วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci
<p><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; letter-spacing: -.15pt;"> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความยินดีรับตีพิมพ์บทความสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ พยาบาลศาสตร์</span><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> <span style="letter-spacing: -.05pt;">เภสัชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ การบิน สิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิชา</span>ที่เกี่ยวข้อง เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ดังนี้ </span><span style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">(1) <span lang="TH">ผลงานวิชาการที่ส่งมาขอตีพิมพ์ต้องไม่เคยเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อนและต้องไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</span> (<span style="letter-spacing: .4pt;">2)<span lang="TH"> การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">กองบรรณาธิการ ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมิน</span><span lang="TH">คุ<span style="letter-spacing: -.15pt;">ณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ บทความจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (</span></span><span style="letter-spacing: -.15pt;">Peer Review<span lang="TH">)</span></span><span lang="TH"> <span style="letter-spacing: -.35pt;">ในสาขาวิชานั้น ๆ จำนวนไม่น้อยกว่า</span></span><span style="letter-spacing: -.35pt;"> 3 <span lang="TH">ท่าน โดยเป็นการประเมินบทความที่ผู้ทรงคุณวุฒิ</span></span><span lang="TH">และ <span style="letter-spacing: -.2pt;">ผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อและสังกัดกันและกัน (</span></span><span style="letter-spacing: -.2pt;">Double<span lang="TH">-</span>blind<span lang="TH">) ทั้งนี้บทความจากบุคลากรภายใน</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: .4pt;">จะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกทั้งหมด และบทความจากบุคลากรภายนอกจะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกกับผู้ทรง</span><span lang="TH" style="letter-spacing: .15pt;">คุณวุฒิภายใน</span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">3)<span lang="TH"> ข้อความที่ปรากฏภายในบทความแต่ละเรื่องที่ตีพิมพ์ในวารสารเล่มนี้เป็น</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ และคณาจารย์</span><span lang="TH">ท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ความรับผิดชอบด้านเนื้อหา รูปภาพและการตรวจ<span style="letter-spacing: .15pt;">ร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบบทความของตนเอง</span></span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">4)<span lang="TH"> ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</span></span></span></p>
Central Library Eastern Asia University
th-TH
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2286-6175
<span>บทความใน “วารสาร EAU HERITAGE” เป็นความเห็นของผู้เขียนโดยเฉพาะ กองบรรณาธิการไม่มีส่วนในความคิดเห็นในข้อความเหล่านั้น</span>
-
การแนะนำการออกแบบบรรจุภัณฑ์มะขามแปรรูป โดยใช้เทคนิคการแนะนำเชิงเนื้อหาบนออนโทโลยี
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/274392
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อสร้างออนโทโลยีในการแนะนำการออกแบบบรรจุภัณฑ์มะขามแปรรูป (2) เพื่อพัฒนาอัลกอริทึมและเว็บแอปพลิเคชันการแนะนำการออกแบบบรรจุภัณฑ์มะขามแปรรูป โดยใช้เทคนิคการแนะนำเชิงเนื้อหาบนออนโทโลยี และ (3) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของอัลกอริทึม และความพึงพอใจผู้ใช้ต่อเว็บแอปพลิเคชันแนะนำการออกแบบบรรจุภัณฑ์มะขามแปรรูป การดำเนินงานวิจัยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ (1) สำรวจพฤติกรรมความชอบของผู้บริโภค จำนวน 384 คน ต่อบรรจุภัณฑ์มะขามแปรรูป และสังเคราะห์ความรู้จากทฤษฎีการใช้สีและองค์ประกอบการออกแบบเพื่อสร้างฐานความรู้ออนโทโลยี (2) พัฒนาอัลกอริทึมการแนะนำเชิงเนื้อหาบนออนโทโลยีด้วยภาษาไพธอน และเชื่อมต่อกับเว็บแอปพลิเคชันที่พัฒนาด้วยภาษาพีเอชพี เอชทีเอ็มแอล ซีเอสเอส เอแจค และเจคิวรี โดยอัลกอริทึมถูกนำมาใช้ผ่านเรสฟูลเอพีไอ ที่พัฒนาด้วยไลบราลีฟราค และ (3) ประเมินประสิทธิภาพของผลลัพธ์การแนะนำรูปแบบบรรจุภัณฑ์<br />ที่ได้จากอัลกอริทึม เทียบวัดกับการแนะนำรูปแบบบรรจุภัณฑ์โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน และประเมินความพึงพอใจ<br />ของผู้ใช้ 30 คน และวิเคราะห์ผลด้วยค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ฐานความรู้ออนโทโลยี มีจำนวนทั้งหมด 26 คลาส แบ่งเป็น 3 ชั้นความรู้ เว็บแอปพลิเคชันประกอบด้วยฟังก์ชันการรับข้อมูลรูปภาพ และคำอธิบายของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างองค์ความรู้การออกแบบบรรจุภัณฑ์เชิงความหมาย และการแนะนำด้วยการจัดอันดับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสินค้า และอัลกอริทึมสามารถแนะนำการออกแบบบรรจุภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ คิดเป็น 85.18% และผู้ใช้พึงพอใจต่อเว็บแอปพลิเคชันอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.52 SD=0.646)</p>
ฐิณาภัณฑ์ นิธิยุวิทย์
ทัสนันทน์ ตรีนันทรัตน์
ยุภา คำตะพล
ประยูร ไชยบุตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
38
53
-
การออกแบบและสร้างถังน้ำหมักชีวภาพควบคุมด้วยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/274451
<p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบ สร้าง และทดสอบประสิทธิภาพในการหมักน้ำหมักชีวภาพโดยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งเพื่อช่วยควบคุม ตรวจสอบกระบวนการหมัก ตรวจวัดและควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการหมัก เช่น อุณหภูมิภายในถังหมัก ค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำหมัก ค่าน้ำหนักของส่วนผสม ระบบโซลาร์เซลล์ และระยะเวลาการกวน รวมถึงการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ผลการทดสอบประสิทธิภาพการหมักน้ำหมักชีวภาพด้วยวิธีการดั้งเดิม ครบ 14 วัน ยังคงมีเศษอาหารขนาดเล็กที่ยังย่อยไม่หมด และเส้นใยสีขาวเป็นจุลินทรีย์ที่เจริญอยู่บนเศษวัสดุกระจายตัวอยู่บนผิวน้ำ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยีสต์ที่ต้องการออกซิเจน ส่วนปริมาณไนโตรเจน: โพแทสเซียม: ฟอสฟอรัส ร้อยละ 0.53: 1.17: 0.08 โดยน้ำหนัก ไม่แตกต่างกันทางสถิติ ส่วนผลการทดสอบประสิทธิภาพของถังน้ำหมักชีวภาพพบว่าการกวนส่วนผสมต่อเนื่อง 15 นาที และหยุดพัก 45 นาที ไม่พบเศษอาหาร และเส้นใยสีขาวบนผิวน้ำ แสดงให้เห็นว่าการกวนส่วนผสมอย่างต่อเนื่องจะช่วยในเรื่องการย่อยเศษอาหาร และลดการเจริญเติบโตของกลุ่มยีสต์ได้ ระยะเวลาการหมัก 10 วัน มีปริมาณไนโตรเจน: โพแทสเซียม: ฟอสฟอรัส ร้อยละ 0.79: 1.16: 0.06 โดยน้ำหนัก ซึ่งธาตุอาหารในน้ำหมักชีวภาพมีค่าตรงตามเกณฑ์มาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ </p>
ลัดดาวัลย์ จำปา
นันทวัน หัตถมาศ
นัฐพงษ์ ทองปาน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
54
66
-
การประยุกต์ใช้การประมวลผลภาพร่วมกับการเรียนรู้เครื่องเพื่อจำแนกพันธุ์ข้าว
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/274808
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของการจำแนกพันธุ์ข้าวจากภาพของเมล็ดข้าวสาร 5 สายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์ข้าวคาราก้าดาก หอมมะลิ ยิปซาลา บาสมาติ และอาโบริโอ โดยการประยุกต์ใช้การประมวลผลภาพร่วมกับการเรียนรู้เครื่อง การดำเนินการวิจัยเริ่มจากการประมวลผลภาพเพื่อลดสัญญาณรบกวนของภาพเมล็ดข้าวสารสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่บันทึกในรูปแบบแฟ้มเจเพ็กซึ่งเป็นภาพสีความละเอียด 250x250 จุดภาพ จำนวนสายพันธุ์ละ 15,000 ภาพ นำภาพที่ถูกลดสัญญาณรบกวนแล้วทั้งหมดมาประมวลผลภาพเพื่อใช้ในการจำแนก ด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน 7 วิธีได้แก่ การตรวจหาขอบภาพด้วยวิธีแคนนี การตรวจหาขอบภาพด้วยวิธีโซเบล การตรวจหาสัน การตรวจหาลายผิว การเพิ่มคุณภาพของภาพด้วยตัวกรองลาปลาซ การเพิ่มคุณภาพของภาพด้วยการพร่าเกาส์เซียน และการปรับฮิสโทแกรมให้เท่ากัน จากนั้นทำการสกัดคุณลักษณะด้านรูปร่าง 21 ชนิด และคุณลักษณะด้านลายผิวอีก 11 ชนิด แล้วนำไปจำแนกด้วยวิธีการเรียนรู้เครื่อง 6 วิธี ได้แก่ ต้นไม้ตัดสินใจ นาอีฟเบส์ เพื่อนบ้านใกล้ที่สุดเค โครงข่ายประสาทประดิษฐ์ ซัพพอร์ทเวกเตอร์แมชชีน และเกรเดียนท์บูตทรี ทั้งนี้ใช้วิธีการฝึกเพื่อการจำแนกเป็นการตรวจสอบไขว้เคโฟลด์เมื่อเคมีค่าเท่ากับ 10 สำหรับทุกวิธีการเรียนรู้เครื่อง ผลการวิจัยพบว่าการใช้การประมวลผลภาพการตรวจหาขอบด้วยวิธีโซเบลร่วมกับการจำแนกด้วยเทคนิคการเรียนรู้เครื่องซัพพอร์ทเวกเตอร์แมชชีน มีประสิทธิภาพในการจำแนกสูงที่สุด โดยการจำแนกมีค่าความถูกต้องร้อยละ 98.68 ค่าความแม่นยำร้อยละ 98.67 ค่าความไวร้อยละ 98.67 ค่าเอฟ-หนึ่ง สกอร์ร้อยละ 98.67 และค่าสัมประสิทธิ์แคปปาของโคเฮนเท่ากับ 98.35 โดยใช้เวลาในการจำแนก 136.21 วินาที</p> <p> </p>
ปิยะนารถ บุญระมาตร
เจษฎา ตัณฑนุช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
67
85
-
การออกแบบและพัฒนาเครื่องทอดกึ่งอัตโนมัติแบบควบคุมอุณหภูมิ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275122
<p>การออกแบบและพัฒนาเครื่องทอดอาหารแบบกึ่งอัตโนมัตินี้มุ่งเน้นเพื่อเพิ่มความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน ทำให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดเวลาในการทอด ควบคุมพลังงานความร้อนได้ดี และป้องกันน้ำมันกระเด็น เครื่องทอดนี้สามารถควบคุมการทำงานด้วยอุณหภูมิได้เมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่ต้องการ กระทะมีความร้อนกระจายทั่วถึงจะสั่งการให้มอเตอร์หมุน ควบคุมตะแกรงอาหาร สำหรับการทดลองเพื่อหาอุณหภูมิและระยะเวลาที่เหมาะสม ในการทอดทอดมัน โดยแบ่งการทดลองเป็น 2 ชุด ประกอบด้วยอุณหภูมิ 3 ระดับ คือ 100°C 160°C และ 180°C จากผลการทดลองที่ 1 แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิ 160 องศาเซลเซียสเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสม ทอดมันมีลักษณะไม่แข็งเกินไป นุ่มด้านใน และลดความเสี่ยงที่ผลิตภัณฑ์จะไหม้จากความเข้มของสีที่มากเกินไป ด้วยระยะเวลาการทอดเฉลี่ย 33.5 วินาที ทำให้มีค่าสีเฉลี่ยของสีทอดมันเป็น rgba (149.75 87 75 28.75 255) จากการทดลองจะเห็นว่าการพัฒนาหม้อทอดกึ่งอัตโนมัตินั้นช่วยเพิ่มการควบคุมคุณภาพและเพิ่มกำลังการผลิต ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยที่เครื่องทอดแบบกึ่งอัตโนมัติมีความคุ้มทุนมากกว่าการทอดแบบเดิมมากถึง 52,902.39 บาท เปรียบเทียบต้นทุนต่อปีที่เทียบเท่าพบว่าเครื่องทอดกึ่งอัตโนมัติมีค่าเปรียบเทียบต้นทุนต่อปีต่ำกว่า ดังนั้นการลงทุนในเครื่องทอดกึ่งอัตโนมัติเป็นตัวเลือกที่คุ้มทุนมากกว่าในระยะยาว รวมทั้งลดกระบวนการทอดที่ซ้ำซ้อน จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมได้ดี</p>
กันยารัตน์ พูลเพียร
นันทิกา ปริญญาพล
นัศพ์ชาณัณ ชินปัญช์ธนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
86
99
-
การพัฒนาระบบติดตามสถานะสินค้าในกระบวนการขนส่งจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สู่คลังสินค้า
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275197
<p>งานวิจัยนี้เป็นการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบบันทึกข้อมูลและติดตามสถานะการขนส่งสินค้า ที่ช่วยแก้ปัญหาทางด้านข้อมูลให้สามารถติดตามและสอบกลับสินค้าในกระบวนการได้ และ (2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพและข้อจำกัดของระบบติดตามสถานะการขนส่งสินค้าที่ได้มีการพัฒนาขึ้น โดยมีการเก็บข้อมูลปัญหาที่เกิดขึ้นจากลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากความเกี่ยวข้องกับกระบวนการและประสบการณ์ทำงาน ดำเนินการพัฒนาระบบตามวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) พัฒนาในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Single Page Application: SPA ร่วมกับสถาปัตยกรรมแบบ Serverless มีการทดสอบระบบด้วยการทดสอบฟังก์ชัน (functional test) เพื่อตรวจสอบความสามารถของระบบ และทดสอบประสิทธิภาพของระบบ (performance test) โดยการทำ Load test Capacity test Stress test และ Availability test ซึ่งมีการประเมินประสิทธิภาพ 3 ด้าน ได้แก่ Throughput (req/sec) Response time (ms) Resource usage โดยนำมาวิเคราะห์หากรณีที่เลวร้ายที่สุดของระบบด้วยค่าเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 90 และเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 95 ผลการวิจัยพบว่า จากการทดสอบฟังก์ชันโดยประเมินความคาดหวังต่อระบบ 15 หัวข้อใน 7 ฟังก์ชัน ระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถทำงานได้ตาม 15 หัวข้อประเมิน ซึ่งคิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นระบบที่พัฒนาขึ้นตามวงจรการพัฒนาซอฟต์แวร์ (SDLC) จึงสามารถแก้ปัญหาด้านข้อมูล ติดตามและสอบกลับสินค้าในกระบวนการขนส่งได้จริง ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาทางด้านข้อมูลในกระบวนการได้มากกว่า 36,521.22 บาทต่อปี และช่วยลดเวลาสินค้ารอคอยการขนส่งจากระบบเดิมลง 190.41 นาทีต่อรายการ หรือคิดเป็นร้อยละ 5.98 ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของกระบวนการดีขึ้น นอกจากนี้ระบบสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้โหลดการทำงานปัจจุบัน จากการทดสอบประสิทธิภาพซึ่งรองรับการขยายขนาดของระบบได้ 800% ก่อนจะได้รับผลกระทบเรื่องประสิทธิภาพของระบบ</p>
วิมุตติพันธ์ พลมั่น
บัญชา วัฒนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
100
120
-
การพัฒนาแบบจำลองพลังงานเพื่อประเมินการใช้พลังงานและการลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ กรณีศึกษาอาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275332
<p>งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการพัฒนาแบบจำลองพลังงานสามมิติสำหรับอาคารที่พักอาศัยขนาดใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) ผ่านการปรับปรุงมาตรการพลังงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนเป้าหมายในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในภาคอาคารและการบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาที่ยั่งยืน งานวิจัยนี้ใช้ข้อมูลจากอาคารที่พักอาศัยต้นแบบ 5 ประเภทในประเทศไทยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 300 m<sup>2</sup> นำมาสร้างแบบจำลองพลังงานสามมิติด้วยโปรแกรม SketchUp และ OpenStudio พร้อมวิเคราะห์การใช้พลังงานด้วย EnergyPlus และนำมาตรการพลังงานพลังงานจำนวน 25 รูปแบบ ครอบคลุมทั้งการออกแบบทางกายภาพ เช่น การเลือกใช้กระจกผนังและวัสดุฉนวนกันความร้อน และการจัดการพื้นที่สีเขียวโดยการติดตั้งหลังคาเขียว (Green Roof) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า มาตรการพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่ มาตรการ กระจก Double IGU with Low-E (4W<sub>4</sub>) + ผนังอิฐมวลเบา AAC (8F<sub>3</sub>) + ฉนวนกันความร้อน PU Foam (13I<sub>3</sub>) + หลังคาไวนิล (17R<sub>2</sub>) + Green Roof 50 cm (25P<sub>5</sub>) สามารถลดการใช้พลังงานและลดการปล่อย CO<sub>2</sub> ได้เฉลี่ยสูงสุดถึงร้อยละ 58 เมื่อเทียบกับอาคารต้นแบบก่อนการปรับปรุง ในเชิงเศรษฐศาสตร์ การลดการใช้พลังงานและลดการปล่อย CO<sub>2</sub> ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีการปรับใช้มาตรการที่เหมาะสมกับบริบทของอาคาร เช่น การเลือกวัสดุและเทคโนโลยีที่มีต้นทุนเริ่มต้นไม่สูงแต่มีประสิทธิภาพยาวนานในระยะเวลาใช้งาน นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในอาคาร ลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้มีข้อจำกัดบางประการ เช่น การสร้างแบบจำลองพลังงานอาจขึ้นอยู่กับสมมติฐานด้านพฤติกรรมการใช้งานและลักษณะอาคารที่เก็บข้อมูลมาจากอาคารในประเทศไทย ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมถึงอาคารประเภทอื่น ๆ หรืออาคารในภูมิภาคอื่นที่มีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ผลการวิจัยนี้สามารถช่วยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้กำหนดนโยบายด้านพลังงาน และภาคเอกชนที่สนใจเรื่องอาคารประหยัดพลังงาน ในการนำข้อมูลไปใช้สนับสนุนในการตัดสินใจเพื่อออกแบบและปรับปรุงอาคารให้สอดคล้องกับมาตรฐานการใช้พลังงานขั้นสูง (HEPS) และก้าวสู่เป้าหมายการสร้างอาคารพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building) ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนของภาคอาคารในอนาคตได้ต่อไป</p>
สุรศักดิ์ จันทร์ฉาย
ณัฏฐ์ นาคกร
ศุภรัชชัย วรรัตน์
ประยุทธ์ ฤทธิเดช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
121
141
-
การติดตามเป้าหมายพรางตัวโดยใช้การผสานกล้องถ่ายภาพความร้อนและกล้องภาพสีจริง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275531
<p>งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาอัลกอริทึมสำหรับการติดตามวัตถุที่พรางตัว ด้วยการบินทดสอบติดตามเป้าหมายด้วยอากาศยานไร้คนขับ โดยใช้การผสานข้อมูลจากกล้องภาพสีจริง (RGB) และกล้องถ่ายภาพความร้อน (thermal) ที่ติดตั้งบนอากาศยานไร้คนขับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามเป้าหมายที่มีลักษณะซับซ้อนและกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม การใช้กล้อง RGB ช่วยให้ได้รายละเอียดเชิงพื้นที่ที่ชัดเจน ขณะที่กล้องถ่ายภาพความร้อนสามารถตรวจจับการแผ่รังสีความร้อนของวัตถุ ซึ่งมีประโยชน์ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อยหรือเมื่อวัตถุพรางตัว โดยทำการบันทึกและส่งภาพวิดีโอแบบเรียลไทม์จากกล้องทั้ง 2 ชนิดไปยังสถานีควบคุมภาคพื้นดิน (ground control station) เพื่อให้ผู้ควบคุมสามารถติดตาม และวิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกลได้ โดยงานวิจัยนี้ได้เลือกใช้อัลกอริทึมที่มีพัฒนาการผสานข้อมูลจากทั้งสองแหล่งให้มีความแม่นยำในการติดตามมากขึ้น โดยการใช้อัลกอริทึมในการติดตามเป้าหมาย 4 แบบ คือ Boosting CSR-DCF KCF และ MOSSE ผลการทดลองชี้ให้เห็นว่าอัลกอริทึม Boosting สามารถระบุตำแหน่งวัตถุได้แม่นยำที่สุด โดยผลการประเมินประสิทธิภาพแสดงให้เห็นว่าค่า Mean Center Location Error: mCLE ต่ำที่สุดมีค่าเท่ากับ 43.46 และค่า AUC Score สูงสุดเท่ากับ 0.154 นอกจากนี้ ค่า Distance Precision: DP เท่ากับ 0.1085 และ Overlap Precision: OP เท่ากับ 0.0651 ซึ่งมีความแม่นยำที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการติดตามวัตถุได้อย่างมีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอในการติดตามวัตถุที่พรางตัวในสภาพแวดล้อมที่ยากต่อการมองเห็น</p>
วีระพัฒน์ ชูสินวรสกุล
ประสาทพร วงษ์คำช้าง
พงศกร บำรุงไทย
ชำนาญ เพชรโชติ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
142
156
-
การเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการผลิตหมูแดดเดียวด้วยอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่ง
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275572
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาการประยุกต์ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งสำหรับการควบคุมการผลิตเนื้อหมูแดดเดียวในธุรกิจผลิตหมูแดดเดียวของชาวบ้านประชารัฐ บ้านกล้วยแพะ จังหวัดลำปาง เพื่อพัฒนาคุณภาพในการผลิตเนื้อหมูแดดเดียว โดยการทำงานของตู้อบหมูแดดเดียวใช้การส่งข้อมูลด้วยโหนดเอ็มซียู ซึ่งได้ทำการติดตั้งอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและรีเลย์เพื่อใช้ควบคุมพัดลมระบายความร้อนภายในตู้อบหมูแดดเดียว ผ่านโพรโทคอล TCP/IP จัดเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลบนคลาวด์ และสามารถแสดงผลข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านแอปพลิเคชันได้แบบเรียลไทม์ ผลการวิจัยพบว่า ระบบอินเทอร์เน็ตทุกสรรพสิ่งที่นำมาประยุกต์ใช้สามารถตรวจวัดอุณหภูมิของกระบวนการผลิตเนื้อหมูแดดเดียว โดยอุณหภูมิภายในตู้อบกรณีตากแดดเท่ากับ 50 °C และทำให้ระยะเวลาในการอบหมูแดดเดียวของตู้อบลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ 85 นาที ซึ่งเป็นส่วนช่วยลดระยะเวลาการอบแห้งและเพิ่มปริมาณผลผลิตของกลุ่มธุรกิจได้</p>
สันติ วงศ์ใหญ่
วีรชัย สว่างทุกข์
วรินทร อริยวุฒิกร
ธนวรกฤต โอฬารธนพร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
157
169
-
การระบุสายพันธุ์แคคตัสด้วยโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกร่วมกับเทคนิคตรวจจับวัตถุ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275699
<p>การระบุสายพันธุ์แคคตัสสำหรับผู้เริ่มต้นนับเป็นเรื่องที่ท้าทาย อันเนื่องมาจากความหลากหลายของสายพันธุ์และความคล้ายคลึงของคุณลักษณะเฉพาะที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อความถูกต้องในการจำแนก การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อพัฒนาชุดข้อมูลรูปภาพและคำอธิบายรูปภาพสายพันธุ์แคคตัส (2) เพื่อพัฒนาตัวแบบการระบุสายพันธุ์แคคตัสด้วยโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกและเทคนิคตรวจจับวัตถุ และ (3) เพื่อประเมินความถูกต้องการระบุสายพันธุ์แคคตัส การดำเนินงานเริ่มจากการรวบรวมรูปภาพแคคตัส 10 สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงแคคตัสเชิงพาณิชย์ในจังหวัดนครราชสีมา พร้อมสร้างคำอธิบายรูปภาพในรูปแบบ XML รวมทั้งสิ้น 1,508 รูปภาพ โดยใช้โมเดล MobileNetV2 ที่ได้รับการถ่ายโอนการเรียนรู้มาฝึกฝนบนชุดข้อมูลฝึกฝน และใช้ออปติไมเซอร์เป็น RMSprop พร้อมกำหนดฟังก์ชันการสูญเสียที่เหมาะสม เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของโมเดลตามกระบวนการแพร่กระจายย้อนกลับในการปรับค่าถ่วงน้ำหนักของโมเดลให้เหมาะสมกับคุณลักษณะสำคัญของแคคตัสในแต่ละสายพันธุ์ ร่วมกับเทคนิคการตรวจจับวัตถุแบบขั้นตอนเดียวที่ใช้การตรวจจับ และการจำแนกประเภทของวัตถุในภาพที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ผลลัพธ์จากการฝึกฝนโมเดล พบว่า ค่าความถูกต้องเฉลี่ยบนชุดข้อมูลฝึกฝนอยู่ที่ 92.64% และบนชุดข้อมูลตรวจสอบอยู่ที่ 91.05% ซึ่งบ่งชี้ว่า โมเดลสามารถเรียนรู้รูปแบบของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีสัญญาณของการเกิด Overfitting หรือ Underfitting อย่างมีนัยสำคัญ เช่นเดียวกับค่าความแม่นยำเฉลี่ยและค่าการเรียกคืนเฉลี่ยในการตรวจจับวัตถุขนาดใหญ่ที่สูงถึง 0.991 และ 0.993 ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ยังคงพบข้อจำกัดในการตรวจจับวัตถุขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งยังต้องได้รับการปรับปรุงในอนาคต และเมื่อพิจารณาผลการประเมินในสถานการณ์จริงกับชุดข้อมูลที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พบว่า ความถูกต้องเฉลี่ยอยู่ที่ 83.33% โดยทำงานได้ดีในกรณีที่มีวัตถุหนึ่งชิ้นที่สามารถจำแนกได้เป็นหลายคลาส และในกรณีที่มีหลายวัตถุในคลาสเดียวกัน แต่ความถูกต้องลดลงเมื่อรูปภาพมีวัตถุหลายชนิดจากหลายคลาส </p>
จักรินทร์ สันติรัตนภักดี
นิชาภัทร ตุลาธาร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
170
190
-
ประสิทธิผลของสบู่กลีเซอรีนที่มีส่วนผสมสารสกัดใบสาบเสือต่อการลดการเกิดสิวในกลุ่มวัยรุ่นอำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275774
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง ศึกษากลุ่มเดียววัดผลแบบอนุกรมเวลา มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิผลของสบู่กลีเซอรีนที่มีส่วนผสมสารสกัดใบสาบเสือต่อการลดการเกิดสิว และศึกษาผลข้างเคียง รวมถึงประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์หลังการทดลอง ทำการศึกษาในกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นสิวระดับรุนแรงน้อย จำนวน 42 คน ติดตามผลการศึกษา โดยประเมินผลจากค่าคะแนนระดับความรุนแรงของสิวตามเกณฑ์ Global Acne Grading System Scores: GAGS รวมถึงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นที่ระยะเวลา 1 2 4 8 และ 12 สัปดาห์ และความพึงพอใจของอาสาสมัครเมื่อสิ้นสุดการทดลอง ผลการศึกษาพบว่า อาสาสมัครอยู่ในช่วงอายุ 18 – 20 ปี มีค่าคะแนนความรุนแรงของสิวระดับเล็กน้อย 7–18 คะแนน (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 14.14 ± 2.35) หลังใช้สบู่กลีเซอรีนที่มีส่วนผสมสารสกัดใบสาบเสือ ค่าคะแนนเฉลี่ยความรุนแรงของสิวลดลงต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จากการติดตามผลต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ อาสาสมัคร ร้อยละ 95.24 ไม่เกิดผลข้างเคียง และมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" width="14" height="14" />= 4.13 ± 0.55) จึงสรุปได้ว่า สบู่กลีเซอรีนที่มีส่วนผสมสารสกัดใบสาบเสือมีส่วนช่วยลดระดับความรุนแรงของสิวในกลุ่มวัยรุ่น สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์วิสาหกิจชุมชน สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้คนในชุมชนต่อไปได้</p> <p> </p>
เยาวลักษณ์ เตี้ยนวน
คันธมาทน์ กาญจนภูมิ
ธีรยุทธ์ ศรียาเทพ
สายชัช ถนัดอักษร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
191
207
-
ระเบียบวิธีการออกแบบเชิงวิศวกรรมสำหรับเครื่องตัดหลอดพลาสติกไส้หมอนบรรเทาการเกิดแผลกดทับด้วยเทคนิคการกระจายหน้าที่เชิงคุณภาพ
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275902
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบเครื่องตัดหลอดสำหรับไส้หมอนป้องกันแผลกดทับ ด้วยวิธีการออกแบบเชิงวิศวกรรม ลดปัญหาขณะตัดหลอดพลาสติกกระเด็นออกนอกภาชนะรองรับ หลอดบางชิ้นที่ตัดออกมามีลักษณะเป็นปลายแหลม บี้แบน และเมื่อตัดเป็นเวลานานทำให้ผู้ตัดเกิดการเมื่อยล้า จึงประยุกต์ใช้เทคนิคการกระจายหน้าที่เชิงคุณภาพ (QFD) ด้วยบ้านแห่งคุณภาพ (HOQ) เป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้วิจัยทราบถึงข้อมูลเชิงเทคนิค และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาโครงสร้าง ฟังก์ชันการทำงาน พบว่าความต้องการที่สำคัญมีค่าน้ำหนักสูง 3 ลำดับแรกคือ รูปแบบการตัด ขั้นตอนการทำงานของผลิตภัณฑ์ และประเภทของมีด ซึ่งพารามิเตอร์ที่ส่งผลกระทบต่อการออกแบบทั้งหมดได้นำไปสร้างสรรค์แบบทางเลือกทำการผสมผสานเพื่อเลือกประกอบชิ้นส่วนของทุกระบบเข้าด้วยกันโดยแผนภูมิมอร์โฟโลจิคอล (Morphological) ได้แบบทางเลือก 3 แนวคิด และประเมินเลือกแนวคิดที่เหมาะสมที่สุด โดยใช้เมทริกซ์ให้คะแนนแนวคิด (Concept Scoring Matrix) จากผลการประเมินจึงได้เครื่องตัดหลอดสำหรับไส้หมอนป้องกันแผลกดทับที่ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้งาน การทำงานของเครื่องใช้ระบบลำเลียงหลอดจากชุดเฟืองลำเลียงเข้าตัดเฉือนกับใบมีด โดยองศาของใบมีดที่เหมาะสมคือ 60 องศา สามารถตัดเฉือนได้คุณภาพของผิวรอยตัดที่ดี ไม่เกิดความเสียหายจากการบี้แบน และเครื่องสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง สามรถตัดหลอดได้ 5,250 ชิ้นต่อนาที และมีสวิตช์ฉุกเฉินสำหรับหยุดการทำงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน</p>
ทศพร อัศวรังษี
วรรณลักษณ์ เหล่าทวีทรัพย์
ทนงศักดิ์ คงสินธุ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
208
224
-
การประยุกต์ใช้หลักวิศวกรรมในการเตรียมรับมืออุทกภัย กรณีศึกษาบ้านธารปราสาท ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275931
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ และการวิจัยแบบประยุกต์ โดยใช้ชุมชนบ้านธารปราสาท ต.ธารปราสาท อ.โนนสูง จ.นครราชสีมาเป็นกรณีศึกษา วัตถุประสงค์ของการวิจัยมีดังนี้ (1) เพื่อศึกษาข้อมูลของครัวเรือนโดยวิธีการสำรวจ (2) เพื่อสำรวจความสูงของพื้นที่และพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากในกรณีศึกษา (3) เพื่อศึกษารูปแบบการให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมและการป้องกันอันตรายจากอุทกภัยที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน (4) เพื่อจัดทำแผนการอพยพจากครัวเรือนไปยังจุดอพยพโดยใช้วิธี Capacitated Facility Location Problem: CFLP งานวิจัยได้สำรวจพื้นที่ชุมชนประกอบด้วยพื้นที่อยู่อาศัย พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก และความสูงของพื้นที่ นอกจากนี้ได้สอบถามสมาชิกชุมชนจำนวน 23 ครัวเรือน ประชากร 129 คน ข้อมูลในงานวิจัยมีทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานของสมาชิกในครัวเรือน ข้อมูลความสูงของพื้นที่ชุมชน ข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากของชุมชน ข้อมูลความจุของพื้นที่อพยพ และข้อมูลระยะทางระหว่างชุมชนไปยังจุดอพยพ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่สำรวจมาวิเคราะห์โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของปัญหา CFLP ในการกำหนดพื้นที่อพยพให้แก่ชุมชน ผลการวิจัยพบว่า จุดอพยพที่ได้จากการสำรวจมีทั้งหมด 5 จุด ได้แก่ วัดบ้านปราสาท องค์การบริหารส่วนตำบลธารปราสาท วัดใหม่เกษม โรงเรียนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และหลุมขุดค้น 3 ผลการสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์ในการหาจุดอพยพที่ใกล้ที่สุดและสามารถรองรับจำนวนผู้อพยพได้อย่างเพียงพอ ปรากฏว่า ชุมชนบ้านธารปราสาทควรอพยพไปยังวัดบ้านปราสาท ซึ่งมีระยะทางในการอพยพรวม 0.6 กิโลเมตร พื้นที่สำหรับจอดยานพาหนะรวม 4,200 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนตัวรวม 3,000 ตารางเมตร และมีห้องน้ำ 16 ห้อง ผลการสอบถามเกี่ยวกับรูปแบบการอบรมเรื่องการเตรียมพร้อมและการรับมืออุทกภัยไปปฏิบัติได้จริง พบว่าชุมชนสนใจการอบรมเชิงปฏิบัติการมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 56.83 รองลงมาเป็นการอบรมเชิงระดมความคิดคิดเป็นร้อยละ 23.86 และการอบรมเชิงบรรยายคิดเป็นร้อยละ 19.32</p>
รชนีกร พลปัถพี
ธนาคาร ศรีมะเริง
ธรรศ วัฒนวงศ์วิสุทธิ์
พรศิริ จงกล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
225
240
-
อิทธิพลของความดันเชื้อเพลิงต่อประสิทธิภาพการเผาไหม้และการเกิดมลพิษไอเสียของเตาเผาเครื่องพ่นแอสฟัลต์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/276529
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาอิทธิพลของความดันในการฉีดเชื้อเพลิงต่อประสิทธิภาพการเผาไหม้และการเกิดมลพิษไอเสียของเตาเผาเครื่องพ่นแอสฟัลต์ ที่ปฏิบัติงานในโครงการก่อสร้างทางวิ่งที่ 3 ท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเครื่องพ่นแอสฟัลต์ ที่เป็นชนิดขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองมีถังบรรจุแอสฟัลต์ติดตั้งบนรถบรรทุก โดยปัญหาที่พบจากเครื่องพ่นแอสฟัลต์ คือ ในขณะเครื่องพ่นแอสฟัลต์ทำงานหรือต้มยางมะตอยนั้นจะเกิดควันดำจากการเผาไหม้ในเตาเผาถูกปล่อยออกมาเป็นจำนวนมาก น้ำมันดีเซลในงานวิจัยนี้จะถูกฉีดด้วยความดัน 40–80 psi ตัวแปรที่สนใจศึกษาได้แก่ อัตราส่วนอากาศต่อเชื้อเพลิง อัตราส่วนสมมูล อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ประสิทธิภาพการเผาไหม้ ประสิทธิภาพเตาเผา และมลพิษไอเสีย ได้แก่ CO<sub>2</sub> CO NO<sub>x</sub> และควันดำ ผลการศึกษาพบว่าการเพิ่มความดันในการฉีดเชื้อเพลิงทำให้ อัตราส่วนอากาศต่อเชื้อเพลิงมีแนวโน้มลดลง 4.1-4.6% อัตราส่วนสมมูลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 11.4-54.3% อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 1.7-5.2 % ประสิทธิภาพการเผาไหม้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.7-6.4% การเพิ่มความดันในการฉีดยังช่วยลดขนาดของหยดเชื้อเพลิงและเพิ่มอัตราการผสม สำหรับมลพิษไอเสียเมื่อเพิ่มความดันในการฉีดเชื้อเพลิง พบว่า CO<sub>2</sub> มีค่าเพิ่มขึ้น 0.6–2.7% และ NO<sub>x</sub> มีค่าเพิ่มขึ้น 14–32% ส่วน CO มีค่าลดลง 20.3–95.4% และค่าควันดำ ที่ความดันมากกว่า 65 psi มีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานกำหนดไม่เกิน 50%</p> <p> </p>
วรชัย ชัยสิงห์เหนือ
ฐณพล เวียงทอง
กวิน เลิศเลาห์กุล
ประเสริฐ วิโรจน์ชีวัน
ณทพร จินดาประเสริฐ
ปฎิภาณ ถิ่นพระบาท
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
241
258
-
การส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงตามวิถีชุมชน
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/277170
