การเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในมารดาที่สงสัยว่าจะติดเชื้อหรือติดเชื้อโควิด-19: การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต

บทคัดย่อ

การทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขตครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและสังเคราะห์องค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในมารดาที่สงสัยว่าจะติดเชื้อหรือติดเชื้อโควิด-19 โดยการสังเคราะห์งานวิจัยด้วยวิธีการทบทวนวรรณกรรมแบบกำหนดขอบเขต ประชากร (Population) ในการศึกษาครั้งนี้คือรายงานวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ หรือ แนวทางปฏิบัติ หรือคำแนะนำที่เกี่ยวกับการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในมารดาที่สงสัยว่าจะติดเชื้อหรือติดเชื้อโควิด-19 แนวคิดที่สนใจ (Concept) ได้แก่ การสนับสนุนการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา หรือคำแนะนำในการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา บริบทที่สนใจ (Context) ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่เดือนตั้งแต่เดือนมกราคมปี พ.ศ.2563 ถึง กันยายนปี พ.ศ.2564 ครอบคลุมฐานข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ PubMed, CINAHL, Science Direct, Scopus ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ในประเทศไทย ได้แก่ Thailis  ทั้งหมด 1,394  เรื่อง งานวิจัยที่ตรงกับเกณฑ์การคัดเข้าจากข้อมูลฉบับเต็มจำนวน 94 เรื่อง และผ่านการประเมินคุณภาพโดยใช้เครื่องมือจากสถาบันโจแอนนาบริกส์จำนวน 12 เรื่อง

ผลลัพธ์จากการทบทวนพบว่ามารดาที่สงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด-19 หรือมีการติดเชื้อ    โควิด-19 มีความต้องการการสนับสนุนการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นหน้าที่ของบุคลากรสุขภาพในการส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา สำหรับมารดาที่สงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด-19 หรือมีการติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการป่วยเพียงเล็กน้อยสามารถให้นมบุตรได้โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด (Hygiene Precaution) ทั้งก่อนและหลังให้นมบุตร ส่วนมารดาที่มีอาการแสดงของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจหรือมีอาการรุนแรงควรแยกออกจากทารกและให้นมจากผู้บริจาค หรือ Milk Bank หรือนมผสมแทน ทั้งนี้มารดาอาจบีบน้ำนมทิ้งเพื่อรักษาระดับของน้ำนมไว้จนกว่าผลการตรวจเชื้อจะเป็นลบ

ผลลัพธ์จากการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความต้องการงานวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดเชื้อจากมารดาที่เลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาไปสู่ทารก หรือความเป็นไปได้ในการทำ Milk Bank ในประเทศไทย และการส่งเสริมความรู้ของบุคลากรสุขภาพเกี่ยวกับการสนับสนุนการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาในกลุ่มมารดาที่สงสัยว่าจะติดเชื้อหรือติดเชื้อโควิด-19 เพื่อนำมาพัฒนาศักยภาพในการดูแลให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป