ความผาสุกทางจิตใจและปัจจัยที่เกี่ยวข้องในผู้สูงอายุจังหวัดอุตรดิตถ์
คำสำคัญ:
การมีส่วนร่วมในชุมชน, ความผาสุกทางจิตใจ, ผู้สูงอายุ, การสนับสนุนทางสังคมบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินระดับความผาสุกทางจิตใจของผู้สูงอายุในจังหวัดอุตรดิตถ์ และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางสังคมกับระดับความผาสุก ทางจิตใจของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 1,195 คน ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบประเมินความผาสุกทางจิตใจวอร์วิคเอดินบะระฉบับภาษาไทย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบพอยท์-ไบซีเรียล
ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุมีค่าเฉลี่ยของคะแนนรวมความผาสุกทางจิตใจเท่ากับ 46.8 (SD = 7.9) อยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น และการได้รับการยอมรับมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความผาสุกทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ (r = -0.18, p = 0.002) ระดับการศึกษา (rs = 0.21, p = 0.008) รายได้ (r = 0.25, p < 0.001) สถานภาพสมรส (p = 0.021) ลักษณะการอยู่อาศัย (p = 0.013) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน (r = 0.32, p < 0.001) และการได้รับการสนับสนุนทางสังคม (r = 0.38, p < 0.001) จากผลการศึกษาดังกล่าว ควรมีการพัฒนาแนวทางส่งเสริมความผาสุกทางจิตใจเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายทางสังคมและการมีส่วนร่วมในชุมชนของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม
References
Cramm, J. M., & Nieboer, A. P. (2015). Social cohesion and belonging predict the well-being of community-dwelling older people. BMC Geriatrics, 15, 30. https://doi.org/10.1186/s12877-015-0027-y
Keyes, C. L. M. (2002). The mental health continuum: From languishing to flourishing in life. Journal of Health and Social Behavior, 43(2), 207–222. https://doi.org/10.2307/3090197
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607–610. https://doi.org/10.1177/001316447003000308
Ministry of Social Development and Human Security. (2022). Strategic plan for elderly quality of life development 2022–2026. https://olderfund.dop.go.th/wp-content/uploads/2022/09/แผนปฏิบัติการกองบริหารกองทุนผู้สูงอายุ-2565-2569.pdf
Netuveli, G., Wiggins, R. D., Hildon, Z., Montgomery, S. M., & Blane, D. (2006). Quality of life at older ages: Evidence from the English longitudinal study of aging (ELSA). Journal of Epidemiology and Community Health, 60(4), 357–363. https://doi.org/10.1136/jech.2005.040071
Pinquart, M., & Sörensen, S. (2000). Influences of socioeconomic status, social network, and competence on subjective well-being in later life: A meta-analysis. Psychology and Aging, 15(2), 187–224. https://doi.org/10.1037/0882-7974.15.2.187
Rowe, J. W., & Kahn, R. L. (1997). Successful aging. The Gerontologist, 37(4), 433–440. https://doi.org/10.1093/geront/37.4.433
Steptoe, A., Deaton, A., & Stone, A. A. (2015). Subjective wellbeing, health, and ageing. The Lancet, 385(9968), 640–648. https://doi.org/10.1016/S0140-6736(13)61489-0
Tennant, R., Hiller, L., Fishwick, R., Platt, S., Joseph, S., Weich, S., Parkinson, J., Secker, J., & Stewart-Brown, S. (2007). The Warwick-Edinburgh Mental Well-being Scale (WEMWBS): Development and UK validation. Health and Quality of Life Outcomes, 5, 63. https://doi.org/10.1186/1477-7525-5-63
Train the Brain Forum Committee. (1993). Thai Mental State Examination (TMSE). Siriraj Hospital Gazette, 45(6), 359–374.
Uttaradit Provincial Public Health Office. (2024). Uttaradit provincial elderly situation report 2024. Ministry of Public Health. https://utoapp3.moph.go.th/app2/portfolio/docdtl?id=TVRrPQ==
Windle, G., Bennett, K. M., & Noyes, J. (2011). A methodological review of resilience measurement scales. Health and Quality of Life Outcomes, 9, 8. https://doi.org/10.1186/1477-7525-9-8
Downloads
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือก่อนเท่านั้น
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
อนึ่ง ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ถือเป็นความเห็นของวารสารฯ และวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อความและข้อคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตีพิมพ์ตามความเหมาะสม รวมทั้งการตรวจทานแก้ไขหรือขัดเกลาภาษาให้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนด