วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ดำเนินการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลการวิจัย และนวัตกรรมเกี่ยวกับโรคและภัยสุขภาพ ของบุคลากรในหน่วยงานสังกัดกรมควบคุมโรค และองค์กรอื่น ๆ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการติดต่อ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับโรคและภัย<br />สุขภาพ </span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"><strong>ISSN 2985 - 1858 (print) , ISSN 2985 - 1866 (online) </strong></span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">โดยตีพิมพ์ 2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ<br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</span></span></p> <p style="margin: 0cm; margin-bottom: .0001pt;"><strong>ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกขั้นตอน</strong></p> th-TH <p>บทความที่พิมพ์ในวารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ถือว่าเป็นผลงานวิชาการ งานวิจัยและวิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง ไม่ใช่ความเห็นของสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง หรือคณะบรรณาธิการแต่ประการใด ผู้เขียนจำต้องรับผิดชอบต่อบทความของตน&nbsp;</p> training10iudc@gmail.com (Kritpisut Maitongngam, M.D.) training10iudc@gmail.com (กลุ่มฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี) Tue, 24 Jun 2025 12:59:20 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กรณีศึกษาต้นทุนค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของผู้รับบริการโรคผิวหนัง สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/261202 <p>โรคผิวหนังเป็นปัญหาสำคัญที่สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของผู้ป่วย โดยเฉพาะในเขตเมืองที่การรักษาอาจมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งคลินิกโรคผิวหนัง สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ให้บริการแก่ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังและมีความจำเป็นต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่พบได้บ่อยคือภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษา เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง และการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยในคลินิกผิวหนัง สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2566 การวิจัยใช้วิธีการศึกษาเชิงสำรวจข้อมูลทุติยภูมิจากระบบ HosXP โดยวิเคราะห์ต้นทุนทางตรงและต้นทุนทางอ้อมของผู้ป่วย 5 อันดับโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด ข้อมูลถูกรวบรวมจากผู้ป่วยทุกรายที่มารับบริการในช่วงระยะเวลาที่กำหนด และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแตกต่างกันไปตามประเภทสิทธิ์การรักษาและเขตที่อยู่อาศัย เขตที่มีต้นทุนรวมสูงสุดคือคลองสามวา ในขณะที่เขตบางเขนมีต้นทุนต่ำสุด ต้นทุนการเดินทางและค่าเสียโอกาสทางเวลามีผลต่อค่าใช้จ่ายโดยรวมอย่างมาก สรุปได้ว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคผิวหนังมีความหลากหลายและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย การให้บริการอนุเคราะห์ช่วยลดภาระผู้ป่วยบางกลุ่มได้ แต่ยังจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อเพิ่มการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ข้อเสนอแนะจากการศึกษาได้แก่ การพิจารณาปรับปรุงนโยบายการสนับสนุนค่าใช้จ่ายและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม</p> ศิวกร บุญธรรม, วรงค์กช เชษฐพันธ์, สุพัตรา นิลศิริ, จงจินต์ มาลัย, เขมกร เที่ยงทางธรรม Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/261202 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ของแรงงานข้ามชาติในพื้นที่ จังหวัดภูเก็ตและระนอง ปี 2024 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274619 <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้ก่อนและหลังการให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อของแรงงานข้ามชาติและนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการวางแผนการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคของแรงงานข้ามชาติในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและระนอง โดยเก็บข้อมูลแบบภาคตัดขวางด้วยการวัดความรู้ก่อนและหลังการจัดอบรมเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อกับแรงงานข้ามชาติ ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เป็นแรงงานข้ามชาติ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและระนอง ที่สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาไทยได้ ฟังและ/หรืออ่านภาษาของตนเองได้ และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ การศึกษาครั้งนี้มีแรงงานข้ามชาติเข้าร่วมโครงการ จำนวน 103 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 โดยใช้แบบทดสอบก่อนและหลังการให้ความรู้ ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไปของแรงงานข้ามชาติและแบบทดสอบก่อนและหลังให้ความรู้ </p> <p> ผลการศึกษา แรงงานข้ามชาติ จำนวน 103 คน พบว่า แรงงานข้ามชาติที่ตอบแบบทดสอบส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 50.49 มีอายุอยู่ในช่วง 18-29 ปี ร้อยละ 41.75 ร้อยละ 100.00 มีสัญชาติเมียนมา การศึกษาสูงสุดอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 51.46 ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการอบรมให้ความรู้ มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.44 และ 5.41 คะแนน ตามลำดับ ผลการเรียนรู้หลังการอบรมมากกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt;0.001) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อคำถาม แรงงานข้ามชาติยังไม่เข้าใจในคำถามว่า โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคที่กล่าวมานี้ จัดเป็นโรคประเภทใด รองลงมาคือ คำถามเกี่ยวกับการประเมินสุขภาพตนเองและมาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่อในชุมชนชายแดน ดังนั้น หากต้องการส่งเสริมความรู้ให้กับแรงงานข้ามชาติ ควรมีการเน้นย้ำในเรื่องดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อ</p> วนิดา สังยาหยา, สุทัศน์ โชตนะพันธ์, วราภรณ์ ใจคุ้มเก่า, กวินพัฒน์ อรเนตร Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274619 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์ใช้แนวคิดการพยาบาลแบบองค์รวมในผู้ป่วยแผลไหม้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275021 <p>การพยาบาลแบบองค์รวม เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญมากในการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยการประเมินกาย จิต สังคม แล้วนำผลที่ได้จากการประเมินไปจัดทำแผนการดูแลทั้งในระดับบุคคล ครอบครัวและชุมชน บทความนี้ได้ประยุกต์ใช้แนวคิดการพยาบาลแบบองค์รวมในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากแผลไหม้ แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะฉุกเฉิน 2) ระยะวิกฤต และ 3) ระยะฟื้นฟู การดูแลผู้ป่วยแผลไหม้พยาบาลต้องมีความรู้ ความเข้าใจปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละระยะเพื่อให้การดูแลอย่างครอบคลุม รวมทั้งความต้องการการดูแลที่สำคัญ คือ การป้องกันการติดเชื้อ การส่งเสริมการหายของแผล การดึงรั้งของแผล ข้อติดยึดและแผลเป็นนูน ตลอดจนการดูแลด้านจิตใจผู้ป่วยและญาติ รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการรักษาพยาบาล เพื่อให้บาดแผลหายเป็นปกติไม่มีภาวะแทรกซ้อนรวมทั้งอวัยวะต่าง ๆ ไม่ผิดรูป ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและสังคมได้อย่างมีความสุข </p> ไมลา อิสสระสงคราม Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275021 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การสอบสวนการระบาดโรคอาหารเป็นพิษ โรงเรียน A อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา วันที่ 13-18 กันยายน 2567 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276726 <p>เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 12 จังหวัดสงขลา ได้รับแจ้งจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา พบผู้ป่วยสงสัยโรคอาหารเป็นพิษเป็นกลุ่มก้อนในโรงเรียน A อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาจำนวน 54 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มีอาการอาเจียน ท้องเสีย ปวดศีรษะ มีไข้ ทีมปฏิบัติการสอบสวนโรคดำเนินการสอบสวนโรคระหว่างวันที่ 13-18 กันยายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการระบาด ลักษณะทางระบาดวิทยา ค้นหาสาเหตุ แหล่งโรคและปัจจัยเสี่ยง และให้ข้อเสนอแนะมาตรการควบคุมป้องกันโรคที่เหมาะสม ทำการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ศึกษาระบาดวิทยาเชิงวิเคราะห์ และศึกษาสิ่งแวดล้อมของโรงเรียน รวมทั้งเก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษในโรงเรียนแห่งนี้ รวม 78 ราย Attack rate ร้อยละ 33.3 (78/234) ค่ามัธยฐานอายุ 14.5 ปี อายุระหว่าง 3-55 ปี ครูมีอัตราป่วยสูงสุดร้อยละ 48.8 รองลงมาเป็นนักเรียนร้อยละ 30.8 และบุคลากรอื่น ๆ ร้อยละ 22.7 ผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมากที่สุด ร้อยละ 75.6 รองลงมาคือ ปวดท้อง ร้อยละ 74.4 และคลื่นไส้ ร้อยละ 67.9 การระบาดครั้งนี้เกิดจากแหล่งโรคร่วมแบบต่อเนื่อง ผลการตรวจตัวอย่างอุจจาระ 6 ราย พบเชื้อ <em>Aeromonas caviae </em>1 ราย และ <em>Norovirus GII </em>1 ราย ผลการตรวจตัวอย่างอาเจียน พบเชื้อ <em>Norovirus GII </em>1 ราย ผลการตรวจตัวอย่างน้ำใช้ พบเชื้อ <em>Aeromonas caviae </em>1 ตัวอย่าง ปัจจัยเสี่ยงพบว่าบ่อน้ำบาดาลที่เป็นแหล่งน้ำใช้อยู่ห่างจากบ่อเกรอะน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สรุปและวิจารณ์ เชื้อสาเหตุของการระบาดโรคอาหารเป็นพิษครั้งนี้ ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย <em>Aeromonas</em> และเชื้อไวรัส <em>Norovirus GII</em> โดยมีการปนเปื้อนเชื้อในระบบน้ำ จึงแนะนำให้โรงเรียนปรับปรุงคุณภาพน้ำใช้จากแหล่งน้ำบาดาล โดยการทำลายเชื้อในระบบ เพิ่มระบบเติมคลอรีนอัตโนมัติ หรือพิจารณาการใช้แหล่งน้ำประปาส่วนภูมิภาค</p> ฟิตรา ยูโซะ, ชูพงศ์ แสงสว่าง, อารีย์ ตาหมาด, วสุวัฒน์ ทัพเคลียว, อรุณีย์ สูเหม Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276726 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 โรคเบาหวานกับการขับขี่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275357 <p>บทความปริทัศน์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนองค์ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงของผู้ป่วยโรคเบาหวานต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจร ภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ แนวทางการประเมินความเสี่ยง และนโยบายในประเทศต่าง ๆ จากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบระหว่างปี ค.ศ. 1961-2019 พบว่าผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรสูงกว่าประชากรทั่วไปประมาณ 1.10-1.76 เท่า โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีประวัติภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อยครั้งและผู้ที่เคยมีประวัติอุบัติเหตุจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เบาหวานขึ้นจอประสาทตา เบาหวานขึ้นเส้นประสาท และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งพบได้ถึงร้อยละ 50.0-80.0 ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 แนวทางการประเมินความเสี่ยงควรพิจารณาเป็นรายบุคคล โดยคำนึงถึงประวัติการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ความสามารถในการรับรู้อาการ และการมีภาวะแทรกซ้อน หลายประเทศได้กำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับการออกใบอนุญาตขับขี่แก่ผู้ป่วยเบาหวาน โดยมีการแบ่งแยกระหว่างผู้ขับขี่ส่วนบุคคลและผู้ขับขี่สาธารณะ และกำหนดเงื่อนไขการติดตามประเมินเป็นระยะ เช่น การห้ามขับรถหลังเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำรุนแรงเป็นเวลา 3-6 เดือน การตรวจวัดระดับน้ำตาลก่อนและระหว่างขับรถ และการประเมินภาวะแทรกซ้อนที่อาจส่งผลต่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การนำแนวทางไปใช้ในทางปฏิบัติยังมีความท้าทาย จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการขับขี่ของผู้ป่วยเบาหวาน</p> ภาสวิชญ์ ดุษฎีวิจัย Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275357 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การประเมินคุณภาพการนอนหลับในพนักงานดับเพลิงของกรุงเทพมหานครโดยใช้รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรขององค์การอนามัยโลก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/272526 <p>การวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานตามรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรขององค์การอนามัยโลกและคุณภาพการนอนหลับ ในกลุ่มพนักงานดับเพลิงสังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 301 คน โดยใช้แบบสอบถามแบบตอบด้วยตนเอง ซึ่งประยุกต์จากรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรขององค์การอนามัยโลก คู่มือการดำเนินงานสถานที่ทำงานน่าอยู่ น่าทำงาน เสริมสร้างคุณภาพชีวิตและความสุขของคนทำงาน ปี 2561 และแบบสอบถามความเครียดจากงาน Thai-JCQ เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ข้อมูลประกอบด้วย คุณลักษณะทั่วไป ข้อมูลเกี่ยวกับการทำงาน การประเมินสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน (ด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ ด้านจิตสังคม ด้านสุขภาวะบุคคล และด้านการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรและชุมชน) สำหรับคุณภาพการนอนหลับ ใช้แบบประเมินคุณภาพการหลับ เพื่อประเมินคุณภาพการนอนหลับของพนักงานดับเพลิงในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยศึกษา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน พิสัยควอไทล์ และใช้สถิติ Chi-square test, independent t-tests, Mann Whitney U test และ logistic regression เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ศึกษากับคุณภาพการนอนหลับ</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า จากพนักงานดับเพลิง 301 คน ส่วนมาก 52.2% มีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี และ 39.2% มีคุณภาพการนอนหลับดี โดย 64.3% ในกลุ่มคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดี มีระยะเวลาการนอนหลับที่สั้นไม่เกิน 7 ชั่วโมงต่อคืน และมีประสิทธิภาพในการนอนโดยรวมต่ำ (ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 85.0% ของประสิทธิภาพในการนอนโดยรวม) ปัจจัยสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานตามรูปแบบการสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กรขององค์การอนามัยโลก พบว่า ด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ ด้านจิตสังคม และ ด้านสุขภาวะบุคคล มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับของพนักงานดับเพลิง จากผลการศึกษานี้ยืนยันว่า ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ การจัดทำและปฏิบัติตามคู่มือการสร้างเสริมสุขภาวะในองค์กร เป็นแนวทางที่สามารถช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงานให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมสุขภาพ ความปลอดภัยของพนักงานดับเพลิงให้มีความเป็นอยู่ที่ดี</p> วิภาภรณ์ สีอ่อน, สุจินดา จารุพัฒน์ มารุโอ, เธียรไชย ยักทะวงษ์, อริยะ บุญงามชัยรัตน์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/272526 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความรุนแรงของการบาดเจ็บและโอกาสการรอดชีวิตในแต่ละตำแหน่งการโดยสารรถจักรยานยนต์ขณะเกิดอุบัติเหตุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273105 <p>อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์เป็นสาเหตุการบาดเจ็บที่พบบ่อยในประเทศไทย ประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้จักรยานยนต์ในชีวิตประจำวัน เพราะความสะดวก ประหยัดและรวดเร็วในการเดินทาง อย่างไรก็ตามผู้คนมีวิธีการใช้จักรยานยนต์มากกว่าวิธีการที่ทางบริษัทผู้ผลิตได้ออกแบบไว้ ได้แก่ การให้ผู้โดยสารยืนหรือนั่งหน้าผู้ขับขี่ ในตะกร้า หรือนั่งต่อท้ายหลายคน การโดยสารในตำแหน่งดังกล่าว อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการบาดเจ็บหรือโอกาสการเสียชีวิตที่มากขึ้น การศึกษานี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อศึกษา ตำแหน่งที่นั่งบนรถจักรยานยนต์ขณะเกิดอุบัติเหตุกับความรุนแรงในการบาดเจ็บและโอกาสการรอดชีวิต ในผู้ได้รับบาดเจ็บที่มาถึงโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ตั้งแต่ เมษายน ถึง ธันวาคม 2565 โดยใช้คะแนน Injury Severity Score (ISS) และ Probability of survival (TRISS: Trauma Injury Severity Score) ในการคำนวณและเปรียบเทียบระหว่างแต่ละตำแหน่งที่นั่ง</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ได้รับบาดเจ็บ 929 คน เข้าร่วมการศึกษานี้ พบผู้โดยสารใน 5 ตำแหน่ง ได้แก่ 1) หน้าคนขับ 2) คนขับ 3) คนนั่งต่อท้ายคนที่ 1 4) คนนั่งต่อท้ายคนที่ 2 5) คนนั่งต่อท้ายคนที่ 3 ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 10 คน (1.08%) จากจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นคนขับ สำหรับผู้บาดเจ็บเกือบทั้งหมด (96.55%) ได้รับบาดเจ็บไม่รุนแรง (ISS &lt;16)อยู่ที่ 96.55% จากการคำนวณโอกาสการรอดชีวิต ทั้งหมดมีค่ามัธยฐาน 99.67% (99.58-99.70) และไม่พบความแตกต่างในโอกาสการรอดชีวิตระหว่างแต่ละตำแหน่งที่นั่ง</p> ศิริพักตร์ เศวตชัยกุล, ชัยณรงค์ อมรบัญชรเวช Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273105 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การทบทวนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับระบาดวิทยาระดับโมเลกุลของวัณโรคที่กลับมาระบาดในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273362 <p>วัณโรค(Tuberculosis) ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั่วโลก โดยในปี 2022 มีรายงานผู้ป่วยวัณโรคประมาณ 10 ล้านรายและเสียชีวิต 1.5 ล้านราย โดยในจำนวนนี้มีประมาณ 500,000 รายที่เป็นผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการควบคุมวัณโรคและการแทรกแซงการแพร่เชื้อ ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 30 ประเทศที่มีภาระวัณโรคสูง โดยมีอุบัติการณ์ 150 ต่อประชากร 100,000 คน และมีอุบัติการณ์ของ MDR-TB ประมาณ 1.7% ในผู้ป่วยรายใหม่และ 10% ในผู้ป่วยที่เคยได้รับการรักษามาก่อน ความหลากหลายทางพันธุกรรมของ Mycobacterium tuberculosis (MTB) ในประเทศไทยประกอบด้วยทั้งสายพันธุ์ปักกิ่งและสายพันธุ์ที่ไม่ใช่ปักกิ่ง โดยสายพันธุ์ปักกิ่งมีความเกี่ยวข้องกับ MDR-TB และวัณโรคที่ดื้อยาขั้นสูง (XDR-TB) การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจการกลายพันธุ์ของยาชั้นแรกที่เกี่ยวข้องกับการดื้อยาในสายพันธุ์ปักกิ่ง และสรุปข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด โปรไฟล์การกลายพันธุ์ การกลายพันธุ์ใหม่ และผลกระทบต่อการจัดการวัณโรคตามพันธุกรรมของ MTB ข้อมูลระบาดวิทยาระดับโมเลกุลของ MDR-TB มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกลยุทธ์ด้านสาธารณสุข ช่วยในการติดตามการกระจายทางภูมิศาสตร์และการแพร่เชื้อของโคลน MTB ที่ดื้อต่อยา <br /> การศึกษาครั้งนี้นี้ได้ทำการค้นคว้าเอกสารอย่างเป็นระบบโดยใช้ฐานข้อมูล เช่น PubMed, Scopus และ Web of Science เน้นการศึกษาเกี่ยวกับระบาดวิทยาระดับโมเลกุลของวัณโรคในประเทศไทยที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 2000 ถึง 2023 ผลการทบทวนพบว่าสายพันธุ์ปักกิ่งมีการแพร่กระจายในประเทศไทยมากที่สุด มีความเกี่ยวข้องกับอัตราการแพร่เชื้อสูงและการดื้อยา รวมถึงพบการกลายพันธุ์เฉพาะ เช่น H526P, Q513P, และ H526C ในยีน rpoB การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกลายพันธุ์เหล่านี้และผลกระทบต่อการดื้อยามีความสำคัญต่อการพัฒนากลยุทธ์การควบคุมและการรักษาวัณโรคที่มีประสิทธิภาพในประเทศไทยและพื้นที่ที่มีภาระสูงอื่น ๆ</p> พาณิภัค วิชญเธียร Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273362 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและการตรวจสอบการปนเปื้อนปรสิตของผักสดในตลาดอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273480 <p>การบริโภคผักสดมักเสี่ยงต่อการปนเปื้อนปรสิตที่ก่อโรคได้ อาจปนเปื้อนเชื้อจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ดิน น้ำ ปุ๋ยที่ทำจากมูลสัตว์ อุจจาระมนุษย์ รวมทั้งกระบวนการเก็บเกี่ยวและการขนส่ง การวิจัยเชิงทดลองนี้เพื่อศึกษาความชุกของปรสิตในผักสดจากตลาด 5 แห่งในอำเภอเมือง นครราชสีมา และเพื่อเปรียบเทียบความชุกและชนิดของปรสิตที่พบในผัก ตัวอย่างผักที่ใช้ในการทดลอง โดยการสุ่มเก็บตัวอย่างผักสด 4 ชนิด ได้แก่ ผักชี ต้นหอม ขึ้นฉ่าย ผักชีฝรั่ง ชนิดละ 7 ตัวอย่าง จากตลาดสด 5 แห่ง ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม 2566</p> <p>ผลการศึกษาโดยใช้วิธีตกตะกอนด้วย detergent พบไข่ของพยาธิชนิด <em>Fasciola</em> spp., <em>Taenia</em> spp., <em>Strongyloides stercoralis.</em>, Minute intestinal fluke จำนวน 10 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 7.1 ความชุกนี้สูงกว่าวิธีทำให้ลอยตัวด้วยน้ำเกลืออิ่มตัว ซึ่งไม่พบปรสิต ผักขึ้นฉ่ายและผักชีฝรั่งพบความชุกของไข่พยาธิสูงสุด ร้อยละ 11.4 ในทางตรงข้าม ต้นหอมมีความชุก ร้อยละ 5.7 ในขณะที่ผักชีไม่พบปรสิต เมื่อวิเคราะห์ความชุกของปรสิตในตลาดต่าง ๆ พบว่า ตลาดมะขามเฒ่ามีความชุกสูงสุด ร้อยละ 17.9 ตลาดศีรษะละเลิงและตลาดการเคหะมีความชุก ร้อยละ 7.1 และตลาดสุรนคร มีความชุกร้อยละ 3.6 ไม่พบปรสิตจากตลาดเทิดไท</p> <p>ผักสดอาจปนเปื้อนไข่ปรสิตได้ ควรตระหนักถึงความสะอาดและสุขอนามัยในการจัดการและเตรียมผักสดสำหรับการปรุงอาหาร ช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อปรสิตจากผักที่ปนเปื้อนสู่มนุษย์</p> วรินทร์ดา ไกรเทพ, พลวรรต ทองสุข Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273480 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ผลของแอปพลิเคชันแจ้งเตือนการรับประทานยาในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273641 <p>การวิจัยเรื่อง ผลการใช้แอพพลิเคชั่นแจ้งเตือนการรับประทานยาในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีวัตถุประสงค์วิจัยดังนี้ 1)เพื่อศึกษาผลการใช้แอพพลิเคชั่นต่อพฤติกรรมการรับประทานยาในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง 2)เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการใช้แอพพลิเคชั่นแจ้งเตือนรับประทานยา รูปแบบการวิจัยเป็นแบบกลุ่มเดียวัดผลก่อน หลังการทดลอง (One-Group Pretest -Posttest Design) ประชากรได้แก่ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่มีสาเหตุร่วมมาจากการลืมรับประทานยา จำนวน 102 คน กลุ่มตัวอย่างได้จากการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามวิธีของ การประมาณค่า จำนวน 30 คน ผลการวิจัย พบว่าก่อนการใช้แอพพลิเคชั่น แจ้งเตือนการรับประทานยาโรคความดันโลหิตสูง ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood pressure) 146.00, SD.=0.258 ค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood pressure) เท่ากับ 91.87, SD.= 0.825 และหลังการใช้แอพพลิเคชั่นแจ้งเตือนการ รับประทานยาโรคความดันโลหิตสูง พบว่าค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood pressure) เท่ากับ142.33, SD.= 0.310 และพบว่าค่าเฉลี่ยความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood pressure) เท่ากับ 86.83, SD.= 0.942</p> <p>ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่อแอปปลิเคชันแจ้งเตือนการรับประทานยาสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก่อนการใช้งานมีค่าเฉลี่ย 3.23 และหลังการใช้งานมีค่าเฉลี่ย 3.27 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีความพึงพอใจต่อแอปลิเคชันแจ้งเตือนการรับประทานยาสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น</p> ฐพัชร์ คันศร, อานนท์ สังขะพงษ์, ปัณณทัต บนขุนทด, อดิศา อาจทวีกุล; มายุรี โปรัมย์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/273641 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาสำหรับเพื่อนสนิทของผู้ถูกรังแกทางไซเบอร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274240 <p>การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาสำหรับเพื่อนสนิทของผู้ถูกรังแกทางไซเบอร์ โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้ด้านการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม และ 2) เปรียบเทียบทักษะการให้คำปรึกษาก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มเป้าหมาย คือ วัยรุ่นจำนวน 32 คน ที่ได้จากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ (Purposive Sampling) ระยะเวลาในการศึกษา เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม พ.ศ. 2566 เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) การวัดความรู้และโปรแกรมพื้นฐานด้านการให้การปรึกษา ซึ่งมี 5 เทคนิค โดยมี 3 ขั้นตอนดังนี้ 1) ประเมินคุณลักษณะผู้ให้คำปรึกษา 14 ประการ 2) วัดความรู้ของเพื่อนสนิท ประกอบ ด้วย 2 ส่วน 1) แหล่งที่มาของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรู้ของการให้คำปรึกษา 2) แบบวัดระดับความรู้ของเพื่อนสนิท 25 ข้อ เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าความเชื่อมั่นและความเที่ยงตรง เท่ากับ 0.80, 0.83 ตามลำดับ กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 32 คน ที่ผ่านการประเมินคุณลักษณะผู้ให้คำปรึกษา 14 ประการ คิดเป็น ร้อยละ 100.00</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความรู้ของเพื่อนสนิทผู้ถูกรังแกทางไซเบอร์ส่วนใหญ่มีระดับคะแนนมีความรู้น้อย ร้อยละ 66.66 ส่วนระดับคะแนนความรู้มาก มีเพียงร้อยละ 33.34 โดยแหล่งที่มาของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรู้ของการให้คำปรึกษา ของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ได้รับจากเนื้อหาในวิชาเรียนร้อยละ 60.00 อันดับต่อมาได้มาจากการสอดแทรกในการเรียนการสอนและแหล่งรับรู้นอกมหาวิทยาลัย เช่น สื่อ อินเทอร์เน็ต ทีวีร้อยละ 46.77 และจากสื่อต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ร้อยละ 40.00 และจากนิทรรศการนาน ๆ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 66.70 หลังจากเข้าร่วมโปรแกรมการพัฒนาทักษะการให้คำปรึกษาแล้วมีความรู้ด้านการให้คำปรึกษาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 มีทักษะด้านการให้คำปรึกษาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p> นภาพร เหลืองมงคลชัย, ฐพัชร์ คันศร Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274240 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ผลการพัฒนารูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274456 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์ การศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการเสียชีวิตจากการจมน้ำ คำนวณกลุ่มตัวอย่างจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 ในพื้นที่อำเภอเสี่ยงสูง จำนวน 283 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบและทดลองใช้ในโรงเรียนต้นแบบ โดยมีขั้นตอนการทำวิจัยซึ่งประยุกต์ใช้รูปแบบ PAOR คือ ขั้นวางแผนการดำเนินการ (Planning) ขั้นลงมือปฏิบัติ (Action) ขั้นสังเกต (Observation) และขั้นสะท้อนผล (Reflection) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแนวคำถามในการสนทนากลุ่ม และระยะที่ 3 ประเมินผลรูปแบบฯ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามความรู้ ความรอบรู้และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการจมน้ำ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. ความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการจมน้ำของกลุ่มนักเรียน ในภาพรวม 5 ทักษะ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ร้อยละ 05 มีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพอยู่ในระดับมีปัญหา รองลงมาเป็นระดับพอเพียง ร้อยละ 32.51 ระดับไม่พอเพียง ร้อยละ 16.25 และระดับดีเยี่ยม ร้อยละ 9.19 ตามลำดับ ควรสอดแทรกการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพไปกับกิจกรรมของโรงเรียน ได้แก่ การให้ความรู้ออนไลน์ รวมไปถึงการทำเทคโนโลยีเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์</li> <li>2. รูปแบบการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดสุรินทร์ มีองค์ประกอบ ดังนี้ 1) การคืนข้อมูลเพื่อร่วมวางแผน 2) การทำงานแบบบูรณาการในรูปแบบคณะทำงานจากทีมผู้ก่อการดีป้องกันการจมน้ำ 3) การสร้างและพัฒนาการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับเครือข่ายทีมผู้ก่อการดีป้องกันการจมน้ำ 4) การคัดเลือกพื้นที่โรงเรียนต้นแบบ 5) การติดตามประเมินผล โดยทำการทดลองใช้โปรแกรมการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ พบว่า ภายหลังการทดลองใช้โปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการจมน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 05)</li> </ol> <p> สรุปได้ว่า รูปแบบการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันการจมน้ำสามารถพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการจมน้ำได้</p> พรรณรัตน์ เป็นสุข, มานะชัย สุเรรัมย์, จันทกานต์ วลัยเสถียร Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274456 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ความชุกของผู้ต้องขังแรกรับติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซีในเรือนจำกรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274926 <p>การทราบสถานการณ์ความชุกของเชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบซี และซิฟิลิสของผู้ต้องขังแรกรับจะนำไปสู่การวางแผนในการควบคุมโรคในเรือนจำ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี่ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความชุกของเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี ใช้รูปแบบการศึกษาเชิงพรรณนา ศึกษาในผู้ต้องขังแรกรับของเรือนจำกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 - 30 กันยายน 2566 โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากฐานข้อมูลรายงานบันทึกผลการคัดกรองเชื้อเอชไอวี โรคซิฟิลิส และโรคไวรัสตับอักเสบซี ของเรือนจำ 4 แห่ง และทัณฑสถาน 3 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษา จำนวนผู้ต้องขังแรกรับทั้งหมด 12,401 คน พบผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี ร้อยละ 1.56, 2.24 และ 2.49 ตามลำดับ มีผู้ต้องขังแรกรับที่ได้รับการคัดกรองเชื้อเอชไอวี จำนวน 10,904 คน โรคซิฟิลิส จำนวน 10,100 คน โรคไวรัสตับอักเสบซี จำนวน 10,136 คน พบความชุกของเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี ในกลุ่มผู้ต้องขังที่ได้รับการคัดกรอง เท่ากับ 18.10, 27.40 และ 30.50 ต่อ 1,000 ประชากร ตามลำดับ ในผู้ต้องขังแรกรับคนไทยมีความชุกของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี เท่ากับ 18.10, 28.70 และ 32.20 ต่อ 1,000 ประชากร ตามลำดับ ผู้ต้องขังแรกรับต่างชาติมีความชุกของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี เท่ากับ 18.20, 9.20 และ 6.00 ต่อ 1,000 ประชากร ตามลำดับ</p> <p>โดยสรุปผู้ต้องขังแรกรับคนไทยในเรือนจำกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี มากกว่าโรคซิฟิลิสและเชื้อเอชไอวี และผู้ต้องขังต่างชาติในเรือนจำกรุงเทพมหานครพบผู้ติดเชื้อเอชไอวี มากกว่าโรคซิฟิลิส และไวรัสตับอักเสบซี ดังนั้น เรือนจำควรให้ความสำคัญกับการคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แก่ผู้ต้องขังทุกราย และการตรวจคัดกรองที่รวดเร็ว ทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาที่ทันท่วงที และลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อภายในเรือนจำ</p> จิตติรัตน์ ตามสัตย์, อมรชัย ไตรคุณากรวงศ์, แก้วใจ มาทอง Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/274926 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบของปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนต่อจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากในจังหวัดปทุมธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275166 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงความสัมพันธ์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนต่อจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากในจังหวัดปทุมธานี ข้อมูลอนุกรมเวลารายเดือนของจังหวัดปทุมธานี ในช่วง เดือนมกราคม พ.ศ. 2561 ถึง เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567 ประกอบด้วย ปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนรวบรวมจากคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากรายเดือนรวบรวมจากระบบรายงานการเฝ้าระวังโรค 506 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสหสัมพันธ์เพียร์สันและตัวแบบเชิงเส้นนัยทั่วไป ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันระหว่างปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนและจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากรายเดือนเท่ากับ 0.573 ตัวแบบเชิงเส้นนัยทั่วไปที่มีจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากรายเดือนเป็นตัวแปรตาม มีปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนเป็นตัวแปรต้นได้ตัวแบบถดถอยควอไซปัวซง (Quasi-Poisson regression) มีสัมประสิทธิ์การกำหนดเท่ากับ 0.385 ซึ่งแสดงอัตราเสี่ยงเมื่อตัวแปรต้นปริมาณฝนรายวันเฉลี่ยรายเดือนเพิ่มขึ้น 1 มิลลิเมตร จำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากรายเดือนจะเพิ่มเป็น 1.01 เท่าของจำนวนผู้ป่วยโรคมือเท้าปากรายเดือนเฉลี่ย กล่าวได้ว่า ข้อมูลการพยากรณ์ปริมาณฝนรายวันล่วงหน้าสามารถใช้เป็นปัจจัยนำเพื่อประเมินจำนวนผู้ป่วยจากโรคมือเท้าปากเพื่อการดำเนินการทางด้านสาธารณสุขที่เหมาะสมต่อไป</p> ฉัตรสิริ ฉัตรภูติ, วัฒนา ชยธวัช Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275166 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้สถานะทางสุขภาพ การเข้าถึงบริการสุขภาพและความพึงพอใจในการรับบริการสุขภาพ ของแรงงานข้ามชาติ ในจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดระนอง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275186 <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้สถานะทางสุขภาพ การเข้าถึงบริการและความพึงพอใจในการ<br />รับบริการสุขภาพของแรงงานข้ามชาติในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดระนอง เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการจัดบริการสาธารณสุขแก่แรงงานข้ามชาติได้อย่างเหมาะสม ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ (Systematic random sampling) เป็นแรงงานข้ามชาติ อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและระนอง ที่สามารถสื่อสารและเข้าใจภาษาไทยได้ฟังหรืออ่านภาษาของตนเองได้ และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ การศึกษาครั้งนี้มีแรงงานข้ามชาติเข้าร่วมโครงการ จำนวน 413 คน โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม 2567 โดยใช้แบบสอบถามซึ่งประกอบไปด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามเกี่ยวกับการรับรู้สถานะทางสุขภาพ การเข้าถึงบริการสุขภาพและความพึงพอใจในการรับบริการสุขภาพ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่เป็นเพศชายร้อยละ 50.1 ทั้งสองเพศมีสัดส่วนมากที่สุดคือ<br />กลุ่มอายุ 25-34 ปี ร้อยละ 30.5 มีสัญชาติเมียนมา ร้อยละ 100 แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศไทยระหว่าง <br />1-3 ปี ร้อยละ 34.4 สถานภาพสมรส ร้อยละ 57.6 การศึกษาจบมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 43.1 ในด้านสถานะการจ้างงานของแรงงานข้ามชาติ ร้อยละ 92.0 มีงานทำ อาชีพสามอันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้าง ผู้ช่วยร้านค้า และอาชีพอิสระ คิดเป็น ร้อยละ 55.4 ร้อยละ 6.8 และ ร้อยละ 5.8 ตามลำดับ รายได้หลักของแรงงานข้ามชาติอยู่ที่ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน <br />คิดเป็นร้อยละ 37.5 สถานการเงินต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดและอดออม ร้อยละ 67.3 ข้อมูลสุขภาพตนเองดีมาก ร้อยละ 48.0 ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิตน้อยกว่า 5 วัน ส่วนใหญ่ร้อยละ 82.8 และ 79.0 ข้อมูลประกันสุขภาพของตนเอง <br />พบว่าส่วนใหญ่ทราบข้อมูลประกันสุขภาพของตนเอง ร้อยละ 64.0 และไม่ทราบข้อมูลบัตรประกันสุขภาพของตนเอง <br />ร้อยละ 27.0 สำหรับคนที่มีบัตรประกันสุขภาพส่วนใหญ่ใช้บัตรประกันสังคม ร้อยละ 42.6 และใช้ประกันสุขภาพ<br />กับบริษัทเอกชน ร้อยละ 16.5 เมื่อจำเป็นต้องพบแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อรักษาการเจ็บป่วย<br />มีความพึงพอใจต่อบริการที่ได้รับบางครั้ง คิดเป็นร้อยละ 22.5 สำหรับข้อมูลการเข้ารับตรวจสุขภาพฟัน ส่วนใหญ่ไม่เคย<br />ไปพบทันตแพทย์ ร้อยละ 63.4 และพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันภายใน 1 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 11.6 และ<br />ใน 30 วันที่ผ่านมาเมื่อเจ็บป่วยจะรับประทานยาแก้ปวด 1-3 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 20.6 และอีกร้อยละ 57.6 ไม่เคยรับประทานยาแก้ปวด ลดไข้</p> <p> </p> วราภรณ์ ใจคุ้มเก่า, สุมนี วัชรสินธุ์, สุทัศน์ โชตนะพันธ์, วนิดา สังยาหยา, แสนสุข เจริญกุล Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275186 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มารับบริการหน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางเรียง ตำบลคลองแม่ลาย อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275885 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา เก็บข้อมูลแบบภาคตัดขวาง เพื่อวัดระดับความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มารับบริการหน่วยบริการปฐมภูมิ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางเรียง ตำบลคลองแม่ลาย อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูล ระหว่าง 1 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน พ.