การพัฒนาแนวปฏิบัติการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลัก 10 ป. ของผู้สูงอายุในชุมชน
Article Sidebar
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยเชิงพัฒนา (Development Research) นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแนวปฏิบัติการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลัก 10 ป. ของผู้สูงอายุในชุมชน 2) ศึกษาประสิทธิผลของการใช้แนวปฏิบัติการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลัก 10 ป. ของผู้สูงอายุในชุมชน การพัฒนาแนวปฏิบัตินี้แบ่งเป็น 3 ระยะ 11 ขั้นตอนตามกรอบแนวคิดการพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิกของสภาวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุขแห่งชาติของประเทศออสเตรเลีย (NHMRC) โดยทีมพัฒนา ดำเนินการระหว่างเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 -เดือนมกราคม พ.ศ. 2563 กลุ่มตัวอย่าง คือ 1) ผู้สูงอายุ จำนวน 42 คน และ 2) อาสาสมัครสาธารณสุขที่กำหนดเป็นทีมการพยาบาลในการใช้แนวปฏิบัติฯ จำนวน 21 คน มีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงตามเกณฑ์การคัดเข้า (Purposive sampling) เครื่องมือวิจัยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1) แนวปฏิบัติการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลัก 10 ป. ของผู้สูงอายุในชุมชนวิจัยได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละฉบับ ๆ ละ 5 คน ได้ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.8-1และ 2) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินประสิทธิผลของทีมการพยาบาล มีค่าความตรงค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาเท่ากับ 0.8-1 และค่าความเชื่อมั่น 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติพรรณนา เขียนรายงานสรุปและประเมินผลการพัฒนาแนวปฏิบัติ แนวปฏิบัติการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลัก 10 ป. ของผู้สูงอายุในชุมชน มีการดำเนินการ 4 ขั้นตอน รวมระยะเวลา 4 สัปดาห์ สัปดาห์ที่ 1 (1) อบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลัก 10 ป.ของผู้สูงอายุในชุมชน กำหนดให้ อสม.เป็นทีมการพยาบาล (2) ประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน จำแนกผู้สูงอายุตามประเภทกลุ่มเสี่ยงที่พบ (3) อบรมเชิงปฏิบัติการแก่ผู้สูงอายุเพื่อให้ความรู้ กระตุ้นการรับรู้โอกาสเสี่ยงของการหกล้มและจัดกิจกรรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุตามปัจจัยเสี่ยงที่จำแนกได้ตามหลักการ 10 ป. มอบคู่มือป้องกันการหกล้ม และ (4) สัปดาห์ที่ 2- สัปดาห์ ที่ 4 เยี่ยมบ้านจำนวน 4 ครั้ง โดยทีมการพยาบาลเพื่อร่วมกันวางแผนปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม/ปรับเปลี่ยนการทำกิจกรรมในสถานที่ที่มีความเสี่ยง ตรวจสอบการรับประทานยาและให้คำแนะนำการรับประทานยากลุ่มเสี่ยง ทบทวนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการหกล้มด้วยคู่มือป้องกันการหกล้ม ประสิทธิผลของทีมการพยาบาลในด้านความถูกต้องขององค์ความรู้อยู่ในระดับดี (Mean = 20.71 ,SD. = 2.28 ) ด้านความรวดเร็วอยู่ในระดับดีมาก (Mean = 23.23 ,SD. = 1.22 ) ด้านความคิดสร้างสรรค์อยู่ในระดับดี (Mean = 20.14 ,SD. =3.33 ) รวมทุกด้านอยู่ในระดับดี ( Mean= 64.09 ,SD. = 5.04 ) แนวปฏิบัติการป้องกันการหกล้มแบบสหปัจจัยตามหลักการ 10 ป. ของผู้สูงอายุในชุมชน มีขั้นตอนการพัฒนาตามมาตรฐานสากลและเป็นแนวปฏิบัติที่ทีมการพยาบาลสามารถนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิผล ในการนำไปปฏิบัติจริงพบปัญหาประสิทธิผลในด้านความคิดสร้างสรรค์ คือ การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุในแต่ละรายในเรื่องของการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้มีความเหมาะสมกับสภาพของผู้สูงอายุไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมจำเป็นต้องมีปัจจัย งบประมาณ กำลังคน จึงทำให้อาสาสมัครสาธารณสุขไม่สามารถตัดสินใจให้การช่วยเหลือหรือกระตุ้นให้ผู้สูงอายุและครอบครัวปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมได้ ข้อเสนอแนะ ควรมีการศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนเพื่อให้เกิดการป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะยาว ควรมีการติดตามประเมินผลอัตราการพลัด ตก หกล้มของกลุ่มเสี่ยงในระยะยาว
Article Details
อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
Prasartkul P. Situation of the Thai elderly 2018. [Internet]. [cited 2019 October 20]. Available from: https://thaitgri.org/?p=38670.pdf. (in Thai).
Srichang N, Kawee L. Forecast to fall and crash of elderly (age 60 and up) in Thailand. 2017-2021. Nonthaburi: Bureau of Non Communicable Diseases, Ministry of Public Health; 2016. (in Thai).
Thiamwong L, Thamarpirat J, Maneesriwongul W, Jitapunkul S. Thai falls risk assessment test (Thai-FRAT) developed for community-dwelling Thai elderly. Medical Journal of the Medical Association of Thailand 2008;91(12):1823-32. (in Thai).
Panyana T, Wiwatwanich S. Development of elderly falls prevention model for Thai community older people 2017. [Internet]. [cited 2019 October 20]. Available from: www.ckhospital.net/smf/index.php?action=dlattach;topic=106.0;attach=114. (in Thai).
Sorysang L, Khompraya J, Natetanasombut K. A study of fall prevention guideline in older adult living in Mitraphappatana community. Journal of The Royal Thai Army Nurses 2016;15(1):122-9. (in Thai).
Rongmuang D, Nakchattri C, Tongdee J, Sombutboon J. Incidence and factors associated with fall among the community-dwelling elderly, Suratthani. Journal of Phrapokklao Nursing College 2016;27(suppl.1):123-8. (in Thai).
Samgampang T, Nathapindhu G. Factors related to the accidental incidence of elderly in Kham Pom Sub-district, Prayuen District, Khon Kaen. The Office of Disease Prevention and Control 6 Khon Kaen 2011;18(1):61-9. (in Thai).
Panjathai S. Nursing care for the elderly. Chiangmai: Smart Coating & Service; 2017. (in Thai).
Kumkwan Y, Khumngeon A, Wanwilai U, Khatta N. Home-base fall prevention guideline in Thai contexts for elderly people. Nursing Journal of the Ministry of Public Health 2018;28(3):10-22. (in Thai).
Thiamwong L, Suwanno J. Risk factors related to balance impairment among rural community-dwelling older adults. Journal of the Police Nurse 2014;6(2):56-68. (in Thai).
Phumphid S, Sasat S. The effect of experiential health education on fall prevention behaviors in older people with Parkinson’s disease. Royal Thai Navy Medical Journal 2018;46(2):369-81. (in Thai).
Limpawattana P, Sutra S, Thavompitak Y, Chindaprasirt J, Mairieng P. Geriatric hospitalizations due to fall-related injuries. J Med Assoc Thai 2012;95(7):235-9. (in Thai).
Rawsky E. Review of the literature on falls among the elderly. Image: The Journal of Nursing Scholarship 1998;30(1):47-52.
Meiner SE. Safety. In: Meiner SE, editor. Gerontologic nursing. 4th ed. St. Lious: Mosby Elsevier; 2015.
Prommapong N. Factors related to fear of falling among older adult patient. [Master’s Thesis, Faculty of Nursing]. Burapha University; 2018. (in Thai).
World Health Organization. Violence and injury prevention: falls. [Internet]. [cited 2019 October 20]. Available from: http://www.who.int/violence_injury_prevention/other_injury/falls/en/.
Suputtitada A, Saguanrungsirikul S. Research report: the development of electrical cueing devices for gait improvement in Parkinson patient and gait and balance analysis in elderly. Bangkok: Chulalonkorn Uninversity; 2009.
National Health and Medical Research Council [NHMRC]. A Guideline to the Development, Implementation and Evaluation of Clinical Practice Guidelines. [cited 2019 October 20] Available from: http://www.nhmrc.gov.au.
Daniel WW, Cross CL. Biostatistics: a foundation of analysis in the health sciences. 11th ed. NJ: John Wiley & Sons; 2018.
Wayo W, Jitramontree N, Wirojratana V. The effect of multifactorial fall prevention program on fall prevention behavior among community–dwelling older adults. Journal of Nursing and Health Care 2017;35(2):25-33. (in Thai).
Jitaphankul S. Principles of geriatric medicine. 3rd ed. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House; 2001.
Sarapun A, Sirisopon N, Kainaka P, Onsiri S, Outayanik B, Threrawachjareanchai S, Sukomol N. Factors related to a fall prevention behaviors of elderly. Journal of The Royal Thai Army Nurses 2017;19(suppl):215-22. (in Thai).
Ponguampai P. Hoontrakul S, Roojanavech S. The effects of family empowerment program on fall prevention capabilities of the elderly. Royal Thai Navy Medical Journal 2018;45(2):311-27. (in Thai).
