ผลการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกในการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอก แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเกาะคา จังหวัดลำปาง
คำสำคัญ:
กลุ่มอาการเจ็บหน้าอก, แนวปฏิบัติทางคลินิก, การคัดกรองผู้ป่วยบทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่ม เพื่อเปรียบเทียบอัตราความถูกต้องของการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอก และศึกษาระดับความพึงพอใจในการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกในการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอก แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเกาะคา จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงานแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเกาะคา จำนวน 5 คน และผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอก ที่มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเกาะคา จังหวัดลำปาง จำนวน 40 คน เครื่องมือวิจัย ได้รับการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 คน ค่าดัชนีเท่ากับ 0.80 และการตรวจสอบความเชื่อมั่นโดยการวิเคราะห์สัมประสิทธ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.90 วิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Independent t-test
ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกในการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอก กลุ่มทดลองสามารถคัดกรองผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องมากกว่าก่อนการใช้แนวปฏิบัติ และแตกต่างจากกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) และความพึงพอใจรวมของพยาบาลต่อการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกในการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอก แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลเกาะคา จังหวัดลำปาง ในระดับมากที่สุดร้อยละ 80.00 ข้อค้นพบจากการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกในการคัดกรองผู้ป่วยกลุ่มอาการเจ็บหน้าอกนี้ สามารถใช้ซักประวัติความเสี่ยงและประเมินอาการเจ็บหน้าอกได้ถูกต้อง ซึ่งเกิดผลลัพธ์ที่ดีของผู้ป่วยและระบบบริการที่แผนกผู้ป่วยนอก ลดความผิดพลาดในการวินิจฉัย ผู้ป่วยได้รับการรักษาทันท่วงที ไม่เกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงในการรักษาพยาบาล และพยาบาลมีพึงพอใจต่อการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกในระดับมากที่สุด
เอกสารอ้างอิง
Bureau of Nursing. (2019). Announcement of the Nursing and Midwifery Council on Nursing Standards 2019. https://www.tnmc.or.th/images/userfiles/files/A111.pdf
Buckwalter, K. C., Cullen, L., Hanrahan, K., Kleiber, C., McCarthy, A. M., Tucker, S. (2017). Iowa Model of Evidence-Based Practice: Revisions and Validation. Worldviews on evidence-based nursing, 14(3), 175-182. https://doi.org/10.1111/wvn.12223
Chuaynarong, O., & Rongmuang, D. (2018). The Development of the Screening and Assessment Form for Patients with Chest or Epigastric Pain in Emergency Department at Ranong Hospital. Journal of Nursing and Health care, 36(3), 187-96. (in Thai)
Ko Kha District Public Health Office. (2018). Evaluation of public health work in Ko Kha District, Lampang Province, year 2018. (in Thai)
Office of Policy and Strategy Office of the Permanent Secretary, Ministry of Public Health. (2018). Provincial government inspection report, fiscal year 2018, Health Zone 1. http://data.ptho.moph.go.th/inspec/2018/inspec1/doc22dec. (in Thai)
Phochan, S. (2021). Development of a care system for patients with acute myocardial infarction (STEMI) in Khon Kaen Hospital. Journal of Nurses Association of Thailand, Northeastern Division, 29(1), 22-30. (in Thai)
Service recipient information center Ko Kha Hospital Lampang Province. (2022). Statistics on patients with cardiovascular disease 2020-2022. (in Thai)
Thammasat University Hospital. (2020). Summary report Risks of nursing screening and admission. Thammasat University Hospital. (in Thai)
Uracha U. (2011). The Development of Guideline for Patient Screening by Nurses Working in Outpatient Department of Medical service at Burerum Hospital. Khon Kaen University, Khon Kaen. (in Thai)
Wiersma, W. (2000). Research methods in education: An introduction. (7th ed.). Allyn & Bacon.
World Health Organization. (2018). Noncommunicable diseases. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/noncommunicable-diseases.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครลำปาง

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือก่อนเท่านั้น
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิชาการสุขภาพภาคเหนือถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
อนึ่ง ข้อความและข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นของผู้เขียนบทความนั้นๆ ไม่ถือเป็นความเห็นของวารสารฯ และวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อความและข้อคิดเห็นใดๆ ของผู้เขียน วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตีพิมพ์ตามความเหมาะสม รวมทั้งการตรวจทานแก้ไขหรือขัดเกลาภาษาให้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนด