https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/issue/feed วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง 2025-12-08T16:44:00+07:00 Kritpisut Maitongngam, M.D. training10iudc@gmail.com Open Journal Systems <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ดำเนินการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลการวิจัย และนวัตกรรมเกี่ยวกับโรคและภัยสุขภาพ ของบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมควบคุมโรค และองค์กรอื่น ๆ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการติดต่อ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับโรคและภัย<br />สุขภาพ </span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><strong>ISSN 2985 - 1858 (print) , ISSN 2985 - 1866 (online) </strong></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">โดยตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</span></span></p> <p style="margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt;"><strong>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</strong></p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278961 การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตระหนักของสังคมที่มีต่อพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน กรณีศึกษาจังหวัดสระบุรี 2025-05-20T07:06:07+07:00 ยอดชาย สุวรรณวงษ์ yodchai53@hotmail.com ชฎากาญจน์ ชาลีรัตน์ chadakhan2557@gmail.com เสาวลักษณ์ นาคชำนาญ saowalak.nakchamnan@gmail.com <p>การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น การป้องกันเยาวชนจากภัยคุกคามของบุหรี่ไฟฟ้า จำเป็นต้องขับเคลื่อนทุกภาคส่วนภายใต้ความตระหนักร่วมของสังคมอันเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีส่วนร่วมและความร่วมมือของสังคม การวิจัยแบบผสมผสานครั้งนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความตระหนักของสังคมและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความตระหนักของสังคมต่อพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชน และแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคมในการเฝ้าระวังป้องกันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนในจังหวัดสระบุรี กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 694 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินงานด้านบุหรี่ไฟฟ้า 15 คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถามออนไลน์ และประเด็นการคำถามสำหรับการสนทนา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน และวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหญิง ร้อยละ 50.29 อายุ 20-29 ปี ร้อยละ 26.37 โสด ร้อยละ 54.76 จบมัธยมศึกษา ร้อยละ 36.46 ทำงานบริษัท/ราชการ ร้อยละ 35.59 อาศัยในเมือง ร้อยละ 50.86 ไม่สูบบุหรี่ ร้อยละ 63.54 และไม่ได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ ร้อยละ 71.61 สังคมมีความตระหนักต่อปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนในระดับมากที่สุด (𝑥̅=4.24) โดยเฉพาะด้านบทบาทของสังคม (𝑥̅=4.47) และด้านความพร้อมมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา (𝑥̅=4.42) โดยปัจจัยด้าน เพศ อายุ การศึกษา การเคยสูบ และลักษณะชุมชน มีความสัมพันธ์กับความตระหนักอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.005) แนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสังคม คือ การสร้างเครือข่ายเยาวชนต้นแบบ การพัฒนาระบบรายงานผ่านแอปพลิเคชัน การจัดกิจกรรมทางเลือกสร้างสรรค์ และการเสริมศักยภาพผู้ปกครอง ครู และชุมชน</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278191 การศึกษาผลภูมิคุ้มกันและปัจจัยที่มีผลต่อการตอบสนองหลังได้รับวัคซีนกระตุ้นไวรัสตับอักเสบบี ในบุคลากรของสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง 2025-04-22T13:41:03+07:00 เขมกร เที่ยงทางธรรม kjutamas121141@gmail.com จุฑามาศ เกษสะอาด kjutamas121141@gmail.com นาริฐา ทาคำสุข kjutamas121141@gmail.com วัชรานันท์ จักรช่วย kjutamas121141@gmail.com วรงค์กช เชษฐพันธ์ kjutamas121141@gmail.com จงจินต์ มาลัย kjutamas121141@gmail.com <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลภูมิคุ้มกันหลังรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี และเปรียบเทียบปัจจัยกับผลภูมิคุ้มกันหลังรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นไวรัสตับอักเสบบีในบุคลากร กลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรที่ได้รับการเจาะเลือดตรวจ HBs Ag และ anti-HBs โดยใช้ชุดทดสอบหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบีแบบรวดเร็ว (HBs Ab) ที่มีผลตรวจไม่พบ HBs Ag ไม่มีภูมิคุ้มกัน และได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี 1 เข็ม หรือ 3 เข็ม ระหว่างเดือน มกราคม ถึง กันยายน พ.ศ. 2567 จำนวน 64 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบบันทึกข้อมูลที่ปรับปรุงจากแบบฟอร์มการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี กรมควบคุมโรค วิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงวิเคราะห์ paired t- test ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 64 คน เป็นเพศหญิง ร้อยละ 79.7 อายุส่วนใหญ่ ระหว่าง 20-32 ปี ร้อยละ 48.4 สถานภาพโสด ร้อยละ 71.9 มีโรคประจำตัว ร้อยละ 37.5 ได้รับวัคซีน 1 เข็ม และ 3 เข็ม ร้อยละ 59.4, 40.6 ตามลำดับ ผลการตรวจภูมิคุ้มกันหลังรับวัคซีน เป็นผลบวก ร้อยละ 93.7 ทดสอบสมมติฐาน พบว่า โรคประจำตัว ระยะห่างก่อนเจาะเลือด และจำนวนฉีดวัคซีน ที่แตกต่างกันมีผลภูมิคุ้มกันหลังรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สรุปผู้ที่ได้รับวัคซีนตรวจพบภูมิคุ้มกันถึง ร้อยละ 93.7 และพบว่าปัจจัยโรคประจำตัว ระยะเวลาการตรวจหาภูมิและจำนวนครั้งที่ได้รับวัคซีนมีผลต่อการตรวจพบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นรูปแบบการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่จำเป็นต้องเจาะดูภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน และควรศึกษาเพิ่มเติมในรายที่ มีผลภูมิคุ้มกันเป็นลบหลังรับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ภายในระยะเวลา 1 เดือน เพื่อหาถึงปัจจัยต่อไป</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/280154 ผลการดำเนินงานคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี ในประชากรกลุ่มเสี่ยงเชิงรุกในชุมชน ภายใต้ความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 4 2025-06-10T10:34:00+07:00 กัทลี หารคุโน suchanwat.somsorn@bcnnon.ac.th สุชาญวัชร สมสอน suchanwat.somsorn@bcnnon.ac.th <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานคัดกรองของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี เชิงรุกในชุมชนในประชากรกลุ่มเสี่ยง ภายใต้ความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 4 กลุ่มตัวอย่างเป็นข้อมูลประชากรที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปที่เข้ารับการคัดกรองการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี <br />ที่ได้รับการบันทึกในระบบรายงานผลการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ของกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค จำนวน 2,207 คน ผลการศึกษา พบว่าผู้ที่มีผลการตรวจ HBsAg เป็นบวก คิดเป็นร้อยละ 2.13 และผู้ที่มีผล Anti-HCV เป็นบวก คิดเป็นร้อยละ 1.04 โดยกลุ่มที่พบผลการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีและซี เป็นบวกส่วนใหญ่อยู่ในช่วงส่วนใหญ่อยู่ในมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 48.94 และ 52.17 ตามลำดับ และมีประวัติเกิดก่อน <br />ปี พ.ศ. 2535 ร้อยละ 94.00 และร้อยละ 100.00 ดังนั้นในการป้องกันควบคุมโรคไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ควรพัฒนาและเชื่อมโยงระบบรายงานผลคัดกรองกับระบบบริการสุขภาพ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนชุดตรวจและงบประมาณอย่างเพียงพอจาก อปท. ในทุกระดับพื้นที่ พัฒนาศักยภาพบุคลากร อปท. และเจ้าหน้าที่ รพ.สต. <br />ให้มีศักยภาพในการคัดกรองและให้คำปรึกษาส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบติดตามผลการรักษาให้ต่อเนื่องโดยใช้กลไกชุมชนหรือ Care Coordinator เพื่อให้เกิดการป้องกันควบคุมการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และ ซีที่ยั่งยืนต่อไป</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/279035 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิสของประชาชน ตำบลทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช 2025-05-07T13:19:34+07:00 วิภาพร เตวิชชะนนท์ tewitchanon@gmail.com สุนารี ทะน๊ะเป็ก 6624782234@rumail.ru.ac.th มิ่งขวัญ ศิริโชติ 6624782234@rumail.ru.ac.th <p>โรคเลปโตสไปโรซิสเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญในภาคใต้ พบผู้ป่วยทั้งในชนบทและเขตเมืองโดยเฉพาะช่วงฤดูฝน ที่มีน้ำท่วมขัง และการกระจายเชื้อของสัตว์รังโรคโดยเฉพาะหนูซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการระบาด แต่พบว่ายังมีการศึกษาการรับรู้ที่ประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในจังหวัดนครศรีธรรมราชและภาคใต้น้อย งานวิจัยนี้ทำการสำรวจแบบตัดขวางเพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิสของประชาชน กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชน อายุ 25 – 65 ปี ที่อาศัยในตำบลทอนหงส์ อำเภอพรหมคีรี <br />จังหวัดนครศรีธรรมราช 269 คน สุ่มแบบชั้นภูมิและสุ่มอย่างง่าย เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 47 ข้อ มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ทั้งฉบับ เท่ากับ 0.91 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิสอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 97.77 การรับรู้ในการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส โดยรวมอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 90.70 และพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการรับรู้กับพฤติกรรมการป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยงของโรค (r=0.263) การรับรู้ความรุนแรงของโรค (r=0.244) การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันโรค (r=0.371) การรับรู้อุปสรรคในการป้องกันโรค (r=0.159) และการรับรู้โดยรวม (r=0.363)</p> <p> ผลวิจัยนำไปบูรณาการในการพัฒนาโปรแกรมและกำหนดนโยบายเพื่อป้องกันควบคุมโรคเลปโตสไปโรซิสทั้งเขตเมืองและเขตชนบทต่อไป </p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/279077 การประเมินผลและติดตามหลักสูตรเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพ ในพื้นที่เขตเมือง สำหรับผู้บริหารท้องถิ่น 2025-10-06T08:49:24+07:00 จารุณี ระบายศรี jaarja2499@gmail.com กนกรัตน์ ไพทูลย์ tornado.nnt@gmail.com จุฑามาศ ลิ้มสมบูรณ์ jutamas.lims@gmail.com กชามาส สินธุชัย kachafilm.ks@gmail.com ชนันพร จั่นนุ้ย ploy.dasiudc@gmail.com บังเอิญ ภูมิภักดิ์ talentandsky@gmail.com กฤตภิษัช ไม้ทองงาม mail2kritpisut@gmail.com ไผท สิงห์คำ phathais@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงประเมินผลแบบผสมผสาน (Mixed-Methods Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลและติดตามประสิทธิภาพของหลักสูตร "เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคและภัยสุขภาพในพื้นที่เขตเมือง สำหรับผู้บริหารท้องถิ่น" รุ่นที่ 1 โดยประยุกต์ใช้กรอบการประเมิน CIPP Model ในการประเมิน 4 ด้าน ได้แก่ บริบท (Context), ปัจจัยนำเข้า (Input), กระบวนการ (Process) และผลลัพธ์ (Product) กลุ่มตัวอย่างคือคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรและผู้สำเร็จหลักสูตร จำนวน 44 คน ซึ่งเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ด้านบริบท (Context) หลักสูตรได้รับการประเมินอยู่ในระดับมาก โดยสามารถตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในเขตเมืองได้เหมาะสม มีข้อมูลและกรณีศึกษาที่ทันสมัย จุดแข็งคือการเรียนรู้จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ<br />และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริง ด้านปัจจัยนำเข้า (Input) ผลการประเมินอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด โดยมีจุดแข็งด้านคุณภาพของวิทยากรที่มีการพัฒนาผลงานทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง และมีความพร้อมของทรัพยากรสนับสนุนการเรียนรู้ <br />เช่น สภาพแวดล้อมและงบประมาณ ด้านกระบวนการ (Process) ผลการประเมินอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด สะท้อนถึงการบริหารจัดการหลักสูตรที่เป็นระบบ มีลำดับเนื้อหาที่เหมาะสม และมีกระบวนการวัดผลที่โปร่งใสและยุติธรรม ด้านผลลัพธ์ (Product): ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.001) โดยหลังจบหลักสูตรได้มีการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จริงในพื้นที่ เช่น การบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น และการพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรค ผู้เข้าร่วมอบรมมีความพึงพอใจในระดับสูงมาก และผู้เข้ารับการอบรมร้อยละ100 ยืนยันว่าจะแนะนำหลักสูตรนี้ให้ท่านอื่น ๆ</p> <p>ข้อเสนอแนะสำคัญคือ ควรปรับเนื้อหาและกิจกรรมให้สอดคล้องกับบริบทเฉพาะของแต่ละท้องถิ่นมากขึ้น เพิ่มการฝึกภาคปฏิบัติ แยกหลักสูตรสำหรับผู้บริหารเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ และควรมีการติดตามผลหลังการอบรมในระยะ 6 เดือนเพื่อประเมินการนำความรู้ไปใช้จริงอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278409 ทัศนคติต่อวัคซีนชีวสังเคราะห์ของคนไทยช่วงอายุ 15-60 ปี 2025-05-13T07:42:12+07:00 กานต์พิชชา แก้วของแก้ว kkaewkongkaew@gmail.com พรกนก พุฒพิสุทธิ์ ppootpisu@gmail.com จิรายุ ปราณปรีชากุล poyjirayu29@gmail.com อิงค์ฟ้า รองเรืองกุล rsvn.baankhaolak@gmail.com อรรจกร หวลเจริญทนต์ audjagordon@gmail.com ฐิติชญาน์ เหมะรักษ์ jeanshemarak@gmail.com นันทวรรณ วัฒนะโชติ pwatanachote@gmail.com รัตน์ศิกานต์ พิพัฒน์สุทธิกุล 2903anfield@gmail.com ศุจิมน มังคลรังษี kkaewkongkaew@gmail.com <p>ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวัคซีนยุคใหม่ โดยเฉพาะวัคซีนชนิด mRNA ที่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว มีความปลอดภัยสูง และตอบสนองต่อโรคระบาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การยอมรับวัคซีนที่พัฒนาจากเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ในกลุ่มประชาชนไทยยังคงมีข้อจำกัด เนื่องจากความรู้ที่ไม่เพียงพอ ความกังวลด้านความปลอดภัย และปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินระดับความรู้ของประชาชนไทยอายุระหว่าง 15 - 60 ปีเกี่ยวกับวัคซีนชีววิทยาสังเคราะห์ ศึกษาทัศนคติที่มีต่อการยอมรับวัคซีน และวิเคราะห์ปัจจัยที่สามารถทำนายความเต็มใจในการรับวัคซีนดังกล่าว โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 894 คน ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.33 มีระดับความรู้ต่ำเกี่ยวกับวัคซีนชีววิทยาสังเคราะห์ แต่กลับพบว่าร้อยละ 54.14 มีทัศนคติในระดับปานกลางต่อการยอมรับวัคซีน ปัจจัยความรู้มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการยอมรับวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.001) ในขณะที่เพศ อายุ รายได้ และระดับการศึกษาไม่มีนัยสำคัญ</p> <p>จากผลการศึกษานี้สามารถสรุปได้ว่า แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เกี่ยวกับวัคซีนชีววิทยาสังเคราะห์ไม่สูงนัก แต่ก็ยังมีทัศนคติในเชิงบวกต่อการยอมรับวัคซีนในระดับหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของปัจจัยอื่นนอกเหนือจากความรู้เชิงวิชาการ เช่น ความไว้วางใจต่อแหล่งข้อมูล การสื่อสารที่เข้าใจง่าย และบริบททางสังคมวัฒนธรรม ดังนั้น การสื่อสารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ครอบคลุม และเข้าถึงง่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มการยอมรับเทคโนโลยีวัคซีนยุคใหม่ในประชาชนไทยอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/280385 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์ต่อความร่วมมือในการรับประทานยา และผลตรวจเสมหะในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ 2025-07-03T07:29:07+07:00 นิภาพร ฝางคำ niphaporn.auy@gmail.com ปชาณัฎฐ์ นันไทยทวีกุล niphaporn.auy@gmail.com ศิรินภา จิตติมณี niphaporn.auy@gmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบความร่วมมือในการรับประทานยาในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ ก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์ เปรียบเทียบความร่วมมือในการรับประทานยาในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์ และกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลปกติ ประเมินผลการตรวจเสมหะจากพบเชื้อเป็นไม่พบเชื้อวัณโรคในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์ รูปแบบการศึกษาเป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (quasi-experimental research) แบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The pretest-posttest design) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ ทั้งเพศชายและเพศหญิง อายุ 20-60 ปี มารับการรักษาที่คลินิกวัณโรค ณ โรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองฯ ประกอบด้วยการให้ความรู้ การให้การปรึกษา การจดบันทึกการรับประทานยาและมีการติดตามผ่านแอปพลิเคชันไลน์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ในระหว่างเดือน เมษายน 2568 ถึง มิถุนายน 2568 ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างด้วยสถิติที (t-test) และการทดสอบของฟิชเชอร์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าความร่วมมือในการรับประทานยาในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ ภายหลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์มากกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนั้นความร่วมมือในการรับประทานยาในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ ภายหลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับผลตรวจเสมหะในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำ หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์ พบว่าเปลี่ยนเป็นไม่พบเชื้อ สูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นโปรแกรมการจัดการตนเองโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์สามารถส่งเสริมความร่วมมือในการรับประทานยาในผู้ที่เป็นวัณโรคปอดรักษาซ้ำได้ และควรนำไปบูรณาการในการดูแลผู้ป่วยในระบบบริการตามปกติ</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276925 ความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพที่เกิดกับชาวไทยมุสลิมที่เป็นโรคเบาหวานในจังหวัดปัตตานี ระหว่างประกอบพิธีฮัจญ์ ปี พ.ศ.2566 2025-02-05T15:15:21+07:00 มาดีนะฮ์ ดือราโอะ madeenahd@gmail.com ปุณยวีร์ ศรีคิรินทร์ madeenahd@gmail.com อนุตรศักดิ์ รัชตะทัต madeenahd@gmail.com <p> พิธีฮัจญ์เป็นพิธีสำคัญของศาสนาอิสลามที่มีการรวมคนจำนวนมากในสถานที่และเวลาเดียวกัน มีผลทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะมีอัตราป่วยและเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป ปัจจุบันข้อมูลทางการศึกษายังมีจำกัดทำให้การป้องกันโรคยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพที่เกิดกับชาวไทยมุสลิมที่เป็นโรคเบาหวานในจังหวัดปัตตานี ระหว่างประกอบพิธีฮัจญ์ ปี พ.ศ. 2566 ใช้รูปแบบการศึกษาแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional study) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามในกลุ่มประชากรหลังกลับจากพิธีฮัจญ์ 14 วันแรก ความชุกของปัญหาสุขภาพแสดงโดยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพโดยใช้การวิเคราะห์ถดถอย (Logistic regression) <strong><br /> </strong>ผลการศึกษาพบผู้ที่เข้าเกณฑ์การศึกษาทั้งหมด 187 ราย ในจำนวนนี้พบผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ 154 ราย (ร้อยละ 82.40) โดยพบอาการระบบทางเดินหายใจมากที่สุด 128 ราย และพบปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดปัญหาสุขภาพ ได้แก่ การนอนหลับเฉลี่ยต่ำกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน (Adjusted OR = 2.88, 95% CI 1.27-6.52, p=0.011) และการมีภูมิลำเนาอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี (Adjusted OR = 0.22, 95% CI 0.07-0.73, p=0.013) จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบพิธีฮัจญ์ที่เป็นโรคเบาหวานในจังหวัดปัตตานีส่วนมากเกิดปัญหาสุขภาพระหว่างประกอบพิธี ดังนั้นการให้ความรู้เรื่องการนอนหลับให้เพียงพอและการศึกษาระบบส่งเสริมสุขภาพฮัจญ์ของอำเภอสายบุรีจังหวัดปัตตานีจะช่วยลดอัตราป่วยในกลุ่มผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ร่วมพิธีฮัจญ์ในปีต่อไปได้</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278550 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวเกินของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี 2025-04-18T07:26:17+07:00 ภัควรินทร์ ภัทรศิริสมบูรณ์ phakwarin.ph@cpru.ac.th ภาสินี ขจรบุญ 6514991053@rbru.ac.th อรนุช แช่มช้อย 6514991055@rbru.ac.th ชยาภรณ์ ละมุล 6514991051@rbru.ac.th ณภัทร ธรรมอักษร 6514991052@rbru.ac.th วรินธร รักษาภักดี 6514991054@rbru.ac.th <p>ภาวะน้ำหนักเกินเป็นปัญหาสุขภาพที่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคแทรกซ้อนอันตรายมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น การศึกษานี้มีรูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาภาวะน้ำหนักตัวเกินและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวเกินของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ภาคปกติ ปีการศึกษา 2567 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี จำนวน 377 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น ใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ และปัจจัยเสริม เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2567 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือสถิติเชิงพรรณนา และไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่ากลุ่มตัวอย่างจำนวน 377 คน เป็นเพศชายร้อยละ 33.4 เพศหญิงร้อยละ 66.6 มีอายุมากกว่า 18 ปี ร้อยละ 80.3 น้ำหนักสมส่วน ร้อยละ 65.5 น้ำหนักตัวเกิน ร้อยละ 34.5 รายได้ต่อเดือน 3,000-5,000 บาท</p> <p>ร้อยละ 39.3 การออกกำลังกายนาน ๆ ครั้ง ร้อยละ 64.2 ดื่มแอลกอฮอล์ร้อยละ 48.3 สูบบุหรี่ร้อยละ 9.5 มีความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหารระดับต่ำร้อยละ 99.2 การเข้าถึงแหล่งอาหารระดับยาก ร้อยละ 70.3 การได้รับแรงสนับสนุนทางสังคมจากเพื่อน ระดับน้อย ร้อยละ 42.4 และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวเกินของนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ได้แก่ การออกกำลังกาย (x<sup>2</sup>=6.474, p=0.039) จากผลการศึกษาควรจัดให้มีกิจกรรมการส่งเสริมให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคอาหาร และพัฒนาโปรแกรมการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันภาวะน้ำหนักตัวเกินในนักศึกษาต่อไป</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278836 การประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคารและการเฝ้าระวังเชื้อลิจิโอเนลลา นิวโมฟิลา ในน้ำ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร 2025-05-07T13:43:12+07:00 ปิยทัศน์ บำรุงเวช piyatad.bum@mahidol.ac.th บุญรัตน์ เวชตรียานนท์ boonyarut.suw@mahidol.ac.th ชัชชัย ธนโชคสว่าง chatchai.thn@mahidol.ac.th กุณฑลีย์ บังคะดานรา goontalee.ban@stou.ac.th <p>โรงพยาบาลเป็นสภาพแวดล้อมที่มีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ซึ่งให้บริการแก่ผู้ป่วยเป็นหลัก โดยผู้ป่วยเหล่านี้อาจมีเชื้อโรคที่สามารถแพร่กระจายและก่อให้เกิดโรคได้ การจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการติดเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันการแพร่กระจายของ เชื้อลิจิโอเนลลา นิวโมฟิลา (Legionella pneumophila) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ และมักพบในอาคารที่ใช้ระบบระบายอากาศแบบรวม การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคารและเฝ้าระวังแหล่งที่อาจมีการปนเปื้อนของ เชื้อลิจิโอเนลลา นิวโมฟิลา ในระบบน้ำของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย การศึกษานี้ใช้รูปแบบการสำรวจแบบภาคตัดขวาง โดยมีการประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคารที่จุดตัวอย่างจำนวน 307 จุด ซึ่งคัดเลือกโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจงจากแผนกผู้ป่วยนอก หอผู้ป่วยใน และหอผู้ป่วยวิกฤติ/กึ่งวิกฤติ นอกจากนี้ ยังเก็บตัวอย่างน้ำจาก 67 พื้นที่เสี่ยงที่อาจมีการเจริญเติบโตของเชื้อ เชื้อลิจิโอเนลลา นิวโมฟิลา และสามารถแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน พ.ศ. 2567 โดยวันเก็บตัวอย่างในแต่ละพื้นที่เลือกแบบสุ่มในช่วงเวลาปฏิบัติงานตามปกติ</p> <p>ผลการประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคารพบว่า ความเข้มข้นของฝุ่นละออง PM<sub>2.5 </sub>อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่จุดตรวจวัดร้อยละ 90.2 ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ร้อยละ 86.0 อัตราการหมุนเวียนอากาศร้อยละ 84.2 อุณหภูมิร้อยละ 73.9 และความชื้นสัมพัทธ์เพียงร้อยละ 45.3 อย่างไรก็ตาม พื้นที่ตรวจวัดร้อยละ 54.7 มีค่าความชื้นสัมพัทธ์สูงกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งอาจส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ผลการตรวจพบ เชื้อลิจิโอเนลลา นิวโมฟิลา ใน 19 จุดตรวจวัด แม้ว่าความเข้มข้นของเชื้อทั้งหมดจะต่ำกว่า 100,000 CFU/L ด้วยลักษณะภูมิอากาศแบบร้อนชื้นของประเทศไทย ซึ่งมีอุณหภูมิและความชื้นสูงอย่างต่อเนื่อง การเฝ้าระวังและควบคุมคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องจึงมีความจำเป็น กลยุทธ์เหล่านี้ควรรวมถึงการจัดการความชื้นภายในอาคารอย่างมีประสิทธิภาพ และการตรวจสอบระบบน้ำของโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ เช่น ถังเก็บน้ำ ก๊อกน้ำ และฝักบัว เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำและบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาล</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/277281 ผลของโปรแกรมการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูงมาก จังหวัดสุรินทร์ 2025-02-18T07:20:36+07:00 มานะชัย สุเรรัมย์ msureram@gmail.com <p>ปัญหาการตายจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย จากการบูรณาการข้อมูลการตาย 3 ฐาน กลุ่มอายุที่มีการสูญเสียมากที่สุดเป็นเด็กและเยาวชนอายุ 10-19 ปี ซึ่งมีการเสียชีวิตที่สูงมากถึง 26,126 คน ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นเฉลี่ย 2,902 คนต่อปี หากไม่มีการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังและกำหนดเป้าหมายจะมีเด็กและเยาวชนไทยตายจากอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 3,732 คน การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูงมาก จังหวัดสุรินทร์ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 42 คน โดยสุ่มจากนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์มาโรงเรียน ในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูงมาก ได้แก่ เมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ คัดเลือกผ่านเกณฑ์การคัดเข้าและคัดออก ดำเนินกิจกรรมทั้งหมด 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้ความสามารถตนเองต่อการเกิดอุบัติเหตุ ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และการปฏิบัติตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน ก่อนและหลังการทดลอง โดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกันด้วย Paired t-test </p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 57.14 มีอายุระหว่าง 14-18 ปี มีอายุเฉลี่ย 16.43 ปี (S.D. = 1.467 ปี) โดยนักเรียนขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ตอนอายุ 12 ปี ร้อยละ 35.71 มีอายุเฉลี่ย 12.31 ปี (S.D. = 1.854 ปี) ผู้หัดขับขี่รถจักรยานยนต์ให้นักเรียนเป็นพ่อแม่ ร้อยละ 50.00 รองลงมาคือฝึกเอง ร้อยละ 26.19 และญาติพี่น้อง ร้อยละ 16.67 ตามลำดับ ผู้ปกครองอนุญาติให้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปโรงเรียนเมื่อช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 64.29 ส่วนใหญ่ไม่มีใบขับขี่ ร้อยละ 76.19 ซึ่งนักเรียนเคยประสบอุบัติเหตุจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 52.38 ส่วนใหญ่จำนวน 1 ครั้ง ร้อยละ 45.45 โดยบาดเจ็บเล็กน้อยไม่ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ร้อยละ 63.63 หลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถตนเองต่อการเกิดอุบัติเหตุ ความคาดหวังในผลลัพธ์ของการป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน และการปฏิบัติตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยบนท้องถนน มากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p&lt;0.001 ข้อเสนอแนะสามารถนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาการตายและบาดเจ็บในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ใช้รถจักรยานยนต์ในสถานศึกษาอื่นต่อไป</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/279956 ความชุกของอาการเจ็บป่วยจากการทำงานสัมผัสความร้อนของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับขี่จักรยานยนต์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2025-07-02T07:46:17+07:00 ธิดารัตน์ คำแหงพล 6701201005@nmu.ac.th ปาริฉัตร องอาจบริรักษ์ parichat.ong@nmu.ac.th ฐิตาภรณ์ เหลืองวิลัย titaporn.lua@nmu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกของอาการเจ็บป่วยจากการสัมผัสความร้อนในกลุ่มผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้การศึกษาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Study) เก็บข้อมูลจากผู้ขับขี่ จำนวน 417 คน ซึ่งเป็นกลุ่มทำงานกลางแจ้งและสัมผัสอุณหภูมิสูง เครื่องมือเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยด้านบุคคล สุขภาพ พฤติกรรม การทำงาน สภาพแวดล้อม และอาการเจ็บป่วย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 94.0 อายุ 45 - 59 ปี ร้อยละ 43.6 ลักษณะการทำงานส่วนใหญ่ขับขี่เป็นอาชีพหลัก ร้อยละ 96.2 ทำงานวันละ 8 ชั่วโมงขึ้นไป ร้อยละ 94.0 และทำงานกลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.2 พบว่า เขตพญาไท มีดัชนีความร้อนสูงสุดถึง 56.4 °C ข้อมูลอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นระหว่างทำงานขับขี่จักรยานยนต์กลางแจ้ง พบว่า ส่วนใหญ่มีอาการสับสนหรือพูดไม่ชัด หายใจหอบ และหัวใจเต้นเร็ว มากที่สุดร้อยละ 17.3 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีอาการปวดศีรษะ ร้อยละ 38.8 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีอาการปวดศีรษะ ร้อยละ 37.9</p> <p>โดยผลจากการวิจัยครั้งนี้เป็นประโยชน์ในการกำหนดแนวทางการป้องกันโรคและภัยสุขภาพจากความร้อนที่สำคัญ พัฒนามาตรการป้องกันความร้อนในผู้ขับขี่จักรยานยนต์ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองใหญ่ที่มีอุณหภูมิสูงจากการสะสมความร้อน จากพื้นผิวถนนและอาคาร และการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวิธีการดูแลสุขภาพในช่วงอากาศร้อนที่เหมาะสมต่อไป</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278314 การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ: อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะสำหรับการตรวจสอบสุขภาพและ การประยุกต์ใช้ในประเทศไทย 2025-05-15T10:46:46+07:00 รชฏ คุณกิจกำจร rachataseaku@gmail.com ศุจิมน มังคลรังษี khunsujimon.m@gmail.com <p>ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ โดยคาดว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มเป็นร้อยละ 31 ภายในปี 2040 กลุ่มนี้มีแนวโน้มเผชิญกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น ความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและเพิ่มภาระต่อระบบสาธารณสุข อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพ (wearable devices) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับระบบ telehealth จึงกลายเป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการติดตามอาการและจัดการโรคได้แบบเรียลไทม์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของอุปกรณ์สวมใส่ในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน และศึกษาความเหมาะสมของการประยุกต์ใช้ในบริบทประเทศไทย โดยใช้การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบตามแนวทาง PRISMA จากฐานข้อมูล PubMed, Scopus, ThaiJo และ Google Scholar ในช่วงปี ค.ศ.2019–2023 ซึ่งพบว่าอุปกรณ์สวมใส่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตามสุขภาพและจัดการโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ และสามารถลดความถี่ในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเมื่อนำไปใช้ร่วมกับระบบ telehealth อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ความไม่แม่นยำของอุปกรณ์ ราคาที่สูง ความไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี และความไม่สะดวกในการสวมใส่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ดังนั้น แม้อุปกรณ์สวมใส่จะมีศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ แต่ยังจำเป็นต้องพัฒนาในด้านต้นทุน เทคโนโลยี และการส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล เพื่อให้เกิดการใช้งานอย่างแพร่หลายและยั่งยืนในบริบทของประเทศไทย</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/280305 การประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์ของบุคลากรกรมควบคุมโรค 2025-08-05T08:24:26+07:00 เยาวลักษณ์ แก้วแกมจันทร์ y.warnsong@gmail.com อมราภรณ์ ลาภเหลือ y.warnsong@gmail.com ศิริรัตน์ เพ็งสอน y.warnsong@gmail.com <p>การศึกษาเชิงภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ของบุคลากร กรมควบคุมโรค ที่ปฏิบัติงานสำนักงาน จำนวน 2,637 คน ที่ใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะในการทำงาน มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความเสี่ยงด้านการยศาสตร์ โดยใช้เทคนิค Rapid Office Strain Assessment (ROSA) ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินความเสี่ยงทางการยศาสตร์สำหรับพนักงานที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ โดยประเมินท่าทางการนั่งทำงานและสถานีงาน เช่น เก้าอี้ หน้าจอ เมาส์ และแป้นพิมพ์ เพื่อชี้บ่งปัจจัยเสี่ยงและคะแนนความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก พบว่า บุคลากรจำนวน 1,619 คน หรือร้อยละ 61.40 ไม่มีความเสี่ยง หรือมีความเสี่ยงต่ำ และบุคลากรจำนวน 1,018 คน หรือร้อยละ 38.60 มีความเสี่ยง ควรปรับปรุงสถานที่ทำงานหรือลักษณะท่าทางการทำงานอย่างเหมาะสมเพื่อลดหรือป้องกันปัญหาออฟฟิศซินโดรม(office syndrome) และ ผลจากการประเมินการตรวจวัดแสงสว่างและคุณภาพอากาศในอาคาร ของหน่วยงานส่วนกลาง กรมควบคุมโรค จำนวน 30 หน่วยงาน พบว่า ผลการประเมินการตรวจแสงสว่างแบบเฉพาะจุดและแบบพื้นที่ จำนวน 2,685 จุด ไม่ผ่านมาตรฐานกว่าร้อยละ 62.00 จึงเสนอแนะให้มีการปรับปรุงทั้งด้านพฤติกรรมและออกแบบสถานีงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้เหมาะสมตามหลักการยศาสตร์เพื่อป้องกันปัญหาโรคทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อต่อไป</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/279313 การสอบสวนโรคเฉพาะราย กรณีผู้ป่วยติดเชื้อ Listeria Monocytogenes โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง กรุงเทพมหานคร กุมภาพันธ์ 2568 2025-05-07T08:13:46+07:00 บังเอิญ ภูมิภักดิ์ talentandsky@hotmail.com นาริฐา ทาคำสุข naritha2531@gmail.com ไมลา อิสสระสงคราม milabie99@gmail.com <p>เชื้อ Listeria monocytogenes เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมบวกที่สามารถก่อให้เกิดโรคลิสเทอริโอซิส (Listeriosis) มีระยะฟักตัว 3-70 วัน ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่มีความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรเปราะบาง เช่น หญิงตั้งครรภ์ ทารก ผู้สูงอายุ ร่วมถึงผู้ที่มีภาวะอ้วน และภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อดังกล่าวสามารถพบได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป และทนทานต่อสภาพเย็น จึงมักปนเปื้อนในอาหารแช่เย็นและอาหารแปรรูป การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสอบสวนโรคเฉพาะรายกรณีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ Listeria monocytogenes รายหนึ่งซึ่งมีประวัติการบริโภคอาหารจากอาหารที่ขายริมถนนหรือในพื้นที่สาธารณะ โดยมักจะขายจากแผงลอย รถเข็น หรือรถขายอาหาร โดยรวบรวมข้อมูลทางคลินิก ประวัติการบริโภคอาหาร การสัมผัสสิ่งแวดล้อม และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ แม้ไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาของเชื้อได้อย่างชัดเจน แต่ผลการสอบสวนชี้ว่าการบริโภคอาหารสดที่ขายริมถนนหรือในพื้นที่สาธารณะ โดยมักจะขายจากแผงลอย รถเข็น หรือรถขายอาหารปัจจัยเสี่ยงสำคัญ การสอบสวนครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของระบบติดตามแหล่งอาหาร (traceability) และระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหาร นอกจากนี้ยังเสนอแนวทางการควบคุมและป้องกัน ทั้งในระดับสถานพยาบาล ชุมชน และความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงการให้ข้อมูลแก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในอนาคตและเสริมสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/277263 ผลของโปรแกรมอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้นของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร 2025-02-26T08:11:19+07:00 ไมลา อิสสระสงคราม milabie99@gmail.com บังเอิญ ภูมิภักดิ์ talentandsky@gmail.com อุไรวรรณ นุตตะโยธิน milabie99@gmail.com สุกานดา สุไลมาน milabie99@gmail.com <p> การศึกษาแบบกึ่งทดลอง One-Group Pre-test Post-test Design มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของโปรแกรมอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้นของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร จำนวน 105 คน เข้ารับการอบรมเป็นระยะเวลา 5 วัน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบวัดความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้น โดยตอบแบบสอบถาม 3 ครั้ง ได้แก่ ก่อนเข้ารับการอบรม (ครั้งที่ 1) หลังสิ้นสุดการอบรม (ครั้งที่ 2) และหลังการอบรม 1 เดือน (ครั้งที่ 3) โดยการใช้สถิติไคว์สแควร์ เก็บข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม 2566 - กุมภาพันธ์ 2567</p> <p> ผลจากการศึกษา พบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้น หลังสิ้นสุดการอบรม และหลังอบรม 1 เดือน สูงกว่าก่อนเข้ารับการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยของคะแนนการปฏิบัติในการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้นหลังการอบรม 1 เดือน สูงกว่าหลังสิ้นสุดการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเช่นกัน แต่ค่าเฉลี่ยของคะแนนความรู้ และทัศนคติ ในการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้นหลังสิ้นสุดการอบรมและหลังการอบรม 1 เดือน ไม่มีความแตกต่างกัน ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมอบรมเพื่อพัฒนาความรู้และทักษะการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้น เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยเพิ่มความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้นของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำให้ได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและปลอดภัยก่อนถึงโรงพยาบาล ข้อเสนอแนะ อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กที่ผ่านการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการช่วยชีวิตทางน้ำเบื้องต้น ควรให้ความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และทักษะให้แก่นักเรียน คนในครอบครัว หรือคนในชุมชน </p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/279595 สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่และภาระโรคจากรายงานการเฝ้าระวัง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างปี พ.ศ. 2563– 2567 2025-07-30T07:52:43+07:00 กนกรัตน์ ไพทูลย์ tornado.nnt@gmail.com สุเมธ องค์วรรณดี tornado.nnt@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา (Descriptive Study) โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ข้อมูลผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ ระหว่างปี พ.ศ. 2562-2567จากแฟลตฟอร์มระบบเฝ้าระวังโรคดิจิตัล กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขนำเข้าข้อมูลโดยกลุ่มงานเฝ้าระวังและตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งทบทวนมาตราการและและข้อเสนอแนะในการดำเนินการป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ STATA 19</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กรุงเทพมหานครมีจำนวนผู้ป่วยสูงเป็นอันดับ 2 จากภาพรวมประเทศ โดยพบผู้อัตราป่วย 1,856.12 รายต่อประชากรแสนคน โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง ร้อยละ 52.47 โดยกลุ่มอายุมีอัตราป่วยสูงสุดคือ กลุ่มอายุ <br />6-12 ปี (5,428.13 รายต่อประชากรแสนคน) รองลงมาคือกลุ่มอายุ 2-5 ปี และ ต่ำกว่า 2 ปี (5,199.15 และ 3,687.24 รายต่อประชากรแสนคน) ตามลำดับ สำหรับเขตที่มีอัตราป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สูงสุด 3 อันดับแรกคือเขตราชเทวี อัตราป่วย 11,499.90 รายต่อประชากรแสนคน รองลงมา คือ เขตบางรัก และเขตพญาไท (อัตราป่วย 10,521.50 และ 8,678.10 รายต่อประชากรแสนคน) โดยสถานที่พบเหตุการณ์ระบาดส่วนมากจะเป็นโรงเรียน และเรือนจำ และในปี พ.ศ. 2567 พบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ซึ่งเร็วกว่าค่ามัธยฐานย้อนหลัง 5 ปี (พ.ศ. 2562-2566) คาดว่ามีความสัมพันธ์กับฤดูฝนของกรุงเทพมหานคร อ้างอิงจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา เนื่องด้วยฤดูฝนของปีนี้มาเร็วกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนความครอบคลุมของวัคซีนเขตสุขภาพที่ 13 กรุงเทพมหานคร ยังต่ำกว่าค่าเป้าหมาย ปัจจุบันมาตรการหลักในการป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพคือ การเว้นระยะห่างทางสังคม การใช้หน้ากากอนามัย และการฉีดวัคซีน ผลจากการลงพื้นที่สำรวจการนำมาตรการไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ พบว่ายังต้องมีการผลักดันในเชิงนโยบายต่อไป เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/279705 บทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการกำกับการรับประทานยาผ่านวิดีโอในชุมชนเมือง 2025-05-29T15:02:25+07:00 ธนวุธ กาฬภักดี thanawut.kar@gmail.com สุชาญวัชร สมสอน suchanwat.somsorn@bcnnon.ac.th ดารณี ภักดิ์วาปี suchanwat.somsorn@bcnnon.ac.th <p>วัณโรคยังเป็นหนึ่งในปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลก ซึ่งการดูแลผู้ป่วยวัณโรคให้หายต้องอาศัยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง การกำกับการรับประทานยาผ่านวิดีโอ (Video Observed Therapy: VOT) จึงเข้ามีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยวัณโรค บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับบทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการกำกับการรับประทานยาผ่านวิดีโอในบริบทชุมชนเมือง โดยวิธีการทบทวนวรรณกรรม (literature review) จากงานวิจัย รายงานราชการ และแนวทางปฏิบัติมาตรฐานจากฐานข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ผลการศึกษานี้พบว่า บทบาทพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่ได้รับการกำกับการรับประทานยาผ่านวิดีโอในชุมชนเมือง ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) การประเมินผู้ป่วยที่ได้รับ VOT 2) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการใช้ VOT 3) การติดตามผลการรับประทานยาผ่าน VOT 4) การให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหา และ 5) การส่งต่อและการรายงานผล ดังนั้นในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคควรผลักดันการกำกับการรับประทานยาผ่านวิดีโอในการดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่มีความพร้อมทุกราย รวมถึงเสริมสร้างศักยภาพความรู้และทักษะการกำกับการรับประทานยาผ่านวิดีโอของพยาบาลวิชาชีพในหน่วยปริการปฐมภูมิให้สามารถกำกับติดตามผู้ป่วยวัณโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งควรเพิ่มนโยบายการนำ VOT ไปใช้ในระดับประเทศ เช่น การสร้างระบบการติดตามผลผ่านแอปพลิเคชันที่พัฒนาโดยหน่วยงานภาครัฐ การอบรมบุคลากรด้านสาธารณสุข และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้การประสานงานติดตามผู้ป่วยวัณโรคในชุมชนอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278935 แนวทางการพยาบาลเพื่อป้องกันควบคุมการติดเชื้อในสถานบริการปฐมภูมิ 2025-04-23T07:18:10+07:00 สุชาญวัชร สมสอน suchanwat.somsorn@bcnnon.ac.th <p>การติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการสุขภาพเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะในสถานบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์พัฒนาแนวทางการพยาบาลเพื่อป้องกันควบคุมการติดเชื้อในสถานบริการปฐมภูมิ โดยวิธีการทบทวนวรรณกรรม (literature review) จากงานวิจัย รายงานราชการ และแนวทางปฏิบัติมาตรฐานจากฐานข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. 2568 ผลการศึกษานี้พบว่า แนวทางการพยาบาลเพื่อป้องกันควบคุมการติดเชื้อในสถานบริการปฐมภูมิต้องมีการเฝ้าระวังการติดเชื้อในชุมชนอย่างต่อเนื่อง การปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือสัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่ง การทำความสะอาดมือ การใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล การทำปราศจากเชื้อของเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และการจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้นในการป้องกันควบคุมการติดเชื้อในสถานบริการปฐมภูมิ ควรผลักดันแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน โดยเสริมสร้างความรู้และทักษะการป้องกันควบคุมการติดเชื้อให้พยาบาลวิชาชีพและเจ้าหน้าที่ในสถานบริการปฐมภูมิ จัดทำแผนงานหรือโครงการพัฒนาระบบการควบคุมการติดเชื้อในสถานบริการปฐมภูมิ โดยเสนอเข้าไปยังแผนพัฒนาสุขภาพระดับท้องถิ่นผ่านการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงพัฒนาโปรแกรมสำหรับพยาบาลโดยการมีส่วนร่วมของโรงพยาบาลแม่ข่ายและสถานบริการปฐมภูมิในเครือข่ายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการป้องกันควบคุมการติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง และถ่ายทอดความรู้การป้องกันควบคุมการติดเชื้อในรูปแบบคู่มือสำหรับประชาชนหรือกิจกรรมโครงการให้ความรู้กับอาสามาสมัครสาธารณสุขและชุมชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการควบคุมการติดเชื้อในระดับครัวเรือนและชุมชน</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/278127 โรคพิษสุนัขบ้า: การทบทวนองค์ความรู้ด้านไวรัสวิทยา กลยุทธ์การป้องกัน และกรณีศึกษาในประเทศไทย 2025-03-25T14:17:00+07:00 ปาณิศา กิจกาญจนกุล meimeipanisa@gmail.com กัญญาภัทร เรียงแหลม Kanyaphat.riang@gmail.com วชิรวิชญ์ ดวงจันทร์ wachirawit.aomd@gmail.com ภริษฐา อนันตโชค Shinonwerto@gmail.com ณัฏฐ์วัชญ์กฤช เพชรมุณี natwatkrit@gmail.com ปณธรรม ศิวิไลกุล phandhamsiv4@gmail.com ศุจิมน มังคลรังษี khunsujimon.m@gmail.com <p>โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่มีอัตราการเสียชีวิตเกือบ 100% เมื่อแสดงอาการ แม้สามารถป้องกันได้ แต่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง รวมถึงประเทศไทย ซึ่งสุนัขเลี้ยงเป็นพาหะหลัก คิดเป็นกว่า 99% ของผู้ป่วยในคน ปัญหาหลักคือการฉีดวัคซีนในสุนัขที่ยังไม่ครอบคลุม การเข้าถึงการป้องกันหลังสัมผัสโรค (PEP) ที่จำกัด และความรู้ของประชาชนที่ยังไม่เพียงพอ การศึกษานี้ทบทวนองค์ความรู้ด้านไวรัสวิทยา ระบาดวิทยา และกลยุทธ์การป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โดยเน้นบริบทของประเทศไทย และการประยุกต์ใช้แนวคิด "สุขภาพหนึ่งเดียว (One Health)" ซึ่งบูรณาการสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน ข้อมูลอ้างอิงจากฐานข้อมูลวิชาการและรายงานจาก WHO และ CDC ระหว่างตุลาคม 2565 ถึงตุลาคม 2566 มีรายงานโรคในสัตว์ 337 ราย และผู้เสียชีวิตในคน 4 ราย แม้บางพื้นที่มีการฉีดวัคซีนสุนัขครอบคลุมกว่า 80% แต่การดำเนินงานทั่วประเทศยังไม่สม่ำเสมอ แนวทาง One Health มีศักยภาพในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าในไทยจึงต้องอาศัยการฉีดวัคซีนในวงกว้าง การให้ความรู้ การเข้าถึง PEP และความร่วมมือระหว่างภาคส่วน เพื่อบรรลุเป้าหมายการขจัดการเสียชีวิตจากโรคพิษสุนัขบ้าในคนภายในปี 2573 อย่างยั่งยืน</p> 2025-12-08T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง