ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์โดย ไม่สวมถุงยางอนามัยในกลุ่มผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
ความเป็นมา ปัจจุบันสถานการณ์โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั่วโลกและประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในวัยรุ่นและเยาวชน สอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในจังหวัดเชียงรายสูงเป็นอันดับที่ 5 ของประเทศ ซึ่งผู้ป่วยจำนวนมากยังขาดความตระหนักถึงอันตรายของโรค ดังนั้นการวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการไม่สวมถุงยางอนามัยในผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่สัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยในกลุ่มผู้ติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ในเขตอำเภอเมืองเชียงราย
วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาแบบ cross-sectional study ในผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามประกอบด้วยปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการไม่สวมถุงยางอนามัยในเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดในกลุ่มผู้ติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ที่มารับบริการคลินิกเพื่อนสุขภาพ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ถึง 31 สิงหาคม พ.ศ.2567 จำนวน 100 คน โดยใช้สถิติ Multivariable logistic regression ด้วยวิธี backward elimination โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติโดยใช้ค่า p< 0.050
ผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างจำนวน 100 คนมีอายุเฉลี่ย 23.94 (± 6.54) ปี พบผู้ป่วยที่ไม่สวมถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดจำนวน 60 คน (ร้อยละ 60) เมื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์คราวละหลายปัจจัยพบว่า ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการไม่สวมถุงยางอนามัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติคือ การไม่มีถุงยางอนามัยขณะจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุด (aOR 171, 95% CI 36.15-808.90, p<0.001)
สรุปและข้อเสนอแนะ ความชุกการไม่สวมถุงยางอนามัยในเพศสัมพันธ์ครั้งล่าสุดของผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ที่มารับบริการคลินิกเพื่อนสุขภาพร้อยละ 60 การไม่มีถุงยางอนามัยขณะจะมีเพศสัมพันธ์เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการไม่สวมถุงยางอนามัย ดังนั้นการพกถุงยางอนามัยติดตัวเป็นค่านิยมที่ควรได้รับการส่งเสริมและนำไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณสุขต่อไปในอนาคต
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
STI Statistics. National Overview of STIs in 2023 [Internet]. Atlanta: Centers for Disease Control and Prevention; 2024 [November 12; cited 2025 Mar 14]. Available from: https://www.cdc.gov/sti-statistics/annual/summary.html.
ThaiHealthStat. 10 health situations 2011-2020 [Internet]. Nonthaburi: Health Information System Development Office; [date unknown] [cited 2025 Mar 14]. Available from: https://www.hiso.or.th/thaihealthstat/analysis/report.php?y=25542563.
Nnedu ON, McCorvey S, Campbell-Forrester S, Chang J, Salihu HM, Jolly PE. Factors influencing condom use among sexually transmitted infection clinic patients in Montego Bay, Jamaica. Open Reprod Sci J. 2008;1:45-50.
Babalola S. Gender differences in the factors influencing consistent condom use among young people in Tanzania. Int J Adolesc Med Health. 2006;18(2):287-98.
Fonte VRF da, Pinheiro CDP, Barcelos N de S, Costa CMA, Francisco MTR, Spindola T. Fatores associados ao uso do preservativo entre jovens homens que fazem sexo com homens. Enfermería Global. 2017;16(2):50–93.
Chaiyamahapurk S. Prevalence and risk factor of unprotected sex among HIV-infected patients
in lower north: the second survey. Disease Control Journal. 2021;38(1):24-30.
Noll M, Noll PRES, Gomes JM, Soares Júnior JM, Silveira EA, Sorpreso ICE. Associated factors and sex differences in condom non-use among adolescents: Brazilian National School Health Survey (PeNSE). Reprod Health. 2020;17(1):139.
Alcedo S, Kossuth-Cabrejos S, Piscoya A, Mayta-Tristán P. Factors associated with non-use of condoms in an online community of frequent travellers. Travel Med Infect Dis. 2014;12(6 Pt B):750-6.
Ayele WM, Tegegne TB, Damtie Y, Chanie MG, Mekonen AM. Prevalence of consistent condom use and associated factors among serodiscordant couples in Ethiopia, 2020: a mixed-method study. Biomed Res Int. 2021;2021:9923012.