ศ. 2567 โดยใช้แบบสอบถามความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค เท่ากับ 0.76 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 86.7 อยู่ในช่วงอายุ 70 ปีขึ้นไป ร้อยละ 36.7 โดยมีอายุเฉลี่ย 63.9 ปี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 13.2 อายุน้อยสุด 39 ปี และอายุมากสุด 88 ปี ส่วนใหญ่มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 80.0จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 90.0 ไม่ได้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 33.3 มีอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 33.3 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 5,000 บาท ร้อยละ 33.3 ดัชนีมวลกาย BMI (kg/m<sup>2</sup>) 25.0-29.9 (อ้วนระดับ 1) ร้อยละ 40.0 ระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวานเฉลี่ย 9.4 ปี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 7.6 ระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวานน้อยสุด 1 ปี และระยะเวลาที่เป็นโรคเบาหวานมากสุด 30 ปี ระดับน้ำตาลในเลือด (HbA1c) ส่วนใหญ่มีค่าระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ที่ระดับน้อยกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 7.0 (ควบคุมดี) ร้อยละ 56.7 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานมากที่สุด คือ การกินอาหาร การควบคุมอาหาร แนวทางที่ควรปฏิบัติตัวในการรักษาและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด คิดเป็นร้อยละ 100.0 มีทัศนคติเกี่ยวกับโรคเบาหวานมากที่สุด คือ หากควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย จะช่วยชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง การออกกำลังกายทำให้ควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น การมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการของโรคเป็นสิ่งจำเป็น ร้อยละ 96.7 และมีพฤติกรรมเกี่ยวกับโรคเบาหวานด้านการบริโภคอาหาร ด้านการออกกำลังกาย ด้านการใช้ยา ด้านพฤติกรรมป้องกันภาวะแทรกซ้อนมากที่สุด ร้อยละ 100.0 ส่งผลให้สามารถชะลอการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดภาระทางสุขภาพ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ การสนับสนุนจากครอบครัว ชุมชน และระบบบริการสุขภาพก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานอย่างยั่งยืน</p> นเรศ ขำเจริญ, สุดารัตน์ สุดเขียว, อภิญญา ผันอักษร, วชากร นพนรินทร์ Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/275885 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาบทบาทและการรับรู้ของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) ในการลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน เขตสุขภาพที่ 3 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276568 <p>&nbsp;&nbsp; การวิจัยแบบผสานวิธีมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาระดับการปฏิบัติ การมีส่วนร่วมในบทบาทของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ 2. เพื่อศึกษาระดับการเปลี่ยนแปลงด้านกายและกายภาพ จิตใจ อารมณ์ วิธีการศึกษา 1.การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายของ 5 จังหวัดๆละ 3 อำเภอ แต่ละอำเภอสุ่มคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง 21 คน 2.คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอสุ่มตัวอย่างแบบง่ายอำเภอละ 1 คน ตั้งแต่ตุลาคม 2564 - กันยายน 2565&nbsp; มีผู้ตอบแบบสอบถาม 290 ราย เป็นตัวแทนภาครัฐ ร้อยละ 62.06 รองลงมาเป็นภาคประชาชนร้อยละ 20.68 เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอมีความพึงพอใจมากที่สุดร้อยละ 45.70 รองลงมาระดับมากร้อยละ 39.10 การวิเคราะห์แบบสอบถามพบว่าภาพรวมอยู่ในปานกลาง (Mean = 31.21, S.D. = 0.71)&nbsp; เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าด้านเติมเต็มส่วนขาดทรัพยากร (Mean = 2.08, S.D. = 0.71) หัวข้อที่ได้คะแนนน้อย คือ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยการปฏิบัติตามบทบาทต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทางบวก (<em>b</em> = .49) โดยที่อธิบายความผันแปรร้อยละ 24.0 (R<sup>2</sup> = .240) อย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>-value=0.01) การวิเคราะห์ข้อมูลการสนทนากลุ่มของคณะกรรมการได้สะท้อนประเด็นที่จะทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้น ข้อเสนอแนะควรปรับปรุง สิทธิประโยชน์ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพของประชาชน ติดตามการบริหารจัดการทรัพยากร</p> สันติ เกิดทองทวี, ชรินทร์ ห่วงมิตร, ณัฐพนธ์ ธัญญาโชติหิรัญ, ศิรินทิพย์ ศาศวัตชวาลวงศ์ , ชม ปานตา Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276568 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 แรงจูงใจและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงาน เขตสุขภาพที่ 9 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276688 <p>การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ปัจจัยที่จะทำให้การป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีให้สำเร็จตามเป้าหมายนั้นต้องอาศัยแรงจูงใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะกระตุ้นให้บุคคลมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จ การศึกษาเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจและปัจจัยแห่งความสำเร็จที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงาน เขตสุขภาพที่ 9 ประชากรที่ศึกษาคือ ผู้รับผิดชอบงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอและโรงพยาบาล ในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 9 ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) ได้จำนวน 64 คน ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกเป็นผู้รับผิดชอบงาน 1 ปีขึ้นไป และเป็นอำเภอที่พบอัตราความชุกพยาธิใบไม้ตับ มากกว่าร้อยละ 2 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า ระดับแรงจูงใจในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง (= 3.66, S.D. = 0.50) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ปัจจัยจูงใจอยู่ในระดับมาก (= 3.96, S.D. = 0.32) และปัจจัยค้ำจุนอยู่ในระดับปานกลาง (= 3.52, S.D. = 0.59) และปัจจัยแห่งความสำเร็จในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 3.86, S.D. = 0.57) โดยแรงจูงใจในการดำเนินงานมีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้และมะเร็งท่อน้ำดีเชิงบวกระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 (r=0.726) และปัจจัยแห่งความสำเร็จมีความสัมพันธ์กับการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคพยาธิใบไม้และมะเร็งท่อน้ำดีเชิงบวกระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 (r = 0.741) ดังนั้นควรส่งเสริมให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมีการกำหนดบทบาทหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจนและให้ความสำคัญกับปัจจัยค้ำจุนด้านชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัวโดยมีการจัดระบบการดำเนินงานให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ส่วนตัวน้อยที่สุดเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีความสุขในการทำงานเกิดการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> สุรางคนา แสงผล Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276688 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ของประชาชนอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276709 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบเชิงสำรวจ (Survey Research) วัตถุประสงค์ศึกษาความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่และเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ของประชาชนอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่าง ประชาชนอำเภอท่าใหม่ จำนวน 423 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multiple Random Sampling) เก็บข้อมูลในวันที่ 15 เดือน ธันวาคม 2567 ถึง มกราคม 2568 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลแบบสอบถามความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ และแบบสัมภาษณ์ ข้อเสนอแนะต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้วยวิธีความตรงตามเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 0.85 และหาค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธีครอนบาคแอลฟาได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา วิเคราะห์ความแตกต่างความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทของข้อมูลส่วนบุคคลด้วยสถิติความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) </p> <p>ผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่อยู่ในระดับปานกลางคิดเป็นร้อยละ 60.30 โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 44.01 กลุ่มตัวอย่างที่เคยรับบริการใบรับรองแพทย์ดิจิทัล, บริการใบสั่งยาออนไลน์, บริการการส่งยาทางไปรษณีย์, บริการคลินิกพยาบาลอบอุ่น, บริการเทคนิคการแพทย์ชุมชน, บริการคลินิกเวชกรรมชุมชน, บริการคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น, บริการคลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่นและบริการแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่นมีคะแนนความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่สูงกว่ากลุ่มที่ไม่เคยรับบริการ กลุ่มตัวอย่างที่มีอายุที่แตกต่างกันและรายได้ที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้เป็นแนวทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการพัฒนาช่องทางการประชาสัมพันธ์นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ที่เหมาะสม โดยเน้นการเสริมสร้างการรับรู้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ที่ให้บริการในพื้นที่ รวมทั้งการปรับปรุงบริการนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ในสถานบริการอย่างต่อเนื่อง</p> ไพรัตน์ ศรีสิทธิ์, ณัฐรดา แฮคำ, จริยา ทรัพย์เรือง Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276709 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมการจัดการตนเอง ต่อความรู้ พฤติกรรมการจัดการตนเอง และอัตราการกรองของไต ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 4 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276736 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Designs) แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง วัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของโปรแกรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง คลินิกโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลท่าใหม่ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ประชากร คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เป็นเบาหวานและเป็นโรคไตเรื้อรัง ระยะที่ 3 ถึงระยะที่ 4 ที่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและลงทะเบียนในคลินิกโรคไตเรื้อรัง ซึ่งบูรณาการร่วมกับคลินิกเบาหวานโรงพยาบาลท่าใหม่ อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 60 ราย ดำเนินการศึกษาระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการจัดการตนเองผู้ป่วยเบาหวานเพื่อชะลอไตเสื่อม เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวม ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ของผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรัง แบบประเมินพฤติกรรมการจัดการตนเองเพื่อชะลอไตเสื่อมของผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะไตเรื้อรัง และแบบบันทึกอัตราการกรองของไต วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบความรู้ พฤติกรรมการจัดการตนเอง และอัตราการกรองของไตของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมการจัดการตนเอง โดยสถิติ Paired t-test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 68.30 อายุอยู่ในช่วง 70-79 ปี รองลงไปอยู่ในช่วง 60-69 ปี ร้อยละ 43.33 และ 26.67 ตามลำดับ (<em>M</em> = 73.15, <em>SD</em> = 8.65) สถานภาพสมรสคู่ร้อยละ 60.00 การศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 91.67 ไม่ได้ประกอบอาชีพมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.67 รายได้ต่อเดือนอยู่ในช่วง 5,001-10,000 บาทต่อเดือนมากที่สุด ร้อยละ 56.67 (<em>M</em> = 10,755.00, <em>SD</em> = 7,386.10), หลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เรื่องชะลอไตเสื่อม และพฤติกรรมการจัดการตนเองสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (<em>t</em> = 16.79, <em>p</em> &lt; .001, <em>t</em> = 25.84, <em>p</em> &lt; .001) ส่วนอัตราการกรองของไตสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>t </em>= .73,<em> p</em> &gt; .05)</p> <p>จากผลการวิจัยพบว่า โปรแกรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีการจัดการตนเองได้เหมาะสมกับโรค ดังนั้นจึงควรนำไปใช้ในคลินิกโรคไตเรื้อรังต่อไป โดยควรประเมินผลของการจัดการตนเองเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง</p> วรรณศรี ชาญพนา, ศักดิ์นรินทร์ หลิมเจริญ, ณัฐรดา แฮคำ Copyright (c) 2025 วารสารสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/iudcJ/article/view/276736 Tue, 27 May 2025 00:00:00 +0700