การพัฒนาโปรแกรมการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุโดยชุมชนมีส่วนร่วม ตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
คำสำคัญ:
โรคข้อเข่าเสื่อม, ผู้สูงอายุ, โปรแกรมการป้องกัน, ชุมชนมีส่วนร่วมบทคัดย่อ
โรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุเป็นปัญหาทางสุขภาพที่สำคัญ การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และประเมินผลการใช้โปรแกรมการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย ได้แก่ กลุ่มพัฒนาโปรแกรม ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) บุคลากรจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคข้อเข่าเสื่อมและตัวแทนประชาชนในชุมชนจำนวน 40 คน และกลุ่มผู้เข้าร่วมโปรแกรม คือ ผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบลคูเมือง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 40 คน ดำเนินการวิจัย ระหว่างเดือน มกราคม 2562 ถึง เดือน สิงหาคม 2562 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถาม ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้แบบบันทึกข้อมูลบริบทชุมชน การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลต่างด้วย Paired T-test ข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า โปรแกรมการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุที่ชุมชนมีส่วนร่วม มี 4 ขั้นตอน คือ 1) การสร้างองค์ความรู้เรื่องโรคข้อเข่าเสื่อม 2) พัฒนาองค์ความรู้ด้านโรคข้อเข่าเสื่อมให้แกนนำในชุมชน 3) เพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมรายใหม่ในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยใช้การคัดกรองเชิงรุก และ 4) สร้างแนวทางการติดตามผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมในพื้นที่ หลังการใช้โปรแกรม พบว่า 1) ผู้สูงอายุมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคข้อเข่าเสื่อมสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) 2) การรับรู้ความเจ็บป่วยด้วยโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ การรับรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ และพฤติกรรมการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมหลังใช้โปรแกรมมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการใช้โปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ดังนั้น การดำเนินกิจกรรมตามโปรแกรมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุที่พัฒนาขึ้นนี้ สามารถป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำโปรแกรมการป้องกันนี้ไปใช้ควรคำนึงให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชน
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Losina E, Weinstein AM, Reichmann WM, Burbine SA, Solomon DH, Daigle ME, et al. Lifetime risk and age at diagnosis of symptomatic knee osteoarthritis in the US. Arthritis Care Res (Hoboken) 2013; 65 (5): 703-11.
Shen J, Chen D. Recent progress in osteoarthritis research. J Am Acad Orthop Surg 2014; 22(7): 467–468.
Heidari, B. Knee osteoarthritis diagnosis, treatment and associated factors of progression: part II. Caspian journal of internal medicine 2011; 2(3); 249-255.
Neogi T, Zhang Y. Epidemiology of Osteoarthritis. Rheum Dis Clin North Am 2013; 39 (1): 1-19.
American Academy of Orthopedic Surgeons [AAOS]. Treatment of osteoarthritis of the knee: evidence-based guideline. 2nd ed. Illinois: American Academy of Orthopedic Surgeons; 2013.
รังสิยา นารินทร์, วิลาวัณย์ เตือนราษฎร์ และ วราภรณ์ บุญเชียง. การพัฒนาโปรแกรมดูแลผู้สูงอายุข้อเข่าเสื่อมโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน. พยาบาลสาร 2558; 42(3):170-181.
สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม [online]. แหล่งข้อมูล: https://www.thairheumatology.org/wp-content/uploads/2016/08/Guideline-for-Management-of-OA-knee.pdf [เข้าถึงเมื่อ 12 ธันวาคม 2562].
Watanabe H, Urabe K, Takahira N, Ikeda N, Fujita M, Obara S, et al. Quality of life, knee function, and physical activity in Japanese elderly women with early stage knee osteoarthritis. Journal of Orthopedic Surgery and Research 2010; 18(1): 31-34.
รังสิยา นารินทร์, วิลาวัณย์ เตือนราษฎร์, และวราภรณ์ บุญเชียง. รายงานการศึกษาวิจัยการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถภาพผู้สูงอายุข้อเข่าเสื่อมในชุมชน กรณีศึกษาตำบลไชยสถาน อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่. เชียงใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. 2556.
Jüni P, Hari R, Rutjes AW, Fischer R, Silletta MG, Reichenbach S, da Costa BR. Intra-articular corticosteroid for knee osteoarthritis. Cochrane Database Syst Rev 2015; 22(10): CD005328 doi: 10.1002/14651858.CD005328.pub3
Bosomworth NJ. Exercise and knee osteoarthritis: benefit or hazard? Canadian Family physician 2009; 55(9): 871-878.
ธันยาภรณ์ ทองเสริม. รูปแบบการดูแลสุขภาพที่บ้านโดยประยุกต์ทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็มต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองและความเจ็บปวดข้อเข่าในผู้สูงอายุข้อเข่าเสื่อม (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต). บัณฑิตวิทยาลัย. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา; 2551.
Nguyen C, Lefmvre-Colau MM, Poiraudeau S, Rannou F. Rehabilitation (exercise and strength Training) and osteoarthritis: A critical narrative review. Annals of Physical and Rehabilitation Medicine 2016; 59(3): 190-195.
นรินทร์รัตน์ เพชรรัตน์ และ จิราพร เกศพิชญวัฒนา. ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและ คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้สูงอายุโรคข้อเสื่อม. วารสารสภาการพยาบาล. 2557; 29(2):127-140.
Cohen JM and Uphoff NT. Participation’s place in rural development: Seeking clarity through specificity. World Development 1980; 8(3): 213-235.
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเขต 10 จังหวัดอุบลราชธานี. การประชาสัมพันธ์. กรุงเทพฯ: สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ; 2561.
Kemmis S, McTaggart R. The action research planner. 3rd ed. Geelong, Victoria: Deakin University Press.; 1988.
Lorig KR, Holman H. Self-management education: history, definition, outcomes, and mechanisms. Ann Behav Med 2003; 26(1):1-7.
บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 9.กรุงเทพฯ: บริษัทสุวีริยาสาส์น; 2554.
ศิริชัย กาญจนวาสี. การเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมสำหรับการวิจัย. พิมพ์ครั้งที่ 4 . กรุงเทพมหานคร: บุญศิริการพิมพ์; 2544.
บุญเรียง พิสมัย, มณีรัตน์ ธีระวิวัฒน์, นิรัตน์ อิมามี, และสุภาพ อารีเอื้อ. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม. วารสารสาธารณสุขศาสตร์ 2555; 42(2): 54-67.
สุภาพ อารีเอื้อ และ นภาพร ปิยขจรโรจน์. ผลลัพธ์ของโปรแกรมการให้ข้อมูลและการออกกำลังกายที่บ้านสำหรับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม. วารสารการพยาบาล 2251; 23(3): 72-84.
รังสิยา นารินทร์, เจนเนต รามจิต, และจิล โรบินสัน. ผลของการออกกำลังกายต่ออาการเจ็บปวดความรู้สึกฝืดติดข้อเข่า และความยากลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมในชุมชน. พยาบาลสาร 2553; 37(3): 132-146.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกเพื่อการพัฒนางานด้านวิชาการ แต่ต้องได้รับการอ้างอิงที่ถูกต้องเหมาะสม