https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/issue/feed วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) 2025-04-21T16:16:31+07:00 Dr. Kannicha Pokudom kannicha@eau.ac.th Open Journal Systems <p><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif; letter-spacing: -.15pt;"> กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความยินดีรับตีพิมพ์บทความสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ พยาบาลศาสตร์</span><span lang="TH" style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> <span style="letter-spacing: -.05pt;">เภสัชศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ การบิน สิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและสาขาวิชา</span>ที่เกี่ยวข้อง เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ดังนี้ </span><span style="font-size: 15.0pt; line-height: 120%; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">(1) <span lang="TH">ผลงานวิชาการที่ส่งมาขอตีพิมพ์ต้องไม่เคยเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์อื่นใดมาก่อนและต้องไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น</span> (<span style="letter-spacing: .4pt;">2)<span lang="TH"> การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้ส่งบทความโดยตรง </span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">กองบรรณาธิการ ฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการรับหรือปฏิเสธบทความเข้าสู่กระบวนการประเมิน</span><span lang="TH">คุ<span style="letter-spacing: -.15pt;">ณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ บทความจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (</span></span><span style="letter-spacing: -.15pt;">Peer Review<span lang="TH">)</span></span><span lang="TH"> <span style="letter-spacing: -.35pt;">ในสาขาวิชานั้น ๆ จำนวนไม่น้อยกว่า</span></span><span style="letter-spacing: -.35pt;"> 3 <span lang="TH">ท่าน โดยเป็นการประเมินบทความที่ผู้ทรงคุณวุฒิ</span></span><span lang="TH">และ <span style="letter-spacing: -.2pt;">ผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อและสังกัดกันและกัน (</span></span><span style="letter-spacing: -.2pt;">Double<span lang="TH">-</span>blind<span lang="TH">) ทั้งนี้บทความจากบุคลากรภายใน</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: .4pt;">จะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกทั้งหมด และบทความจากบุคลากรภายนอกจะได้รับการพิจารณาบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกกับผู้ทรง</span><span lang="TH" style="letter-spacing: .15pt;">คุณวุฒิภายใน</span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">3)<span lang="TH"> ข้อความที่ปรากฏภายในบทความแต่ละเรื่องที่ตีพิมพ์ในวารสารเล่มนี้เป็น</span></span><span lang="TH" style="letter-spacing: -.05pt;">ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ และคณาจารย์</span><span lang="TH">ท่านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด ความรับผิดชอบด้านเนื้อหา รูปภาพและการตรวจ<span style="letter-spacing: .15pt;">ร่างบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบบทความของตนเอง</span></span> (<span style="letter-spacing: .15pt;">4)<span lang="TH"> ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสาร</span></span></span></p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275585 ประเมินการพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนระยะปานกลางของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยด้วยโครงข่ายประสาทและอริมา 2025-02-06T12:59:42+07:00 ศุภเสกข์ เกตุรักษา sooppasek@eau.ac.th ปฏิภาณ เกิดลาภ patiphan@eau.