ประสิทธิผลของการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม ในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

Main Article Content

๋Jarupron Promsiridach
Thanatphat Sriudon
Piyanoot Chanapun

บทคัดย่อ

บทนำและวัตถุประสงค์: โรคเบาหวานเป็นโรคที่เซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน โดยกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้จึงทำให้ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดสูงขึ้นกว่าระดับปกติ วิธีการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 เป็นการปฏิบัติสมาธิด้วยการหายใจเพื่อควบคุมการทำงานของ Baroreflex ให้ทำงานช้าลง ลดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ เพื่อลดความดันโลหิต การผ่อนคลายกล้ามเนื้อลาย ความตึงเครียด และการลดน้ำตาล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาผลการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 สำหรับควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) ภายในและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม (2) เพื่อเปรียบเทียบการควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือดได้ดีของกลุ่มทดลอง และ (3) เพื่อศึกษาผลการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 สำหรับลดความเครียด ภายในและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยผลการศึกษาที่ได้จะสามารถนำไปใช้เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2


          วิธีการศึกษา: การวิจัยกึ่งทดลองชนิดสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลองจากผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 หรือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมกับความดันโลหิตสูงที่มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) อยู่ระหว่าง 7.0–10.0% มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ไม่อยู่ระหว่างการเข้าร่วมวิจัยที่มีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) คู่มือการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 คำนวณค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 และ (2) แบบประเมินและวิเคราะห์ความเครียดด้วยตนเองของกรมสุขภาพจิต ฉบับปี 2020 ตัวอย่างจำนวน 84 คน โดยกลุ่มทดลองดำเนินการทดลองด้วยการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 ตลอดระยะเวลา 3 เดือนอย่างสม่ำเสมอ 3 วันต่อสัปดาห์ (วันจันทร์ พุธ และศุกร์) กำหนดให้ SKT1 ปฏิบัติช่วงเช้าหลังตื่นนอน SKT2 ปฏิบัติช่วงเย็น และ SKT3 ปฏิบัติก่อนนอน และกลุ่มควบคุมดำเนินการดูแลรักษาพยาบาลตามปกติ ทดสอบการกระจายตัวของข้อมูลและเปรียบเทียบระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) และความเครียดด้วยสถิติ Wilcoxon Singed Ranks Test, The Mann–Whitney U Test, McNemar Test ที่นัยสำคัญทางสถิติ p < 0.05


          ผลการศึกษา: กลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมการปฏิบัติสมาธิบำบัด SKT1–3 มีระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) ต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมการปฏิบัติสมาธิบำบัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยกลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมการปฏิบัติสมาธิบำบัดสามารถควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) ได้ดีสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) มีจำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 71.43 โดยระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) เฉลี่ยเท่ากับ 6.67% นอกจากนั้นกลุ่มทดลองหลังเข้าร่วมการปฏิบัติสมาธิบำบัด SKT1–3 มีความเครียดต่ำกว่าก่อนเข้าร่วมการปฏิบัติสมาธิบำบัดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) และต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยกลุ่มทดลองมีความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 15.43 คะแนน ซึ่งถือว่ามีความเครียดอยู่ในเกณฑ์ปกติ


          อภิปรายผล: การปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 เป็นการดูแลรักษารูปแบบการแพทย์ผสมผสาน (Integrative medicine) ระหว่างการรักษาโดยแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือกที่ช่วยลดระดับน้ำตาล เฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) และความเครียดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงถึงแนวโน้มที่ดีของการปฏิบัติสมาธิบำบัดต่อการควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) และความเครียดในระยะยาว โดยกลไกสำคัญของสมาธิบำบัดคือการลดความเครียดทางจิตใจ ควบคุมการทำงานของ Baroreflex ให้ทำงานช้าลง และลดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ และเพิ่มกิจกรรมของ Parasympathetic ส่งผลให้ระดับคอร์ติซอล (Cortisol) และแคทีโคลามีน (Catecholamines) ลดลง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการเพิ่มความไวต่ออินซูลิน และลดการสร้างกลูโคสจากตับ ภายหลังการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 สามารถปรับสมดุลของกลไกทางจิต–ประสาท–ต่อมไร้ท่อที่นำไปสู่การควบคุมระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) ในระยะยาวได้ดี จึงเป็นแนวทางเสริมที่มีประสิทธิผลในการจัดการโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน


          ข้อสรุปและข้อเสนอแนะ: การปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 อย่างสม่ำเสมอสามารถลดระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) และความเครียดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยการลดลงของระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสมในเลือด (HbA1c) เฉลี่ยและความเครียดเฉลี่ยอาจไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติสมาธิบำบัดเพียงอย่างเดียว แต่อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น การตระหนักรู้ต่อสุขภาพที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าร่วมวิจัย การปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น ดังนั้นควรมีการศึกษาและใช้เป็นแนวทางหนึ่งสำหรับบูรณาการการปฏิบัติสมาธิบำบัดแบบ SKT1–3 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิและคลินิกโรคเรื้อรังสำหรับการดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมกับแนวทางการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน และอาจใช้สำหรับขยายผลสู่การป้องกันโรคในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ เช่น กลุ่มผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน ภาวะอ้วนลงพุง หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน เป็นต้น

Article Details

ประเภทบทความ
Original Articles

เอกสารอ้างอิง

. Diabetes Association of Thailand under the Patronage of Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn. Diabetes [Internet]. [cited 2025 Mar 13]. Available from: https://www.dmthai.org/new/index.php/sara–khwam–ru/sahrab–bukhkhl–thawpi/health–information–and–articles/health–information–and–articles–2561/2018–diabates–31

International Diabetes Federation. IDF Diabetes Atlas 2025 [Internet]. [cited 2025 May 7]. Available from: https://diabetesatlas.org/resources/idf–diabetes–atlas–2025/

Health Data Center (HDC). Standard data report [Internet]. [cited 2025 Mar 13]. Available from: https://hdc.moph.go.th/center/public/main. (in Thai)

Suwattanakul T. Factors related to blood sugar control among diabetes mellitus type 2 patients. J Health Syst Res. 2018;12(3):515–22. (in Thai)

Khanthacah S, Muktabhant B. Association of self–care behaviors and beliefs about diabetes with glycemic control of type 2 diabetic patients in a multiethnicity area, Nakae district, Nakhonphanom province. Srinagarind Med J. 2021;36(1):97–104. (in Thai)

Kaiwikaikoson A, Wanchai A, Kaewsasri A, Kuariyakul A. Stress management of patients with diabetes in Thailand: A systematic review. Boromarajonani Coll Nurs Uttaradit J. 2024;9(2):564–72. (in Thai)

Pooseemuang P, Pachkong S. The development of self–health care manual with meditation (SKT) therapy of diabetes person in Uthai hospital, Phra Nakon Si Ayutthaya province. J Environ Community Health. 2024;9(2):564–72. (in Thai)

Teeto P. The effects of SKT meditation practices (postures 1 and 3) on hemoglobin A1c levels, and fasting blood sugar (FBS) among patients with type 2 diabetes at Ban Kha Yai subdistrict health promoting hospital, Roi Et province. J Res Health Innov Dev. 2025;6(1):564–72. (in Thai)

Watchartsupakul S. The effects of SKT1, SKT2, and SKT3 meditation therapy on blood sugar levels among non–insulin dependent diabetes mellitus patients at non–communicable diseases clinic, Nong Sue district, Pathum Thani province. J Nurs Health Sci. 2022;16(2):66–80. (in Thai)

Department of Disease Control. National plan for the prevention and control of non–communicable diseases (2023–2027), Thailand [Internet]. [cited 2025 Mar 13]. Available from: https://ddc.moph.go.th/. (in Thai)

Triamchaisri S. Meditation practice for health healing. 15th ed. Bangkok: We Indy Design; 2018. (in Thai)

Department of Disease Control. Guidelines for community–based intervention of non–communicable disease prevention and control. 2nd ed. Bangkok: Emotion Art; 2009.

(in Thai)

At Samat Hospital. Clinical practice guideline 2025 for health service network, At Samat district, Roi Et province. Roi Et: At Samat Hospital; 2025. (in Thai)

Department of Mental Health. Khumue klai khriat (revised edition) [Internet]. [cited 2025 Mar 13]. Available from: https://dmh.go.th/ebook/result2.asp?id=345. (in Thai)