ผลการพัฒนารูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์ การศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการเสียชีวิตจากการจมน้ำ คำนวณกลุ่มตัวอย่างจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูง จำนวน 283 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบและทดลองใช้ในโรงเรียนต้นแบบ โดยมีขั้นตอนการทำวิจัยซึ่งประยุกต์ใช้รูปแบบ PAOR คือ ขั้นวางแผนการดำเนินการ (Planning) ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) ขั้นสังเกต (Observation) และขั้นสะท้อนผล (Reflection) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแนวคำถามในการสนทนากลุ่ม และระยะที่ 3 ประเมินผลรูปแบบฯ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามความรู้ ความรอบรู้และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการจมน้ำ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า
- 1. ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการจมน้ำของกลุ่มนักเรียน ในภาพรวม 5 ทักษะ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ร้อยละ 05 มีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับมีปัญหา รองลงมาเป็นระดับพอเพียง ร้อยละ 32.51 ระดับไม่พอเพียง ร้อยละ 16.25 และระดับดีเยี่ยม ร้อยละ 9.19 ตามลำดับ ควรสอดแทรกการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพไปกับกิจกรรมของโรงเรียน ได้แก่ การให้ความรู้ออนไลน์ รวมไปถึงการทำเทคโนโลยีเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์
- 2. รูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์ มีองค์ประกอบ ดังนี้ 1) การคืนข้อมูลเพื่อร่วมวางแผน 2) การทำงานแบบบูรณาการในรูปแบบคณะทำงานจากทีมผู้ก่อการดีป้องกันการจมน้ำ 3) การสร้างและพัฒนาการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับเครือข่ายทีมผู้ก่อการดีป้องกันการจมน้ำ 4) การคัดเลือกพื้นที่โรงเรียนต้นแบบ 5) การติดตามประเมินผล โดยทำการทดลองใช้โปรแกรมการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ภายหลังการทดลองใช้โปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการจมน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 05)
สรุปได้ว่า รูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำสามารถพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการจมน้ำได้
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่พิมพ์ในวารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ถือว่าเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัยและวิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง ไม่ใช่ความเห็นของสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง หรือคณะบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค, กองป้องกันการบาดเจ็บ. สถานการณ์ตกน้ำ จมน้ำของเด็กในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2559-2562. นนทบุรี: รำไทยเพรส จำกัด; 2565.
ภูวสิทธิ์ สิงห์ประไพ. สถานการณ์และมาตรการป้องกันการตกน้ำ จมน้ำของเด็กในประเทศไทย. 2558. ใน: บล็อก Knowledge Management BCNS. [อินเทอร์เน็ต]. สระบุรี: วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สระบุรี; c2011 - [เข้าถึงเมื่อ 25 ต.ค. 2566]. [ประมาณ 1 น.]. เข้าถึงได้จาก http://km-bcns.blogspot.com/2015/11/blog-post.html
กรมควบคุมโรค, กองป้องกันการบาดเจ็บ. ประเด็นข้อมูลสำคัญสำหรับการรณรงค์ป้องกันเด็กจมน้ำ. 2563. ใน; กรมควบคุมโรค. [อินเทอร์เน็ต]. นนทบุรี: กรม, กอง; c2019 - [เข้าถึงเมื่อ 25 ต.ค. 2566]. [ประมาณ 1 น.]. เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/dip/news.php?news=11767&deptcode=dip&news_views=30
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 จังหวัดนครราชสีมา, กลุ่มโรคไม่ติดต่อ, งานป้องกันการบาดเจ็บ. รายงานข้อมูลการเสียชีวิตจากการจมน้ำ พ.ศ. 2562-2566 [เอกสารอัดสำเนา]. นครราชสีมา: กลุ่มโรคไม่ติดต่อ; 2566.
กระทรวงสาธารณสุข, กรมควบคุมโรค, กองป้องกันการบาดเจ็บ. รายงานประจำปี 2566 [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์; 2567 [เข้าถึงเมื่อ 25 ต.ค. 2566]. เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/dip/journal_detail. php?publish=15746&deptcode=dip
ส้ม เอกเฉลิมเกียรติ. ทบทวนวรรณกรรมการจมน้ำของเด็ก. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2550.
กระทรวงสาธารณสุข, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, กองสุขศึกษา. การเสริมสร้างและประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 7-14 ปีและกลุ่มประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป (ฉบับปรับปรุง ปี 2561). นนทบุรี: กองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข; 2561.
ชลดา อานี, กรัณฑรัตน์ บุญช่วยธนาสิทธิ์, ประเสริฐศักดิ์ กายนาคา. ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพโดยการจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถามเพื่อการสร้างเสริมพฤติกรรมการป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ในนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดนนทบุรี. วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์. 2560;32(2):137-43.
กระทรวงสาธารณสุข, กรมอนามัย. แนวทางการพัฒนาสู่โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literate School : HLS) [อินเตอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: สำนักงานกิจการโรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2563 [เข้าถึงเมื่อ 25 ต.ค. 2566]. เข้าถึงได้จาก https://hp.anamai.moph.go.th/th/manuals-of-official/download/?did=209064&id=91024&reload=
Krejcie RV, Morgan DW. Determining sample size for research activities. SAGE Journal. 1970;30(3):607-10.
Nutbeam D. Health literacy as a public health goal: a challenge for contemporary health education and communication strategies into the 21st century. Health Promotion International. 2000;15(3):259–67.
ณฐกร นิลเนตร, เพ็ญวิภา นิลเนตร. การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพตามหลัก 3อ. 2ส. ของประชาชนวัยทำงานในพื้นที่หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เขตสุขภาพที่ 6. วารสารสภาการสาธารณสุขชุมชน. 2566;5(1):27-38.
วีระ กองสนั่น, อมรศักดิ์ โพธิ์อ่ำ. ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันและควบคุมโรคไข้เลือดออกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเขตตำบลหนองใหญ่ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์. วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพและการสาธารณสุขชุมชน. 2563;3(1):35-44.
วรรณศิริ นิลเนตร, วาสนา เรืองจุติโพธิ์พาน. ความรอบรู้ด้านสุขภาพกับวิชาชีพพยาบาล. วารสารคุณภาพชีวิตกับกฎหมาย. 2562;15(2):1-18.
เอื้อจิต สุขพูล, ชลดา กิ่งมาลา, ภาวิณี แพงสุข, ธวัชชัย ยืนยาว, วัชรีวงค์ หวังมั่น. ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนกลุ่มวัยทำงาน. วารสารวิชาการสาธารณสุข. 2563;29(3):419-29.
ศิรินภา วรรณประเสริฐ. ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงที่มีน้ำหนักเกิน. วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ. 2562;20(2):92-104.