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบจำลองโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) และแบบจำลอง ARIMA ในการพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน โดยใช้ข้อมูลประวัติการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบด้วย 2 รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบที่ 1 ประกอบด้วยข้อมูลย้อนหลัง 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน และรหัสเดือน และรูปแบบที่ 2 ประกอบด้วยข้อมูลย้อนหลัง 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 เดือน และรหัสเดือน ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า โครงข่ายประสาทเทียมมีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยมี ค่าเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยสัมบูรณ์ ( MAPE ) เท่ากับ ร้อยละ 3.3151 ขณะที่แบบจำลอง ARIMA มีค่า MAPE เท่ากับร้อยละ 7.4184 จากผลการศึกษานี้ โครงข่ายประสาทเทียมได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถรองรับความซับซ้อนของข้อมูลด้านการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมต่อการนำไปใช้พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานทดแทนในเชิงปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสามารถวางแผนจัดการพลังงานได้แม่นยำขึ้น ลดความสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรพลังงาน ทั้งนี้สามารถนำไปประยุกต์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตด้านพลังงานทดแทนได้ต่อไปในอนาคต</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/272429 การหาค่าที่เหมาะสมของพารามิเตอร์กระบวนการแบบ FDM ที่ส่งผลต่อความคลาดเคลื่อนของขนาดชิ้นส่วน ABS โดยวิธีการพื้นผิวตอบสนอง 2024-09-06T09:50:50+07:00 ทัตพงศ์ ลิ้มหลาย s6503017810067@email.kmutnb.ac.th วรรณลักษณ์ เหล่าทวีทรัพย์ s6503017810067@email.kmutnb.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาค่าที่เหมาะสมสำหรับพารามิเตอร์กระบวนการพิมพ์แบบหลอมละลายเส้นใย (Fused Deposition Modeling--FDM) เพื่อลดความคลาดเคลื่อนของขนาดชิ้นส่วน ABS ให้อยู่ในขอบเขตความคลาดเคลื่อนที่กำหนด โดยกำหนดให้พารามิเตอร์ที่ใช้พิจารณาได้แก่ ความหนาชั้น ความเร็วของหัวฉีด และความหนาของผนัง จากนั้นทำการออกแบบการทดลองด้วยวิธีส่วนประสมกลาง (central composite design) โดยเก็บค่าตอบสนองจากการวัดขนาดของชิ้นส่วนกรณีศึกษาด้วยเวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ ผลลัพธ์จากการตั้งค่าตามค่าพารามิเตอร์กระบวนการพิมพ์ คือ ความหนาชั้นอยู่ที่ 0.3485 mm ความเร็วในการพิมพ์อยู่ที่ 20 mm/s และความหนาผนังชั้นอยู่ที่ 2.4949 mm และในกระบวนการพิมพ์ควรพักเครื่องพิมพ์อย่างน้อย 10 นาที หลังจากพิมพ์ชิ้นส่วนเสร็จ ส่งผลให้ขนาดของชิ้นส่วนกรณีศึกษาอยู่ในขอบเขตความคลาดเคลื่อนที่กำหนด</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273918 การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคารและศักยภาพของคาร์บอนสะสมในต้นไม้ ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 2024-10-10T10:23:28+07:00 ประยุทธ์ ฤทธิเดช prayuth.rit@dpu.ac.th ศิริเดช คำสุพรหม prayuth.rit@dpu.ac.th ศุภรัชชัย วรรัตน์ prayuth.rit@dpu.ac.th <p>ปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญระดับโลกที่หลายประเทศให้ความสำคัญ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานไฟฟ้าในอาคารและศักยภาพของคาร์บอนสะสมในต้นไม้ใหญ่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยการศึกษาแบ่งพื้นที่ตามการใช้พลังงานไฟฟ้าออกเป็น 3 พื้นที่ โดยใช้ข้อมูลการใช้พลังงานไฟฟ้า ปี พ.ศ.2565 มีการใช้พลังงานไฟฟ้ารวมประมาณ 4,473,852 kWh/year คิดเป็นปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดเท่ากับ 2,678,047.81 tCO<sub>2</sub>e/year มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด ในพื้นที่การศึกษาที่ 1 เท่ากับ 1,191,214 tCO<sub>2</sub>e/year คิดเป็น 44.48% และต่ำที่สุดอยู่ในพื้นที่การศึกษาที่ 3 เท่ากับ 590,219.60 tCO<sub>2</sub>e/year คิดเป็น 22.04% มีการคำนวณปริมาณคาร์บอนสะสมในต้นไม้ โดยการจัดเก็บข้อมูลเส้นรอบวงของต้นไม้ทุกต้นในพื้นที่การศึกษา เพื่อคำนวณหามวลชีวภาพโดยใช้สมการอัลโลแมตริก และหาค่าปริมาณการสะสมคาร์บอนโดยนำค่ามวลชีวภาพคูณด้วย Conversion Factor ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.5 จากการศึกษาพบว่าพื้นที่ในมหาวิทยาลัยมีพรรณไม้ทั้งหมด 1,231 ต้น มากที่สุดอยู่ในพื้นที่การศึกษาที่ 1 จำนวน 746 ต้น และน้อยที่สุดอยู่ในพื้นที่การศึกษาที่ 2 จำนวน 64 ต้น ปริมาณคาร์บอนสะสมของต้นไม้ทั้งหมดเท่ากับ 176,364.70 ton/year มากที่สุดคือพื้นที่การศึกษาที่ 1 เท่ากับ 130,401.09 ton/year คิดเป็น 73.94% และน้อยที่สุด คือพื้นที่การศึกษาที่ 2 เท่ากับ 820.76 ton/year คิดเป็น 0.46% เมื่อเปรียบเทียบเปอร์เซ็นต์ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้กับปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของพลังงานไฟฟ้า พบว่าพื้นที่การศึกษาที่ 1 มีเปอร์เซ็นต์ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนของต้นไม้สูงที่สุด คิดเป็น 10.94%</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273777 การพัฒนาผลิตภัณฑ์บาล์มที่มีส่วนผสมของสารสกัดพิกัดเบญจเทียน 2024-09-24T11:53:33+07:00 สุพรรษา หวังเกษม eookoopoo@gmail.com บิสมิล เจะโยะ bismin07072544@gmail.com วิทวัส หมาดอี wittawat@tsu.ac.th กุสุมาลย์ น้อยผา kusumarn.n@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์บาล์มที่มีส่วนผสมของสารสกัดพิกัดเบญจเทียน โดยศึกษาสารพฤกษเคมีเบื้องต้น และศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดพิกัดเบญจเทียน ประกอบด้วย เมล็ดเทียนดำเทียนแดง เทียนขาว เทียนข้าวเปลือก และเทียนตาตั๊กแตน จากการศึกษาสารพฤกษเคมีเบื้องต้นด้วยวิธีการอาศัยปฏิกิริยาการเกิดสีหรือตะกอน พบสารกลุ่มอัลคาลอยด์ คาดิแอคไกลโคไซต์ คูมาริน ฟลาโวนอยด์ สเตอรอยด์ แทนนิน และเทอร์ปินอยด์ ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH radical scavenging และวิธี ABTS radical cation decolorization พบว่า เทียนแดง มีค่า IC<sub>50</sub> สูงที่สุด เท่ากับ 30.31 และ 76.90 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ เทียนขาวมีปริมาณฟีนอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวมมากที่สุด เท่ากับ 58.51±1.78 มิลลิกรัมแกลลิกต่อกรัมตัวอย่าง และ 85.71±3.80 มิลลิกรัมเควอซิตินต่อกรัมตัวอย่าง ตามลำดับ จากผลการศึกษาเบื้องต้น จึงนำสารสกัดพิกัดเบญจเทียนมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บาล์ม โดยมีสัดส่วนที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.5 ทดสอบคุณลักษณะทางกายภาพของบาล์มเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์ ดังนั้นบาล์มที่มีน้ำมันหอมระเหยและฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ซึ่งในอนาคตสามารถนำผลิตภัณฑ์บาล์มนี้ไปพัฒนาต่อยอดในระดับอุตสาหกรรมต่อไปได้</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273400 การพัฒนาระบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในสถานศึกษาเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าสำหรับนักศึกษา: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม 2024-09-06T10:49:42+07:00 หทัยชนก บัวเจริญ cwariya@npru.ac.th วริยา จันทร์ขำ cwariya@npru.ac.th เรียม นมรักษ์ cwariya@npru.ac.th วิรญา อาระหัง cwariya@npru.ac.th ดารินทร์ โพธิ์ตั้งธรรม cwariya@npru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาระบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในสถานศึกษาเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้า กลุ่มตัวอย่าง คือ (1) นักศึกษา จำนวน 221 คน (2) ผู้บริหาร ประธานสาขา เจ้าหน้าที่กองพัฒนานักศึกษา พยาบาลและแพทย์ด้านจิตเวช จำนวน 95 คน และ3) คณาจารย์ จำนวน 215 คน เครื่องมือการวิจัยเชิงปริมาณคือ (1) แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต (2) แบบประเมินความแข็งแกร่งในชีวิต (3) แบบคัดกรองโรคซึมเศร้าอย่างง่าย 2Q 9Q ของกรมสุขภาพจิต (4) แบบประเมินผลความภาคภูมิใจในตนเอง เครื่องมือเชิงคุณภาพคือ แนวทางการสนทนากลุ่ม แนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึกตามประเด็นที่เกี่ยวข้อง แนวคำถามการจดบันทึกแนวทางการวิเคราะห์ แบบสังเกตแบบมีส่วนร่วม แนวทางการประชุมเชิงปฏิบัติการตามประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการวิจัย จำนวน 2 วงรอบ ใช้การประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อออกแบบระบบ ทดสอบและปรับปรุงระบบ เพื่อหาข้อสรุป ใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และค่าที Pair-T-test แนวทางการสนทนากลุ่ม สัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระบบการเสริมสร้างสุขภาพจิตในสถานศึกษาเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าสำหรับนักศึกษา ประกอบด้วย การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตโดยใช้แอปพลิเคชัน การเสริมความแข็งแกร่งในชีวิตด้วยระบบการให้คำปรึกษาผ่านคลินิก การสร้างกิจกรรมและจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการป้องกันภาวะซึมเศร้า </p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273566 การศึกษาความสามารถในการออกแรงยกของผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป เกษตรกร และที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ โดยใช้หลักวิศวกรรมปัจจัยมนุษย์ 2024-09-24T11:33:27+07:00 ภรภัทร ศิลปศาสตร์ pornsiri@sut.ac.th ณรงค์เดช สวนเพชร pornsiri@sut.ac.th พรศิริ จงกล pornsiri@sut.ac.th <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถามและการศึกษาเชิงการทดลอง โดยเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพเกษตรกร รับจ้างทั่วไป และไม่ได้ประกอบอาชีพในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วัดความสามารถในการออกแรงยกของผู้สูงอายุ (2) ศึกษาผลกระทบของการออกแรงยกที่ระดับพื้นของผู้สูงอายุ (3) ศึกษาความแตกต่างของแรงยกที่ได้จากการวัดที่ความสูงระดับพื้นของผู้สูงอายุในอาชีพเกษตรกร รับจ้างทั่วไป และไม่ได้ประกอบอาชีพ ซึ่งดำเนินการกับกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 201 คน งานวิจัยนี้ได้แบ่งประเภทของข้อมูลออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูลการวัดสัดส่วนร่างกาย และข้อมูลการวัดความสามารถในการออกแรงยก โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคำนวณทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่าผู้สูงอายุที่เข้าร่วมการวิจัยเป็นเพศชาย 74 คน และเพศหญิง 127 คน มีอายุเฉลี่ย 69 ปี ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร 146 คน อาชีพรับจ้างทั่วไป 37 คน และไม่ได้ประกอบอาชีพ 18 คน จากข้อมูลการวัดสัดส่วนร่างกาย พบว่าเพศชายมีค่าเฉลี่ยสัดส่วนร่างกายมากกว่าเพศหญิงใน 4 มิติ ได้แก่ ความสูง ความยาว ความกว้าง และน้ำหนัก ซึ่งโครงสร้างทางด้านร่างกายนี้จะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลของการวิเคราะห์ข้อมูลความสามารถในการออกแรงยกชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการออกแรงยกของผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพมีความแตกต่างกับผู้ที่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ความสามารถในการออกแรงยกของผู้ที่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปมีความแตกต่างกับผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามความสามารถในการออกแรงยกของผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพไม่มีความแตกต่างกับผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร ผลที่ได้จากการวิจัยสามารถนำไปกำหนดแนวทางในการทำงานเพื่อใช้ออกแบบงานให้เหมาะสมกับผู้สูงอายุในแต่ละอาชีพได้</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273660 การประเมินศักยภาพการผลิตพลังงานทดแทนจากเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 9 เขื่อน ในประเทศไทย 2024-10-07T12:10:28+07:00 ณรงค์ศักดิ์ จรเสนาะ 65140119@dpu.ac.th ศุภรัชชัย วรรัตน์ vorarat@dpu.ac.th ประยุทธ์ ฤทธิเดช prayuth.rit@dpu.ac.th อำนาจ ผดุงศิลป์ aumnad@dpu.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินศักยภาพระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนหลักที่ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำตามแผนนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (Alternative Energy Development Plan--AEDP 2018) ด้วยขนาดที่กำหนดกำลังการผลิตโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 9 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนสิรินธร เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง โดยมีเงื่อนไขการพิจารณาการติดตั้งในพื้นที่ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่มีอยู่เดิมและให้ปริมาณไฟฟ้าสูงสุด คำนวณกำลังการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยใช้โปรแกรม System Advisor Model: SAM ประกอบด้วยแหล่งพลังงาน ประสิทธิภาพของอุปกรณ์ และสภาพภูมิอากาศ เมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2580 จากการจำลองการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำในเขื่อนทั้ง 9 เขื่อน สามารถผลิตได้ 5,716 GWh/year โดยเขื่อนภูมิพล มีการผลิตไฟฟ้าต่อปีสูงสุดที่ 1,649 MWh และมีต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าเฉลี่ยต่ำสุดที่ 1.44 THB/kWh ที่ระยะเวลา 25 ปี ระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>eq) ในระดับต่ำมาก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>) ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในขั้นตอนการผลิตและติดตั้ง แต่เมื่อระบบเริ่มทำงาน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>eq) ที่ 3,001,500 tCO<sub>2</sub>eq/year ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนในอนาคต</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273791 การศึกษาสารพฤกษเคมีเบื้องต้น และฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดดาหลา เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บาล์มแก้คัน 2024-10-28T14:36:54+07:00 ยัสมีน วามุ yasmeendek63@gmail.com รุสนานี สาแม rusnaneesamae246@gmail.com วิทวัส หมาดอี wittawat@tsu.ac.th วิไลลักษณ์ กล่อมพงษ์ Vilailak@tsu.ac.th กุสุมาลย์ น้อยผา kusumarn.n@hotmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสารพฤกษเคมีเบื้องต้น ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอสของสารสกัดหยาบจากดาหลา ทั้ง 4 ส่วน ได้แก่ ราก เหง้า ใบ และดอก โดยสกัดดาหลาด้วยตัวทำละลายเอทานอล 95% ผลการศึกษาพบสารพฤกษเคมีจากสารสกัดดาหลาทั้ง 4 ส่วน จำนวน 8 กลุ่ม คือ แอลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ คูมาริน คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ เทอร์พินอยด์ แทนนิน ซาโปนิน และสเตียรอยด์ ยกเว้นสารแอนทราควิโนน หาปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวมและฟลาโวนอยด์รวมด้วยวิธี Folin-Ciocalteu colormetric assay และ aluminium chloride colorimetric assay สารสกัดหยาบเอทานอลจากเหง้าดาหลา มีปริมาณฟีนอลิกรวมสูงสุด (24.30±0.09 มิลลิกรัมสมมูลกรดแกลลิกต่อกรัมของสารสกัด) สารสกัดหยาบเอทานอลจากใบดาหลามีปริมาณฟลาโวนอยด์รวมสูงสุด (28.05±0.94 มิลลิกรัมสมมูลกรดเคอร์ซิตินต่อกรัมของสารสกัด) ศึกษาฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระพบว่า สารสกัดหยาบเอทานอลจากดอกดาหลามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันด้วยวิธี DPPH scavenging assay สูงสุด (IC<sub>50</sub>=90.67 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) สารสกัดหยาบเอทานอลจากใบดาหลามีฤทธิ์ต้านออกซิเดชันด้วยวิธี ABTS scavenging assay สูงสุด และวิธี nitric oxide scavenging assay สูงสุด (IC<sub>50</sub>=135.03 และ 1.98 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ) ผลการทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส ด้วยวิธี proteinase inhibitory assay พบว่า สารสกัดหยาบเอทานอลจากดอกดาหลามีฤทธิ์ยับยั้งสูงสุด (IC<sub>50</sub>=118.75 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) รองลงมาเป็นสารสกัดหยาบเอทานอลจากใบดาหลา มีค่า IC<sub>50</sub>= 311.43 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าสารสกัดเอทานอลจากดาหลามีสารพฤกษเคมีหลายชนิด ซึ่งรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระและสารยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส ทำให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในด้านเภสัชกรรมและเวชสำอางได้ ดังนั้นจากผลการศึกษาที่ได้ จึงเลือกที่จะนำสารสกัดจากใบดาหลามาพัฒนาผลิตภัณฑ์บาล์มต้นแบบ เนื่องจากใบดาหลาเป็นวัตถุดิบที่สามารถหาได้ตลอดทั้งปี โดยสารสกัดจากใบจะถูกนำมาผสมในผลิตภัณฑ์บาล์มแก้คันซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ได้แก่ วาสลีน น้ำมันโจโจ้บา ขี้ผึ้ง เมนทอล สารสกัดหยาบเอทานอลจากใบดาหลา และสารแต่งสี พร้อมทั้งทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความเสถียรในการใช้งาน</p> <p> </p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/274104 นวัตกรรมเสื้อจำลองการสำลักเพื่อฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้สำลัก 2024-10-03T14:23:46+07:00 เพ็ญวดี โรจน์เรืองนนท์ Penwadee.ro@bsru.ac.th ฐมาพร เชี่ยวชาญ tamaporn.ch@bsru.ac.th <p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อสร้างและพัฒนานวัตกรรมเสื้อจำลองการสำลักเพื่อฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้สำลัก (2) ศึกษาประสิทธิภาพของนวัตกรรมเสื้อจำลองการสำลักเพื่อฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้สำลัก และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร เขตธนบุรี ต่อการใช้นวัตกรรมเสื้อจำลองการสำลักเพื่อฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้สำลัก ดำเนินการวิจัยเป็น 6 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี (2) สร้างต้นแบบ (3) ตรวจสอบประสิทธิภาพ (4) ปรับปรุงต้นฉบับ (5) ทดลองใช้ (6) ได้ต้นแบบนวัตกรรมฯ ที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร เขตธนบุรี จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินประสิทธิภาพของเสื้อจำลองจำลองการสำลักเพื่อฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้สำลัก และแบบประเมินความพึงพอใจต่อนวัตกรรม ตรวจความตรงเชิงเนื้อหา (content validity) จากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ได้ค่าเท่ากับ 0.90 และ 0.86 ตามลำดับ และค่าความเชื่อมั่นที่ (reliability) ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค มีเท่ากับ 0.93 และ 0.88 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (descriptive statistics) ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า (1) ได้นวัตกรรมเสื้อจำลองการสำลักที่ออกแบบให้มีคุณลักษณะเหมาะสมสำหรับการฝึกทักษะการช่วยเหลือตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อสำลัก (2) ประสิทธิภาพของเสื้อจำลองการสำลักต่อการฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้สำลักโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (X=4.64 SD=0.51) (3) คะแนนเฉลี่ยของความพึงพอใจโดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด (X=4.58 SD=0.42) ดังนั้นนวัตกรรมเสื้อจำลองการสำลักจึงเป็นสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับการฝึกทักษะการช่วยสำลักเสมือนจริงซึ่งช่วยให้มองเห็นภาพการสำลัก และการช่วยเหลือได้ชัดเจนเข้าใจง่าย อันจะส่งผลให้สามารถให้การช่วยเหลือผู้ที่สำลักได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275121 การศึกษาการใช้พลังงานสำหรับการกลั่นน้ำมันหอมระเหยกรณีศึกษาตะไคร้หอม 2025-02-06T12:46:34+07:00 ชนะชัย ดวงอาราม pongsawat@eau.ac.th ผกามาศ ศรนิล pongsawat@eau.ac.th พงษ์สวัสดิ์ คชภูมิ pongsawat@eau.ac.th <p>งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิธีการใช้พลังงานการกลั่นน้ำมันหอมระเหยกรณีศึกษาตะไคร้หอม โดยเปรียบเทียบการใช้พลังงานและความคุ้มค่าพลังงานที่ใช้ในการกลั่นโดยใช้พลังงานความร้อนจากเชื้อเพลิงก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และพลังงานไฟฟ้า ในการทดลองจะใช้หม้อกลั่นปริมาตร 20 L และขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 cm น้ำที่ใช้มีอุณหภูมิ 28.5 ˚C อุณหภูมิในการกลั่น 90-102˚C เวลาในการกลั่น 2 hr การจัดเตรียมวัตถุดิบตัดเป็นชิ้นเล็ก ส่วนพลังงานความร้อนจากก๊าซ LPG จะปรับแรงดันเตาแก๊สที่ 1 Ib/In2 และเตาไฟฟ้าทั้ง 2 ชนิดใช้กำลังไฟฟ้าขนาด 1,800 W เตาไฟฟ้าแบบขดลวดปรับระดับไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 7 ส่วนเตาแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ปรับอุณหภูมิที่ 550˚C เตาไฟฟ้าแบบขดลวดและเตาแม่เหล็กไฟฟ้า มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 26 cm และ 23 cm ตามลำดับ ผลจากการทดลอง เตาก๊าซ LPG เตาไฟฟ้าแบบขดลวดและเตาแม่เหล็กไฟฟ้า ค่าพลังงานความร้อนเฉลี่ย 15.07 MJ 9.14 MJ และ 10.67 MJ ต้นทุนค่าพลังงาน 10.91 10.72 และ 12.50 บาทต่อครั้ง ตามลำดับ พบว่าพลังงานความร้อนเฉลี่ยของเตาก๊าซ LPG จะสูงกว่าเตาไฟฟ้าทั้งสองชนิด และต้นทุนพลังงานในการผลิต เตาไฟฟ้าแบบขดลวดจะใช้ต้นทุนต่ำกว่า ส่วนปริมาณน้ำมันหอมระเหยที่ได้นั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ (1) ความสดของตะไคร้หอม (2) การจัดเตรียมวัตถุดิบ และ (3) ขนาดความกว้างหน้าเตาที่ให้พลังงานความร้อน</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/273771 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ผลกระทบและแนวทางแก้ไข 2024-11-25T10:38:31+07:00 ศศิมา แหลมดีกล่ำ sasima.pech@gmail.com กฤษฎา ค้าขึ้น kitsada.poto61@gmail.com ณิชกานต์ คันธะวงศ์ cotton.kantawong@gmail.com <p style="font-weight: 400;">พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กทำซ้ำ ๆ กันเป็นประจำโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือความหลากหลาย ลักษณะของพฤติกรรมเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่อาจแบ่งได้เป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ พฤติกรรมซ้ำ ๆ ทางร่างกาย และพฤติกรรมซ้ำ ๆ ทางจิตใจหรือความคิด ได้แก่ การเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ การส่ายมือหรือส่ายร่างกาย การตบมือ การกระโดด หรือการเดินวนไปวนมา ล้วนเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในเด็กออทิสติก จึงเสนอทฤษฎีทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติกคือ ทฤษฎีนี้เน้นที่การพัฒนาทักษะการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่เด็กออทิสติกอาจมีความยากลำบาก แสดงให้เห็นว่าเด็กออทิสติกอาจมีปัญหากับการเข้าใจสัญญาณทางสังคมและการตอบสนองต่อการกระทำของผู้อื่น ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมซ้ำ ๆ ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติก ได้แก่ (1) ความไม่มั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ (2) การรับรู้ทางประสาทสัมผัสที่ผิดปกติ (3) การแสดงออกถึงความไม่สบายใจหรือการสื่อสาร (4) การยึดติดกับกิจวัตรและการเปลี่ยนแปลง (5) ปัญหาทางระบบประสาทและสมอง (6) การแสวงหาความรู้สึกพึงพอใจ การเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติกมีความสำคัญในการออกแบบการบำบัดและการสนับสนุนที่เหมาะสมเพื่อช่วยลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กออทิสติกให้ดีขึ้น พฤติกรรมซ้ำ ๆ ของเด็กออทิสติกสามารถมีผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กออทิสติก ได้แก่ อุปสรรคต่อการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของเด็ก ผลกระทบต่อครอบครัวและผู้ปกครอง ได้แก่ ทำให้ผู้ปกครองรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้า ผลกระทบต่อสังคมและโรงเรียน ได้แก่ เด็กมีความยากลำบากในการเข้าร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน แนวทางการจัดการและสนับสนุน การให้การสนับสนุนทั้งด้านการบำบัดและการให้ความรู้แก่ครอบครัวและบุคลากรในโรงเรียนสามารถช่วยลดผลกระทบของพฤติกรรมซ้ำ ๆ ได้ การจัดการที่เหมาะสมและการให้ความเข้าใจเกี่ยวกับออทิสติกจะช่วยให้เด็กสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ และลดความตึงเครียดทั้งสำหรับเด็กออทิสติกเอง ครอบครัว และสังคมรอบตัว </p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275566 การศึกษาแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาไอโอที 2024-12-18T16:00:21+07:00 สุคนธ์ทิพย์ ทินาภรณ์ sukontip@eau.ac.th ธัชกร อ่อนบุญเอื้อ tossapon@eau.ac.th <p>แพลตฟอร์ม Internet of Things--IoT หรือนักพัฒนาระบบนิยมเรียกเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ ได้แก่ NETPIE ThingSpeak และ Blynk เป็นต้น โดยบทความนี้ได้แบ่งแพลตฟอร์มออกเป็น 3 ประเภทตามกลุ่มลักษณะการให้บริการและการติดตั้ง ได้แก่ (1) แบบ Cloud-based IoT Platform เป็นระบบที่มีการเชื่อมต่อระบบกับอุปกรณ์ไอโอทีผ่านอินเทอร์เน็ตโดยตรงให้บริการแพลตฟอร์มที่ทำงานบนระบบคลาวด์ (2) แบบ On-premises IoT Platform เป็นระบบที่มีการติดตั้งและทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร (3) แบบ Hybrid IoT Platform เป็นระบบผสมผสานการทำงานระหว่าง 2 แบบมีการใช้ระบบคลาวด์สำหรับฟังก์ชันที่ต้องการความยืดหยุ่น และใช้ระบบ On-premises สำหรับการจัดเก็บข้อมูลหรือการประมวลผลข้อมูล โดยแพลตฟอร์มทั้ง 3 ประเภท ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ของระบบ ดังนั้น บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแพลตฟอร์มที่นิยมใช้กันแพร่หลายในประเทศไทย เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ภาษาที่ใช้ในการพัฒนา รวมถึงค่าใช้จ่ายในแต่ละแพลตฟอร์ม สำหรับการใช้งานที่เหมาะสม</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275588 ลิกนิน: โครงสร้าง คุณสมบัติ และการประยุกต์ใช้เพื่อสิ่งแวดล้อม 2024-12-17T19:56:44+07:00 ฐาปกรณ์ คำหอมกุล thapakorn@eau.ac.th สุธาสินี ผากา sutasinee@eau.ac.th <p>ลิกนินเป็นพอลิเมอร์ชีวภาพ (biopolymer) ที่พบในผนังเซลล์พืช ลิกนินมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและมีกลุ่มฟังก์ชันที่หลากหลาย ซึ่งส่งให้คุณสมบัติของลิกนินมีความโดดเด่นและสามารถทำปฏิกิริยากับสารเคมีได้หลายชนิด ลิกนินจึงถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบทางเลือกสำหรับแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ลิกนินในการกำจัดสารมลพิษที่ปนเปื้อนในน้ำและดิน ลิกนินได้รับการพัฒนาเป็นถ่านกัมมันต์สำหรับดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่เป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน ลิกนินถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นวัสดุทางการแพทย์และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น สารต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา แคปซูลสำหรับบรรจุยา และพลาสติกชีวภาพ นอกจากนี้การประเมินวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากลิกนินแสดงให้เห็นว่า การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง สำหรับความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ของการใช้ลิกนินเป็นวัสดุทดแทน พบว่า มีแนวโน้มต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้นมากกว่าการใช้วัสดุแบบเดิม เนื่องมาจากข้อจำกัดเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตและความเข้าใจในโครงสร้างและลักษณะทางสัณฐานวิทยาของลิกนิน อย่างไรก็ตามทั่วโลกจะให้ความสนใจลิกนินมากขึ้น แต่การใช้งานในปัจจุบันเน้นไปที่การผลิตพลังงานผ่านการเผาไหม้เป็นหลัก ดังนั้นความท้าทายหลักจึงอยู่ที่การปรับปรุงคุณสมบัติเชิงโครงสร้างของลิกนินให้เหมาะสมและเพิ่มคุณภาพควบคู่ไปกับการพัฒนาวิธีการสกัดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรม การพัฒนาการใช้ลิกนินในลักษณะดังกล่าวสามารถช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวได้อย่างมาก</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275676 ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างเพื่อการเรียนรู้ในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ 2025-01-23T12:47:27+07:00 นิกร โภคอุดม nikorn@eau.ac.th <p>การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) กำลังมีอิทธิพลต่อภาคการศึกษาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบ โอกาส และความท้าทายที่เกิดจากการนำปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ผ่านการสร้างเนื้อหาบทเรียน การให้คำแนะนำแบบเฉพาะบุคคล และการสนับสนุนการเรียนรู้โดยอิงข้อมูลจริง ซึ่งช่วยให้ผู้สอนสามารถออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การบูรณาการการใช้เทคโนโลยีนี้ยังมีความท้าทายที่สำคัญ รวมถึงข้อกังวลด้านจริยธรรม ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และความน่าเชื่อถือของเนื้อหาที่สร้างขึ้น นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นในการพัฒนาทักษะของผู้สอนเพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างจึงมีศักยภาพในการปฏิวัติการเรียนการสอนในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ หากมีการวางแผนและนำไปใช้ในลักษณะที่รอบคอบ จะสามารถสร้างนวัตกรรมการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/EAUHJSci/article/view/275593 การยกระดับการตรวจสอบในอุตสาหกรรมด้วยเทคนิคการประมวลผลภาพโดยใช้ OpenCV 2025-02-06T13:16:26+07:00 คัมภีร์ ลิมปดาพันธ์ t_borirak@eau.ac.th ธีรพงศ์ บริรักษ์ t_borirak@eau.ac.th <p>การควบคุมคุณภาพในภาคการผลิตได้พัฒนาก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าการตรวจสอบด้วยวิธีดั้งเดิมโดยใช้แรงงานคนมักเผชิญกับข้อจำกัดด้านความแม่นยำ ความสม่ำเสมอ และต้นทุนที่สูง ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีการประมวลผลภาพด้วย OpenCV ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจสอบอัตโนมัติ จากการศึกษาพบว่า การบูรณาการระบบที่ใช้ OpenCV เข้ากับสายการผลิตที่มีอยู่สามารถเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับข้อบกพร่องและลดระยะเวลาในการตรวจสอบได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยลดระยะเวลาในการตรวจสอบเมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม การทดสอบในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และสิ่งทอ แสดงให้เห็นว่าการประยุกต์ใช้อัลกอริทึมคอมพิวเตอร์วิทัศน์สำหรับการวัดขนาด การวิเคราะห์รูปร่าง และการตรวจสอบสี ช่วยให้การควบคุมคุณภาพมีความแม่นยำและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น การใช้ OpenCV สามารถลดข้อผิดพลาดในการผลิต ปรับปรุงความแม่นยำของการตรวจสอบ และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการควบคุมคุณภาพได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ระบบยังสามารถทำงานได้ดีภายใต้สภาพแวดล้อมการผลิตที่หลากหลาย ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดบางประการ เช่น ความไวต่อสภาพแสงและความซับซ้อนของรูปทรงผลิตภัณฑ์ ยังคงต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม แนวทางที่นำเสนอนี้ช่วยเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบตรวจสอบอัตโนมัติที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงในภาคอุตสาหกรรม</p> 2025-04-21T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Online)