วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu <p>วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และผลวิจัยทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ระบาดวิทยา พฤติกรรมสุขภาพ สุขศึกษา โภชนาการ รวมถึงงานวิจัยสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพทุกประเภท โดยมีกำหนดการตีพิมพ์ ปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม ถึง เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม ถึง สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 3 กันยายน ถึง ธันวาคม</p> th-TH <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ&nbsp;<br>&nbsp; &nbsp; &nbsp;บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกเพื่อการพัฒนางานด้านวิชาการ แต่ต้องได้รับการอ้างอิงที่ถูกต้องเหมาะสม</p> jmpubu@ubu.ac.th (ผศ.ดร.ปวีณา ลิมปิทีปราการ) niyom.j@ubu.ac.th (ผศ.ดร.นิยม จันทร์นวล) Mon, 10 Nov 2025 13:42:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ ในประชาชนตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/279510 <p>การศึกษาวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ของประชาชนตำบลวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างคือประชาชนที่มีอายุ 40 -70 ปี จำนวน 345 คน วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมานวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ไคสแควร์และสเปียร์แมน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 64.35 มีอายุเฉลี่ย 53 ปี (S.D.=8.24) จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 36.22 มีประสบการณ์ในการขับขี่รถจักรยานยนต์มากกว่า 10 ปี ร้อยละ 81.16 และมีพฤติกรรมการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากการขับขี่รถจักรยานยนต์อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 87.82 ( = 67.90, SD. = 5.59) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนจากการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ (rₛ=–0.109, p&lt; .05) รายได้ (rₛ=0.110, p&lt; .05) ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายจราจร (rₛ=0.199, p&lt; .001) และการรับรู้เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางถนน (rₛ=0.146, p&lt; .01) ดังนั้น จึงควรมีการจัดมาตรการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีรายได้น้อย เช่น การแจกหมวกนิรภัยฟรี การรณรงค์ด้านความปลอดภัยโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างผู้สูงอายุ</p> ธีรสิทธิ์ แดงน้อย, ณีรนุช วรไธสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/279510 Mon, 10 Nov 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีที่ติดเชื้อฉวยโอกาส Pneumocystis jirovecii pneumonia (PCP) https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/280266 <p>โรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมซิสติสจิโรเวคซี (Pneumocystis jirovecii pneumonia, PCP) เป็นการติดเชื้อฉวยโอกาสที่สำคัญและเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยทางคลินิกที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตในผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว โดยเป็นการวิจัยเชิงพยากรณ์แบบย้อนหลัง (retrospective observational cohort) รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น PCP และเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลปากช่องนานา ระหว่างปี พ.ศ. 2564–2566 จำนวน 60 ราย (อายุเฉลี่ย 34.4±12.5 ปี, เพศชาย 53.3%) พบว่ามีผู้เสียชีวิต 15 ราย (25%) การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Chi-squared test และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติกพหุ (multivariable logistic regression) พบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเสียชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ การไม่รับยาต้านไวรัส (OR 18.75, 95%CI 2.47–142.35, p=0.005) ระดับโรครุนแรง (OR 12.54, 95%CI 1.83–85.97, p=0.010) ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (OR 8.92, 95%CI 1.42–56.21, p=0.020) ความร่วมมือในการรักษาที่ไม่ดี (OR 7.35, 95%CI 1.11–48.65, p=0.039) และลักษณะ ground-glass opacity ในภาพรังสีทรวงอก (OR 6.28, 95%CI 1.02–38.74, p=0.048) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า การได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง การป้องกันภาวะหายใจล้มเหลว และการส่งเสริมความร่วมมือในการรักษา เป็นแนวทางสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยเอชไอวีที่ติดเชื้อ PCP</p> ปภาดา ศรีเมฆ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/280266 Mon, 10 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความชุกของการกลายพันธุ์ EGFR และความสัมพันธ์กับปัจจัยประชากรในผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดเซลล์ไม่เล็ก: กรณีศึกษาโรงพยาบาลประจำจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/280461 <p>การกลายพันธุ์ของยีน Epidermal Growth Factor Receptor (<em>EGFR</em>) ถือเป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพที่สำคัญในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer: NSCLC) โดยเฉพาะในประชากรชาวเอเชีย งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของการกลายพันธุ์ของยีน <em>EGFR </em>และความสัมพันธ์กับลักษณะทางประชากรของผู้ป่วย NSCLC ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังในผู้ป่วย NSCLC จำนวน 220 ราย ที่ได้รับการตรวจการกลายพันธุ์ของยีน <em>EGFR</em> ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ระหว่างปี พ.ศ. 2564–2565 โดยตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนในเอ็กซอนที่ 18–21 ด้วยเทคนิค Real-Time PCR (Super ARMS PCR) วิเคราะห์ข้อมูลทางประชากรและคลินิกโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอ้างอิง ผลการศึกษาพบว่า ความชุกของการกลายพันธุ์ของ <em>EGFR </em>อยู่ที่ร้อยละ 35.9 โดยชนิดที่พบมากที่สุดคือ การลบในเอ็กซอนที่ 19 (ร้อยละ 18.6) และการกลายพันธุ์ L858R ในเอ็กซอนที่ 21 (ร้อยละ 13.2) เพศหญิงมีอัตราการกลายพันธุ์สูงกว่าเพศชายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.035) นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มียีน <em>EGFR</em> กลายพันธุ์มีอัตราการรอดชีวิตที่ 1 ปีสูงกว่าผู้ที่ไม่มียีนกลายพันธุ์อย่างชัดเจน (ร้อยละ 63.8 เทียบกับ ร้อยละ 40.5) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความชุกในระดับปานกลางของการกลายพันธุ์ของ <em>EGFR</em> ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตรวจวินิจฉัยระดับโมเลกุลในโรงพยาบาลระดับจังหวัด เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสมแบบจำเพาะเจาะจง</p> ทองสุข พบบุญ, ลติพร อุดมสุข, นงนุช กัณหารัตน์, สุธารกมล ครองยุติ, ฐานิสรา โฉมเกิด, ฐิฏิ สังวรวงษ์พนา, ปิยนันท์ มีเวที, ไพเราะ แสนหวัง, รัตนา เล็กสมบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/280461 Mon, 10 Nov 2025 00:00:00 +0700 อุบัติการณ์ภาวะกระดูกบางและกระดูกพรุนในบุคลากรวัยทำงานของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/281482 <p>ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคกระดูกพรุนซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของความพิการ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความชุกและปัจจัยเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในบุคลากรมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันโรคกระดูกพรุนระดับชาติ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากร 256 คน ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป เข้ารับการคัดกรองความเสี่ยงโดยใช้เครื่องมือ Osteoporosis Self-Assessment Tool for Asians (OSTA) และปัจจัยเสี่ยงร่วมที่ปรับจากกระทรวงสาธารณสุข ผลการศึกษา พบผู้มีความเสี่ยง 115 คน (44.9%) ปัจจัยเสี่ยงที่พบมากที่สุดคือครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน (7.03%) รองลงมาคือสตรีหมดประจำเดือนก่อนอายุ 45 ปี (5.86%) และประวัติการได้ยาสเตียรอยด์ (5.08%) ในกลุ่มตัวอย่างนี้มีผู้สนใจและสมัครใจร่วมโครงการต่อ 73 คน อายุเฉลี่ย 51 ปี ที่เข้าตรวจด้วย Dual-energy X-ray absorptiometry (DXA scan) พบมวลกระดูกปกติ 72.6% ภาวะกระดูกบาง 24.7% และโรคกระดูกพรุน 2.73% ซึ่งต่ำกว่าค่าความชุกที่รายงานในประชากรเอเชียและประชากรโลก ผลการศึกษานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคัดกรองเชิงรุกเพื่อค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยงและป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และสะท้อนถึงความจำเป็นในการจัดทำโปรแกรมป้องกันในระดับชุมชน โดยควรมีการศึกษาติดตามในระยะยาวเพื่อลดภาระของโรคกระดูกพรุนในสังคมสูงวัย</p> ฐิฏิ สังวรวงษ์พนา, ไพเราะ แสนหวัง, ลติพร อุดมสุข, นงนุช กัณหารัตน์, สุธารกมล ครองยุติ, ฐานิสรา โฉมเกิด, ปิยนันท์ มีเวที, รัตนา เล็กสมบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/281482 Mon, 10 Nov 2025 00:00:00 +0700