ผลของโปรแกรมการศึกษาทางไกลต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของตนเองเพื่อชะลอการสะสมเหล็กในร่างกายของผู้ป่วยเด็กวัยรุ่นโรคธาลัสซีเมีย ในจังหวัดลำปาง
คำสำคัญ:
โปรแกรมการศึกษาทางไกล, พฤติกรรมการดูแลของตนเอง, การสะสมเหล็กในร่างกาย, ผู้ป่วยเด็กวัยรุ่นโรคธาลัสซีเมียบทคัดย่อ
การวิจัยเป็นกึ่งทดลอง เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการศึกษาทางไกลต่อความรู้และพฤติกรรมการดูแลของตนเองเพื่อชะลอการสะสมเหล็กในร่างกายของผู้ป่วยเด็กวัยรุ่นโรคธาลัสซีเมีย ในจังหวัดลำปาง อายุ 12-15 ปี จำนวน 20 คน แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 10 คน โดยกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลปกติและกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการศึกษาทางไกล ประกอบด้วย วิดีโอมัลติมีเดีย และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ประเมินผลโดยแบบทดสอบความรู้เรื่องภาวะเหล็กเกิน ได้ค่าความเชื่อมั่น KR-20 เท่ากับ 0.70 และแบบประเมินพฤติกรรมการดูแลตนเองตามกรอบแนวคิดการดูแลตนเองของโอเร็ม การติดตามกระตุ้นและประเมินพฤติกรรมผ่าน แอพพลิเคชั่นไลน์ โดยวิธีหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.86 วิเคราะห์ข้อมูลโดย แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติทดสอบที
ผลการวิจัย พบว่า 1) หลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อชะลอการสะสมเหล็กในร่างกายสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ดังนั้นสถานบริการสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถนำโปรแกรมการศึกษาทางไกลไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการต่อไป
References
Best, John W. 1977. Research in Education. 3rd ed. Englewood Cliffs,New Jersey : Prentice Hall, Inc.
Boonchuay, N. (2016). The Effect of the Educational Program on Knowledgeand Care Behaviors of Caregivers of Children with Thalassemia. Retrieved 1 June 2020. From https://he02.tci.thaijo.org/index.php/ns/article/view/77573(in Thai)
Chanchai T, (2021). Blood transfusion. Journal of Hematology and Transfusion Medicine.Vol. 31 No. Retrieved 1 June 2020. From https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JHematolTransfusMed/article/download/250222/169187/92013
Health Systems Research Institute, (2020) Thalassemia is a genetic disorder. Retrieved 1 June 2020. From https://www.hsri.or.th/media/issue/detail/13801
Nutbeam, D. (2000). Health literacy as a public health goal: A challenge for contemporary health education and communication strategies into health 21st century. Health Promotion International, 15(3), 259-267.
Orem, D.E. (1995). Nursing: Concept of practice. 5th Ed. St Louis: Mosby Year Book.
Polit, D.F., & Hungler, B.P. (1991). Nursing research: principle and methods. Philadelphia: J.B. Lippincott.
Prochaska, J. O., & DiClemente, C. C. (1982). Transtheoretical therapy: Toward a more integrative model of change. Psychotherapy: Theory, Research & Practice, 19(3), 276–288. https://doi.org/10.1037/h0088437
Pediatric Outpatient Clinic Lampang Hospital. (2020). Patient medical records.
Pitchalard, K. & Moonpanane, K. (2013). Improvement of a Continuing Care Model in Child with Thalassemia and Caregivers. Retrieved 1 June 2020. from https://he02.tci-thaijo.org/index.php/cmunursing/article/view/18924/16689 (in Thai)
WongRuangsri, S. (2019). The development of service network quality of thalassemia children, Lampang Province. Retrieved 1 June 2020. From https://th-th.facebook.com/PR. LPH123/posts/764729733701363/
Sarisuta, P.2019. Quality of Life and Prevalence of Depression among Children with Thalassemia in Panyananthaphikkhu Chonprathan Medical Center. Journal of Public Health 2019; 49(2): 200-209 (in Thai)
Sriarporn, W. (2018). Development project Child Thalassemia Service Network Quality in Lampang Retrieved 1 June 2020. From http://cso.rh1.go.th/bestP2560/download/18.%E0%B8%AA%
Sriarporn, W. (2019) The Evaluation Model of Learning Distance Education Through Information Technology Schools Under the Officeof the Basic Education Commission Retrieved 1 June 2020. From https://so05.tcithaijo.org/index.php/rmuj/article/download/248644/168839
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 วารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือก่อนเท่านั้น
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
อนึ่ง ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ถือเป็นความเห็นของวารสารฯ และวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อความและข้อคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตีพิมพ์ตามความเหมาะสม รวมทั้งการตรวจทานแก้ไขหรือขัดเกลาภาษาให้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนด