ความชุกและความจำาเพาะของแอนติบอดีต่อเม็ดเลือดแดงจาก การตรวจกรองแอนติบอดีซ้ำาในผู้บริจาคเลือดคนไทย

ผู้แต่ง

  • อ้อยทิพย์ ณ ถลาง บัณฑิตศึกษา สาขาเทคนิคการแพทย์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จังหวัดปทุมธานี

บทคัดย่อ

การตรวจกรองแอนิบอดีในพลาสาผาคเอดมวาม 

 

 

การป้องกันการเิดปฏิกิริยา

 

ไม่พึงประสงค์จากการรับเลือดจากการแตกของเม็ดเลือดแดงในผ

 

่ว หรับการตรวจกรองแอนติบอ

 

นวนมากิยมใ้เค่องัตโน ่ง่งผล่อนวนเือด้บิจาค้ผลบวก่อการตรวจกรอง

แอนิบอีเ่ม้นเ่อเียบับีมาตรฐาน้เือดรองในคังเือดไ่เพียงพอ  ผู้วิจัยมี

 

ัตุประสงค์ทรวจกรองแอนติบอดีซ

 

เพ้างแนวทางการตรวจกรองแอนติบอดีใิจาคเือ

 

คนไทย  จากพลาสมาผู้บริจาคทั้งหมด  4,834  รายที่ตรวจกรองแอนติบอดีด้วยเครื่องอัตโนมัติมีจำนวน

136 รายให้ผลบวกจึงนำามาตรวจซ้ำาด้วยวิธีหลอดทดลอง  และ  column  agglutination  test และตรวจ

แยกชนิดแอนติบอดี  โดยวิเคราะห์ผลแบ่งตามเพศ   อายุ และหมู่เลือด   ผลการศึกษาพบว่า  พลาสมา

ที่ห้ผลบวกต่อการตรวจกรองแอนติบอดีซ้ำจำนวน 81 ราย (1.68%) ผู้บริจาคเพศหญิงมีผลบวกต่อการ

ตรวจกรองแอนติบอดีมากกว่าเพศชายอย่างมีนัยสำาคัญ  (p = 0.041) แต่ไม่พบความแตกต่างในแต่ละ

ช่วงอายุ และ  ผู้บริจาคหมู่ B พบแอนติบอดีได้มากกว่าหมู่อื่นอย่างมีนัยสำาคัญ (p = 0.005) ส่วนพลาสมา

้ผลบวกต่อการตรวจกรองแอนติบอพบเ single  antibody  นว 61  ราย  (75.32%),

multiple antibodies  นว 12 ราย (14.80%) และไม่สามารถระบุชนิดจ นว 8 รา (9.88%) แอนติบอ

ต่อระบบหมู่เลือดที่พบบ่อยคือ Lewis และ MNS  นอกจากนี้  anti-Mia   ที่ตรวจพบในพลาสมา  2  ราย

สามารถน ไปใช้เป็นแอนติซีรัมได้ โดยสรุปความส ัญของการตรวจกรองแอนติบอดีซ สามารถใช้เป็น

แนวทางในกลุ่มผู้บริจาคเลือดคนไทย   การประยุกต้แนวทางังกล่าวเป็นประโยชนในการลดนวน

การ้งเือดโดยไ ีก้งอาจพลาสมา้บิจาค่ทราบชิดแอนิบอีและุณสมติเหมาะสม

ไปเตรียมเป็น   in-house antisera เพื่อใช้ในห้องปฏิบัติการได้   อีกทั้งสามารถประยุกต์ใช้กับห้องปฏิบัติการ

งานธนาคารเลือดอื่นที่มีปัญหาเช่นเดียวกัน

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2019-07-03

How to Cite

ฉบับ

บท

นิพนธ์ต้นฉบับ