ปริมาณโซเดียมในอาหารที่บริโภคของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง บ้านดอนกลางใต้ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
คำสำคัญ:
ปริมาณโซเดียม, การบริโภคอาหาร, ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปริมาณโซเดียมในอาหารที่บริโภคและเปรียบเทียบปริมาณการบริโภคโซเดียมในอาหารของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน ในบ้านดอนกลางใต้ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง จำนวน 28 คน เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสัมภาษณ์และแบบบันทึกการบริโภคอาหาร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Mann-Whitney test และ Kruskal-Willis one –way analysis of variance ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีการบริโภคอาหารที่มีปริมาณโซเดียมที่เกินมาตรฐาน (>2,400 มก./วัน) (ร้อยละ 75.00) โดยมีค่าเฉลี่ยปริมาณโซเดียม เท่ากับ 2,793.50 มก./วัน (P25 = 2,441.25 , P75 = 3,399.00 มก./วัน) เมื่อเปรียบเทียบปริมาณโซเดียมในอาหารของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำแนกตามข้อมูลทั่วไป ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ระยะเวลาที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง สถานภาพสมรส บุคคลที่อาศัยอยู่ร่วมกัน บุคคลที่ดูแลเรื่องอาหาร ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับอาหารที่มีโซเดียม พบว่า มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยในอาหารที่บริโภคแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) หน่วยงานหรือบุคลากรทางด้านสุขภาพในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ควรมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมและรณรงค์ให้ความรู้กับกลุ่มผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ที่ดูแลผู้ป่วย ในเรื่องแหล่งอาหารและปริมาณอาหารที่มีโซเดียมเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเลือกบริโภคได้เหมาะสม
Downloads
เอกสารอ้างอิง
2. จันจิราภรณ์ วิชัย, สายสมร พลดงนอก และธนพล ต่อปัญญาเรือง. ความรู้เรื่องโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension). ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา; 2557.
3. สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย พ.ศ. 2559-2568. กรุงเทพฯ :องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์; 2559.
4. ชัชดนัย มุสิกไชย, พงษ์ วรพงศ์พิเชษฐ และสุจินต์ ชวิตรานุรักษ์. คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงด้วยการแพทย์ผสมผสาน. กรุงเทพฯ : สำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก; 2558.
5. นาตยา เกรียงชัยพฤกษ์, มนทกานติ ตระกูลดิษฐ์ และอำนาจ ค้ายาดี. พฤติกรรมการบริโภคหวาน มัน เค็ม. กรุงเทพฯ : กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข; 2556.
6. ณัฐรินีย์ หนูเทพ. และสกาวเดือน ขาวล้วน. การศึกษาความรู้ พฤติกรรมและ ทัศนคติการบริโภคอาหารและออกกำลังกายของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน เส้นเลือดในสมอง และภาวะอ้วนหมู่ที่ 4,5,7 ตำบลบ่อหิน อำเภอสีเกา จังหวัดตรัง: รายงานวิจัยสถานีอนามัยบ้านไร่ออก; 2553.
7. ธิดารัตน์ อภิญญา. รูปแบบการดำเนินงานป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อในวิถีชีวิตด้วยการลดการบริโภคเกลือ. นนทบุรี : สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2556.
8. ลือชัย ศรีเงินยวง, ธนิตา วงษ์จินดา และฐนิดา อภิชนะกุลชัย. สถานการณ์การบริโภคเกลือโซเดียมในประชากรไทย. กรุงเทพฯ : สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2550.
9. สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. การสำรวจปริมาณการบริโภคโซเดียมคลอไรด์ของประชากรไทย. นนทบุรี; 2552.
10. อาภรณ์ ดีนาน, สมสมัย รัตนกรีฑากุล, สงวน ธานี, วชิราภรณ์ สุมนวงศ์ และชัชวาล วัตนะกุล. การลดปัจจัยเสี่ยงและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง (ระยะที่ 2). 2557.
11. สมจิตร หนุเจริญกุล. การพยาบาลโรคความดันโลหิตสูง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. 2542.
12. สมัย สูหญ้านาง. ข้อมูลโรคความดันโลหิตสูง. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบัววัด. 2560.
13. ปธิตา สุริยะ. ความรู้ทางโภชนาการและการบริโภคอาหารของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลศูนย์เชียงรายประชานุเคราะห์ [วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2553.
14. พชรวดี กาญจรัส และ ณิตชาธร ภาโนมัย. การบริโภคโซเดียมในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ. วารสารโรงพยาบาลสกลนคร.2558; 18(3): 95-106.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารการแพทย์และสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอกเพื่อการพัฒนางานด้านวิชาการ แต่ต้องได้รับการอ้างอิงที่ถูกต้องเหมาะสม