https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/issue/feed วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2025-04-22T00:00:00+07:00 ผศ.ดร.ปวีณา ลิมปิทีปราการ jmpubu@ubu.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์ในการเผยแพร่ผลงานวิชาการ และผลวิจัยทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัย ระบาดวิทยา พฤติกรรมสุขภาพ สุขศึกษา โภชนาการ รวมถึงงานวิจัยสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สุขภาพทุกประเภท โดยมีกำหนดการตีพิมพ์ ปีละ 3 ฉบับ คือ</p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม ถึง เมษายน<br /> ฉบับที่ 2 พฤษภาคม ถึง สิงหาคม<br /> ฉบับที่ 3 กันยายน ถึง ธันวาคม</p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/277036 การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่สังคมสูงวัย 2025-02-07T11:36:12+07:00 กวินธิดา จีนเมือง kawintida1997@gmail.com โสมศิริ เดชารัตน์ somsiri@tsu.ac.th ปุญญพัฒน์ ไชยเมล์ bchaimay@tsu.ac.th สมเกียรติยศ วรเดช somkiattiyos@tsu.ac.th กุสุมาลย์ น้อยผา kusumarn@tsu.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนเรื่องเตรียมความพร้อมด้านการมีสุขภาพที่ดี การมีส่วนร่วมในสังคม การมีหลักประกันและความมั่นคงทางด้านการเงินและที่อยู่อาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิตก่อนเข้าสู่สังคมสูงวัย เนื่องจากปัจจุบันประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประชากรวัยสูงอายุ ซึ่งเกิดจากความมั่นคงด้านอาหาร โภชนาการ และสาธารณสุขที่ดีขึ้น ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีทางการแพทย์ต่าง ๆ ทำให้คนมีอายุที่ยืนยาว ส่งผลให้หลายประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ รวมทั้งประเทศไทยที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ภายใต้สถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัยดังกล่าวนั้นทำให้หลายประเทศประสบปัญหาของสังคมสูงวัย เช่น ปัญหาด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคนในประเทศ ดังนั้นภาครัฐจำเป็นจะต้องเข้ามามีส่วนช่วยดูแล และจัดสวัสดิการต่าง ๆ และเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อวางโครงสร้างกับสังคมผู้สูงอายุระยะยาว โดยนำกรอบแนวคิดพฤฒพลังขององค์การอนามัยโลกมาเป็นเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับการเข้าสู่วัยสูงอายุ ได้แก่ การมีสุขภาพที่ดี (Health) การมีส่วนร่วม (Participation) การมีหลักประกันและความมั่นคง (Security) และการเรียนรู้ตอดชีวิต (lifelong learning) เพื่อให้เข้าสู่วัยสูงอายุอย่างมีศักยภาพและสามารถพึ่งพาตนเองได้ สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและประเทศชาติต่อไป</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/273386 ผลการรักษาข้อเข่าเสื่อมด้วยกระแส Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation ร่วมกับการออกกำลังกายบริหารข้อเข่าต่ออาการปวดและการทำงานของข้อเข่าในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม โรงพยาบาลอุดรธานี 2024-10-28T14:55:47+07:00 ทรงศิริ ราศรีรัตนะ songsirirasri@gmail.com <p>การรักษาทางกายภาพบำบัดโดยใช้ Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation (TENS) และการออกกำลังกายบริหารข้อเข่า เป็นหนึ่งในทางเลือกของการลดปวดในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experiment) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการลดปวดและการทำงานของข้อเข่าด้วยกระแส TENS ร่วมกับการออกกำลังกายบริหารข้อเข่า ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมจำนวน 42 คน ที่มารับการรักษาในกลุ่มงานเวชกรรมฟื้นฟู โรงพยาบาลอุดรธานี โดยแบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 21 คน ได้แก่ กลุ่มทดลองที่รักษาด้วย TENS ร่วมกับการออกกำลังกายบริหารข้อเข่า และกลุ่มควบคุมที่รักษาด้วย TENS เพียงอย่างเดียว เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และใช้แบบประเมินความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อม Modified WOMAC Score ฉบับภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา Mann-Whitney U Test และ Wilcoxon Matched-Pairs Signed-Rank test ผลการวิจัยพบว่า ภายหลังให้การรักษาในกลุ่มทดลอง มีค่า WOMAC ในด้านระดับอาการปวดลดลงจาก 10.40±6.38 เป็น 6.33±6.38 มีคะแนนข้อฝืดหรือข้อติดลดลง จาก 7.67±4.52 เป็น 3.29±4.19 และมีคะแนนความสามารถในการใช้งานข้อเข่าลดลง โดยลดลงจาก 45.71±27.46 เป็น 19.86±20.39 ในกลุ่มควบคุม พบว่า มีค่า WOMAC ในด้านระดับอาการปวดลดลงจาก 16.86±9.55 เป็น 12.95±9.17 มีคะแนนข้อฝืดหรือข้อติดลดลง จาก 6.71±3.61 เป็น 5.10±3.16 และมีคะแนนความสามารถในการใช้งานข้อเข่าลดลงจาก 48.33±25.99 เมื่อเปรียบเทียบผลการรักษาระหว่างกลุ่ม พบว่า กลุ่มทดลองมีค่า WOMAC ทุกองค์ประกอบดีขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) สรุปได้ว่าการให้การรักษาด้วย TENS ร่วมกับการออกกำลังกายบริหารข้อเข่าเป็นเวลา 4 สัปดาห์ มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด ข้อฝืดหรือข้อติด ดังนั้น ควรให้การรักษาร่วมกันเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน และส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/274893 ประสิทธิผลของโปรแกรมเสริมสร้างสมรรถนะผู้สูงอายุในการป้องกันการหกล้ม และความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยของผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ 2024-10-30T14:23:42+07:00 สินศักดิ์ชนม์ อุ่นพรมมี DoctorSinsakchon@gmail.com บุษรินทร์ พูนนอก budsarin.pum@gmail.com สุกัญญา วัชรประทีป toota20toota@yahoo.com จีรภา ผ่องแผ้ว pr.hpc9@gmail.com พัชราพรรณ หาญพิทักษ์ชัยกุล scoucer.lfc@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะผู้สูงอายุในการป้องกันการหกล้มและความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อยต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถในการทรงตัว ปริมาณโปรตีนที่กินใน 1 วัน ความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย และความกลัวการหกล้ม กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ ต.หนองบัวศาลา อ.เมือง จ.นครราชสีมา ที่สมัครใจและเข้าร่วมโปรแกรมครบทุกครั้ง จำนวน 58 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือโปรแกรมการเสริมสร้างสมรรถนะผู้สูงอายุในการป้องกันการหกล้มและความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อ ประกอบด้วยกิจกรรมสัปดาห์ละครั้งๆ ละ 3 ชั่วโมง จำนวน 6 ครั้ง และเครื่องมือวัดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยการวัดค่าแรงบีบมือ เครื่องมือวัดความสามารถในการทรงตัว ได้แก่ Five Times Sit-to-Stand (FTSST) และ Timed Up and Go Test (TUG) แบบวัดปริมาณโปรตีนที่กินใน 1 วัน แบบประเมินความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย และแบบสอบถามความกลัวการหกล้มฉบับย่อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณา และ Paired t-test กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นหญิง ร้อยละ 81.0 อายุระหว่าง 60-87 ปี มีอายุเฉลี่ย 69.59±7.0 ปี ประสิทธิผลของโปรแกรมระหว่างก่อนและหลังสิ้นสุดโปรแกรม 2 เดือน พบว่า ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อของกลุ่มตัวอย่างทดสอบด้วยการวัดค่าแรงบีบมือ สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=3.216, p&lt;0.002) เวลาที่ใช้ในการทดสอบความสามารถในการทรงตัวด้วย FTSST ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-5.821, p&lt;0.001) และคะแนนความกลัวการหกล้ม ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม (t=-4.646, p&lt;0.001) ไม่พบความแตกต่างในเวลาที่ใช้ในการทดสอบความสามารถในการทรงตัวด้วย TUG ปริมาณโปรตีนที่กินใน 1 วัน และคะแนนความเสี่ยงต่อภาวะมวลกล้ามเนื้อน้อย</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/275529 ความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจในการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีของนิสิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี 2024-11-28T09:28:55+07:00 อลิชา ศรีวชรฤทธิ์ alicha.sri10@gmail.com กนกพร กิ่งสวัสดิ์ kanokpornkingsawat@gmail.com เสาวนีย์ ทองนพคุณ saowaneehe@hotmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตั้งใจในการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีของนิสิตมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย ปีการศึกษา 2566 จำนวน 470 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multistage Sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ ทดสอบคุณภาพเครื่องมือโดยการหาความตรงเชิงเนื้อหา และค่าความเชื่อมั่น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาในรูปของจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และสถิติวิเคราะห์ไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า นิสิตส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 62.8 กลุ่มสาขาวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ร้อยละ 47.4 มีประสบการณ์มีแฟน/ คู่รัก/ คนคุย ที่ผ่านมา ร้อยละ 76.4 นิสิตส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับเชื้อเอชพีวี ความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศเพื่อการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี แรงสนับสนุนจากสังคมเพื่อการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีและมีความตั้งใจในการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยที่สัมพันธ์กับความตั้งใจในการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) ได้แก่ เพศ เกรดเฉลี่ย (GPA) จำนวนประสบการณ์มีเพศสัมพันธ์ ความรู้เกี่ยวกับเชื้อเอชพีวี ความรอบรู้ด้านสุขภาพทางเพศเพื่อการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี และแรงสนับสนุนจากสังคมเพื่อการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าควรจัดทำโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี เพื่อการป้องกันที่เหมาะสมและลดปัญหาโรคที่เกิดจากเชื้อเอชพีวีในนิสิตมหาวิทยาลัย</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/276738 การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างค่า HbA1c ในช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนของมารดาและทารก ในกลุ่มมารดาที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์และกลุ่มมารดาที่ไม่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 2025-03-11T17:31:36+07:00 กัลยาณี เต็งรัตนประเสริฐ kantapoopae@gmail.com <p>โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational diabetes mellitus; GDM) เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในมารดาและทารก ค่า HbA1c ในไตรมาสที่ 2 และ 3 เป็นตัวชี้วัดภาวะแทรกซ้อนได้ การศึกษาแบบ cohort เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างค่า HbA1c ในไตรมาสที่ 2 และ 3 กับผลลัพท์ของมารดาและทารก ใน GDM และ Non-GDM ศึกษาในมารดา 94 ราย (GDM 47 ราย และ Non-GDM 47 ราย) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม วัดค่า HbA1c ในไตรมาสที่ 2 (20–28 สัปดาห์) และไตรมาสที่ 3 (34–38 สัปดาห์) โดยเปรียบเทียบผลลัพธ์มารดาและทารก log binomial regression พร้อมวิเคราะห์ค่าจุดตัดของ HbA1c ด้วย ROC ผลการศึกษาพบว่าค่า HbA1c ในไตรมาสที่ 2 ของกลุ่ม GDM สูงกว่ากลุ่ม Non-GDM อย่างมีนัยสำคัญ (5.13 ± 1.16 เทียบกับ 4.71 ± 0.43; p = 0.02) ส่วนไตรมาสที่ 3 มีแนวโน้มสูงกว่า โดยแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (5.24 ± 0.61 เทียบกับ 5.00 ± 0.59; p = 0.05) ทารกในกลุ่ม GDM พบภาวะ Hypoglycemia สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (34.04% เทียบกับ 4.26%; adj. RR = 6.73, 95% CI: 1.50–30.02) และพบภาวะ Hyperbilirubinemia มากกว่า (44.68% เทียบกับ 21.28%; adj. RR = 1.96, 95% CI: 0.87–4.42) แต่ไม่มีนัยสำคัญ จุดตัด HbA1c ในไตรมาสที่ 2 ที่ 4.85 ให้ค่า sensitivity 53% specificity 51% (ROC 0.52) และในไตรมาสที่ 3 ที่ 5.35 ให้ค่า sensitivity 47% specificity 75% (ROC 0.61) สรุปได้ว่าค่า HbA1c ในไตรมาสที่ 2 กลุ่ม GDM สูงกว่ากลุ่ม Non-GDM อย่างมีนัยสำคัญ และทารกในกลุ่ม GDM มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะ Hypoglycemia อย่างไรก็ตาม ค่า ROC ที่ต่ำกว่า 0.7 ในทั้งสองไตรมาสแสดงถึงข้อจำกัดในการพยากรณ์โดยใช้ HbA1c เพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วยเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ภาวะแทรกซ้อน</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/277383 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยเป็นวัณโรคปอดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี 2025-03-16T14:39:14+07:00 ปุริมปรัชญ์ สุนันทา Purimpruch.ann1992@gmail.com เมรีรัตน์ มั่นวงศ์ mereerat_s@hotmail.com <p>การศึกษาแบบย้อนหลังไม่จับคู่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยเป็นวัณโรคปอดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ขึ้นทะเบียนรักษาในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช เดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มผู้ป่วยและกลุ่มควบคุม จำนวนกลุ่มละ 132 ราย รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียน วิเคราะห์ถดถอยพหุลอจิสติก (Multiple logistic regression) เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยเป็นวัณโรคปอด นำเสนอขนาดความสัมพันธ์ด้วยค่า Adjusted odds ratio (OR<sub>adj</sub>) และช่วงเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 (95%CI) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยเป็นวัณโรคปอดในผู้ป่วยเบาหวาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value &lt; 0.05) ได้แก่ เพศชาย (OR<sub>adj</sub>=6.26; 95% CI = 2.40 – 16.36) ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) &lt;18.5 กก./ม<sup>2</sup> (OR<sub>adj</sub>=16.35; 95% CI = 4.17 – 64.17) ระยะเวลาป่วยเป็นเบาหวาน 5-10 ปี (OR<sub>adj</sub>=6.52; 95% CI = 1.63 – 26.14) การออกกำลังกายนานๆ ครั้ง (OR<sub>adj</sub>=39.99; 95% CI = 14.85 – 107.69) และการสัมผัสใกล้ชิด/ดูแลผู้ป่วยวัณโรค (OR<sub>adj</sub>=8.62; 95% CI = 3.50 - 21.24) ผลการวิจัยเหล่านี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการคัดกรองวัณโรคเป็นประจำและมาตรการป้องกันที่มุ่งเป้าไปยังผู้ป่วยเบาหวานที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานที่สัมผัสใกล้ชิด/ดูแลผู้ป่วยวัณโรค ควรมีการติดตามเยี่ยมบ้านอย่างใกล้ชิดและให้ความรู้ในการป้องกันวัณโรคในกลุ่มนี้ วางระบบในการคัดกรอง ส่งต่อ รักษาอย่างรวดเร็วเพื่อลดการแพร่เชื้อในชุมชนต่อไป</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmpubu/article/view/272421 การศึกษาเปรียบเทียบ union rate ระหว่างการใช้ Intramedullary nail กับ interlocking plate ในการรักษาผู้ป่วย intertrochanteric fracture of femur ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 2024-08-26T15:40:33+07:00 ถนอมชัย โคตรวงษา thanomchaik@yahoo.com วิรัมภา ละแมนชัย wiram3040@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบ union rate ระหว่างการผ่าตัดรักษาโดยใช้ intramedullary nail กับ interlocking plate ในผู้ป่วย intertrochanteric fracture ในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ วิธีการศึกษา โดยใช้ ผู้เข้าร่วม 304 คน (อายุเฉลี่ย 73 ปี, 41-92 ปี) ที่มีกระดูก intertrochanteric หักตาม Classification AO/OTA 31A1.1, 31A2.1, 31A3.1, 31A1.2, 31A.2, 31A2.2, 31A3.2 และได้รับการผ่าตัดภายใน 2 อาทิตย์หลังเกิดเหตุ ที่ได้รับการถ่ายภาพรังสีเอกเรย์สะโพก (Both hip AP view กับ Lateral cross table view) โดยวัด Radiographic union at 3, 6 months และคำนวณ union rate ที่ 3 และ 6 เดือน ผลการศึกษา พบว่า การวัด union rate มีค่าเป็น 0 ที่ 3 เดือนทั้งการผ่าตัดด้วยการใช้ plate หรือ nail และค่า union rate ที่ 6 เดือนมีจำนวนคนที่ union ของกลุ่มที่ใช้ plate 127 คน คิดเป็น 83.6% และกลุ่มที่ใช้ nail 123 คนคิดเป็น 80.9% ซึ่งทั้งสองกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .051) และจากการศึกษาดูความแตกต่างของระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล ในกลุ่มของ plate กับ nail ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.245) และอัตราการเสียเลือดในการผ่าตัดนั้นก็ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.789) แต่พบว่ามีความแตกต่างกันในระยะเวลาของการผ่าตัดที่ใช้ (p&lt; 0.001) ดังนั้นสรุปได้ว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญของการเกิด union rate ในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ plate และ nail และไม่มีความแตกต่างกันในด้านอัตราการเสียเลือดและระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาล สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญคือระยะเวลาในการผ่าตัด ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจในการเลือกใช้ implant ในการผ่าตัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ในอนาคตได้</p> 2025-04-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี