละ 68.38 สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุได้แก่ ขนาดที่นั่งที่ไม่เหมาะสม การเล่นที่ผิดวิธี และการหยอกล้อหรือแกล้งกันระหว่างเล่น ลักษณะอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมากที่สุด คือ แผลถลอก คิดเป็นร้อยละ 38.02 รองลงมา คือ แผลฟกช้ำ คิดเป็นร้อยละ 12.39 (3) ปัญหาที่เด็กส่วนใหญ่พบขณะเล่นชิงช้า คือ พื้นที่นั่งแคบเกินไปคิดเป็นร้อยละ 27.84 และพื้นที่นั่งลื่น คิดเป็นร้อยละ 27.84 เช่นเดียวกัน เนื่องจากชิงช้าส่วนใหญ่เป็นโลหะ เมื่ออากาศชื้นจึงทำให้พื้นที่นั่งมีความลื่น ส่วนอุปสรรคของร่างกายต่อการเล่นชิงช้าที่พบในเด็ก 7-8 ปี คือ ไม่มีแรงในการเหวี่ยงชิงช้า ข้อเสนอแนะเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บของเด็กจากการเล่นชิงช้า คือ ใช้วัสดุที่ไม่มีคมในการทำที่นั่งและออกแบบขนาดให้รองรับกับสัดส่วนของเด็ก รวมถึงจัดวางชิงช้าให้ห่างจากทางเดินและเครื่องเล่นอื่น เพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการเล่นชิงช้าของเด็ก</p> <p> </p> ปุณยนุช จงเจริญใจ ภาคิน อัตตวิริยะสุวร พรศิริ จงกล Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 201 214 การศึกษาการเลียนแบบกิจกรรมเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสของเตตราฟีนิลพอร์ไฟริน (TPP) และเมทัลโลพอร์ไฟริน (FeTOMPP) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261961 <p>การศึกษาการเลียนแบบกิจกรรมของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสของเตตราฟินิลพอร์ไฟริน (TPP) และเมทัลโลพอร์ไฟริน <br />(FeTOMPP) ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า TPP และ FeTOMPP สามารถออกซิไดส์ 3,3’,5,5’-tetramethybenzidine--TMB ซึ่งเป็นสารไม่มีสีและเป็นสับสเตรตของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินในปฏิกิริยาที่มีไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (H<sub>2</sub>O<sub>2</sub>) จากการหาสภาวะที่เหมาะสมในการทำปฏิกิริยาของ TPP และ FeTOMPP พบว่ามีความใกล้เคียงกัน คือที่ pH=6 และที่อุณหภูมิ 30 <sup>o</sup>C แต่แตกต่างกันที่ปริมาณที่เหมาะสมในการทำปฏิกิริยา โดยปริมาณที่เหมาะสมของ TPP และ FeTOMPP เท่ากับ 50 µg/ml และ 35 µg/ml ตามลำดับ เมื่อศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการเลียนแบบคุณกิจกรรมของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสพบว่า FeTOMPP มีประสิทธิภาพในการแสดงออกของการเลียนแบบคุณสมบัติเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสได้ดีกว่า TPP</p> <p> </p> จิตติมา กอหรั่งกูล ปาริยา ณ นคร สุภกร บุญยืน Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 215 223 The ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตำบลหนองสะเดา อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/261709 <p>การส่งเสริมสุขภาพเป็นปัจจัยหลักในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมสุขภาพต่อพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ตำบลหนองสะเดา อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ขึ้นทะเบียนผู้ป่วยโรคเรื้อรังกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสะเดา จำนวน 60 คน สุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยตรวจสอบค่าความตรง ได้เท่ากับ 0.66-1.00 ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.72 และค่าอำนาจจำแนก เท่ากับ 0.20-0.94 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง ได้แก่ Paired sample t-test และ Independent Sample t-test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังการวิจัยกลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สูงกว่าก่อนการวิจัย และสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> กิ่งแก้ว สำรวยรื่น นิธิพงศ์ ศรีเบญจมาศ รุ่งนภา ทองเพชร Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 224 233 การออกแบบเครื่องอบไล่ความชื้นแบบถังหมุน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/262217 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและสร้างเครื่องอบไล่ความชื้นแบบถังหมุน มีขนาดกว้าง 0.50 เมตร ยาว 1.50 เมตร สูง 1.0 เมตร ส่วนขับเคลื่อนใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 0.5 แรงม้า ส่วนระบบให้ความร้อนใช้ฮีตเตอร์อินฟราเรดขนาด 2,500 W สามารถปรับอุณหภูมิได้ตามต้องการ รวมทั้งติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับความชื้นและอุณหภูมิภายในถังหมุน การทดสอบการทำงานของเครื่องอบไล่ความชื้นแบบถังหมุน พบว่า ขณะทดสอบอบรำข้าวใช้เวลา 30 นาที กรณีไม่มีโหลด ค่าใช้จ่ายที่ใช้ต่อ 1 รอบการผลิต คือ 4.20 บาท เมื่อมีโหลด 10 กิโลกรัม ค่าใช้จ่ายที่ใช้ต่อ 1 รอบการผลิต คือ 4.30 บาท การทดสอบอบไล่ความชื้นที่น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ใช้เวลาทดสอบ 30 นาที เปอร์เซ็นต์ความชื้นก่อนอบวัดได้ 13.8 เมื่อครบกำหนดเวลานำรำข้าวที่ผ่านการอบมาชั่งน้ำหนักได้ 9.8 kg เปอร์เซ็นต์ความชื้นหลังอบได้ 5.0 ซึ่งผลการอบรำข้าวในเบื้องต้นสามารถทำให้รำข้าวลดความชื้นได้ </p> วราพร นาชัยสินธุ์ ศิริลักษณ์ นิยมศิลป์ ปฏิภาณ เกิดลาภ สุชัย พงษ์พากเพียร Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชียฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2023-07-10 2023-07-10 17 2 234 243