<p>การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงในแต่ละปี เกิดความสูญเสียทั้งในด้านชีวิตและเศรษฐกิจในการที่รัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อดูแลผู้ป่วย จากช่วงที่มีการระบาดของโควิด–19 ที่ผ่านมา วิถีชุมชนมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนมากขึ้น เกิดกระบวนการในการดูแลสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน การดูแลสุขภาพตามวิถีชุมชน มีความแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน ท้องถิ่น และภูมิภาค มีความหลากหลายทางค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรม และภูมิปัญญา การดูแลและส่งเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ประกอบด้วยกลไกหลักคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการดูแลรักษาโดยแพทย์ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพจะเป็นไปตามแนวคิดและทฤษฎีพฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วยการรับประทานอาหาร การจัดการความเครียด และการออกกำลังกายการแพทย์ตามวิถีชุมชนตามการส่งเสริมและดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขแบ่งออกเป็นการแพทย์ทางเลือก การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน การดูแลส่งเสริมสุขภาพด้วยวิถีชุมชน แบ่งออกเป็น 2 ประเด็น คือ ด้านการบริโภค และด้านการปฏิบัติตน ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ควรรับประทานอาหารและยาที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร ควรออกกำลังกายและการจัดการความเครียดตามแนวทางภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น การแพทย์ทางเลือก การแพทย์แผนไทย และการแพทย์พื้นบ้าน ตามหลักธรรมานามัย ด้านกายานามัย ด้านจิตตานามัย และด้านชีวิตานามัย ให้แพร่หลายมากขึ้น</p>
อุทัยวรรณ พงษ์บริบูรณ์
พัชมณ มาสกุล
อพีริยา คำแฝง
นพดล รังแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
1
13
-
การรับมือกับกลโกงในโลกไซเบอร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275502
<p>ปัจจุบันภัยออนไลน์และกลโกงในโลกไซเบอร์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบกลโกงอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลในวงกว้างและมีมูลค่าความเสียหายสูง บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลโกงในโลกไซเบอร์ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ (1) การหลอกลวงโดยใช้รูปแบบของ Social Engineering (2) การข่มขู่ (3) การควบคุมโดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ และ (4) กลโกงในรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงกรณีตัวอย่าง แนวทางป้องกัน การรับมือจากกลโกงและภัยออนไลน์ เพื่อส่งเสริมให้บุคคลมีความรู้และความตระหนักในการป้องกัน และสามารถจัดการกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที</p>
สุปราณี วงษ์แสงจันทร์
ประภาพร กุลลิ้มรัตน์ชัย
พิมล จงวรนนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
14
26
-
ผลของเมลาโทนินต่อโรคอัลไซเมอร์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/277651
<p>โรคอัลโซเมอร์เป็นสาเหตุที่พบมากที่สุดของภาวะสมองเสื่อม ซึ่งโรคนี้เป็นโรคของความเสื่อมทางระบบประสาทและสมองที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยโรคนี้มีความสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มมากขึ้น โดยจะแสดงอาการบกพร่องทางเรียนรู้ และความจำ ซึ่งมีความความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการวินิจฉัยโรคนี้ในระยะแรกนั้นทำได้ยาก ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักถูกพบในระยะที่มี อาการแสดงออกของโรคอย่างชัดเจนแล้ว โรคอัลไซเมอร์นั้นมีโปรตีนสำคัญที่พบได้ในสมองของผู้ป่วย ได้แก่ amyloid plaques และ Neurofibrillary Tangles: NFT ซึ่งเป็นตัวการทำให้เซลล์สมองถูกทำลายเกิด พยาธิสภาพของโรคอัลไซเมอร์ เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างขึ้นจากต่อมไพเนียลภายในสมอง ระดับของเมลาโทนิน ที่ลดลงนั้นจะพบได้ในคนวัยชราและผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ จากหลักฐานการศึกษาในอดีตพบว่าเมลาโทนินนั้นสามารถ ช่วยลดความพกพร่องทางการเรียนรู้และความจำรวมถึงสามารถลดการเกิด amyloid plaques และ Neurofibrillary Tangles: NFT ทั้งในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองอีกด้วย ดังนั้นจากความสัมพันธ์ดังกล่าวฮอร์โมนเมลาโทนิน อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ต่อไปในอนาคต</p>
ปัทมา ปานมาก
อรุณณี วงค์ปันดีด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)
2025-08-18
2025-08-18
19 2
27
37