https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/issue/feed
วารสารเทคนิคการแพทย์
2024-12-26T10:10:49+07:00
ผศ. ดร. ทนพ.เอนก ภู่ทอง (Asst. Prof. Dr. Anek Pootong)
tae0047@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารเทคนิคการแพทย์</strong> เป็นวารสารทางวิชาการของสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมถ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ<br />วารสารเทคนิคการแพทย์ เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความวิชาการ และเป็นสื่อกลางเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยด้านเทคนิคการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาต่าง ๆ โดยรับพิจารณาบทความทั้งหมด 6 ประเภท คือ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความปริทัศน์ รายงานกรณีศึกษา บทความวิจัยอย่างสั้น จดหมายถึงบรรณาธิการ และ บทบรรณาธิการ </p> <p style="font-weight: 400;"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></p> <ol> <li style="font-weight: 400;">เป็นสื่อกลางเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยด้านเทคนิคการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาต่างๆ</li> <li style="font-weight: 400;">เพื่อกระตุ้นการวิจัยและการพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญในสาขาเทคนิคการแพทย์</li> <li style="font-weight: 400;">เพื่อเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเทคนิคการแพทย์และผู้ให้บริการทางการแพทย์อื่นๆ</li> </ol> <p>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารจะต้องมีการอ่านตรวจทานต้นฉบับ จากคณะบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะสาขาจากภายนอก อย่างน้อย 3 ท่าน โดยปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง (double-blinded, peer-review) </p> <p><strong><strong style="font-size: 0.875rem;"><span lang="TH">ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่:</span></strong><strong style="font-size: 0.875rem;"> </strong><span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;">ไม่เสียค่าใช้จ่าย</span></strong></p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong> ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน <br />ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>Indexed and Abstracts</strong></p> <p style="font-weight: 400;">- Thailand Citation Index Center (TCI) Tier 1 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567)</p> <p style="font-weight: 400;"><img src="https://he01.tci-thaijo.org/public/site/images/panek/tier1-tci-2021-2024.png" alt="" width="113" height="124" /></p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268270
การตรวจวัดระดับไอโอเฮกซอลในพลาสมาด้วยวิธีโครมาโทกราฟี ของเหลวสมรรถนะสูงพิเศษอย่างง่ายและรวดเร็ว
2024-03-06T08:52:39+07:00
พรชัย หมีแหม่ว
pornchai.mee@mahidol.ac.th
อัญชลี จันทร์ทอง
an015045780@yahoo.com
สุกานดา ยิ่งยอดกุล
sukanda.ying@mahidol.ac.th
เสาวนีย์ ไชยสุริยะศิริ
saowanee.cha@mahidol.ac.th
โยธิน คงนา
yothinkhongna@gmail.com
ภาวิณี ถิ่นการ์
pawinee.thi@mahidol.ac.th
<p>การวัดค่าไอโอเฮกซอลในพลาสมาอย่างแม่นยำถือเป็นสิ่งสำคัญในการตรวจวัดค่าอัตราการกรองของไต (GFR) ในการศึกษานี้ เราได้พัฒนาและตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์ใหม่ในการหาปริมาณไอโอเฮกซอลโดยใช้โครมาโทกราฟีของเหลวประสิทธิภาพสูงพิเศษพร้อมการตรวจจับอัลตราไวโอเลต (UPLC-UV) การศึกษานี้เกี่ยวข้องกับการเตรียมตัวอย่างและการแยกทางโครมาโทกราฟีสำหรับไอโอเฮกซอล ค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ประกอบด้วยประเภทของคอลัมน์ องค์ประกอบและ พีเอชของเฟสเคลื่อนที่ ได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อให้ได้การแยกที่เหมาะสมที่สุด สภาวะโครมาโทกราฟีที่เหมาะสมที่สุดเป็นดังนี้ เฟสเคลื่อนที่คือร้อยละ 3.5 (ปริมาตรต่อปริมาตร) อะซีโตไนไตรล์ต่อนํ้า โดยไม่ต้องปรับความเป็นกรด-ด่าง คอลัมน์คือ Poroshell 120 EC-C18 โดยควบคุมอุณหภูมิที่ 30 องศาเซลเซียส และอัตราการไหล 0.2 มิลลิลิตรต่อนาที วิธีการที่พัฒนาขึ้นมีความเป็นเส้นตรงที่ดีเยี่ยมในช่วงความเข้มข้น 0 ถึง 640 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร (R2 = 0.9999) การทดสอบความเที่ยงของการวิเคราะห์แสดงด้วยค่าร้อยละ RSD ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ยอมรับ (<ร้อยละ 2) ทั้งสำหรับการวิเคราะห์ with-in run และ between run การทดสอบความแม่นยำมีค่าการคืนกลับอยู่ระหว่างร้อยละ 97.70±2.11 ถึงร้อยละ 102.91±1.47 วิธีนี้มีขีดจำกัดในการตรวจพบ และขีดจำกัดในการวัดเชิงปริมาณเท่ากับ 0.97 และ 3.26 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรตามลำดับ โดยใช้เวลาการวิเคราะห์ต่อตัวอย่างที่สั้น (6 นาที) โดยรวมแล้ว การทดสอบ UPLC-UV ที่พัฒนาขึ้นนี้ให้วิธีการที่ง่าย รวดเร็ว และเชื่อถือได้สำหรับการตรวจวัดไอโอเฮกซอลในพลาสมา ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานทางคลินิกในการปฏิบัติงานด้านไตวิทยาและการวิจัยเพื่อการประเมิน GFR โดยการวัดตรง</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268017
การต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณรวมของสารประกอบฟีนอลิก และสมบัติการสมานแผลของสารสกัดจากส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่
2024-03-02T20:52:34+07:00
ปานทิพย์ รัตนศิลป์กัลชาญ
r_panthip@hotmail.com
ปิยมาภรณ์ แผนคู้
mintphankoo@yahoo.com
ธนาภร จาตุรนต์วาณิชย์
thanaporn.nai2002@gmail.com
รุ่งระวี เพชรเศรษฐ์
2002rungrawee@gmail.com
อสมาภรณ์ ณ บางช้าง
asamaphorn54@gmail.com
กนกพร ก้องเวหา
kongweha18@gmail.com
ฐิตาภรณ์ ทิศเกลี้ยง
titapornmaiii@gmail.com
กิตติพัฒน์ โสภิตธรรมคุณ
ksopittha@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ได้ศึกษาสมบัติการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากส่วนต่าง ๆ ของส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ ได้แก่ การต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณรวมของสารประกอบฟีนอลิก และสมบัติการสมานแผล<br />สารสกัดจากส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่เตรียมจากเปลือกชั้นนอก เปลือกชั้นกลาง เยื่อหุ้มเนื้อ และเนื้อผล ด้วยการแช่ในเฮกเซน และเมทานอล การต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุด พบในชั้นเมทานอลในเนื้อผล มีค่า IC50<br />ต่ออนุมูลอิสระ DPPH เท่ากับ 1.021 ± 0.031 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ในขณะที่ค่าการต้านอนุมูลอิสระ ABTS พบในส่วนของเปลือกชั้นกลางในชั้นเมทานอล มีค่า IC<sub>50</sub> เท่ากับ 0.126 ± 0.004 มิลลิกรัมต่อ<br />มิลลิลิตร สารประกอบฟีนอลิกมีปริมาณรวมสูงสุดในชั้นเมทานอลในส่วนเยื่อหุ้มเนื้อผล มีค่าเทียบเท่า3.196 ± 0.022 มิลลิกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมน้ำหนักแห้งของสารสกัด ผลการทดสอบความ<br />เป็นพิษต่อเซลล์ HaCaT ด้วยวิธี MTT ที่ความเข้มข้นของสารสกัดที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ สารสกัดจากเปลือกชั้นนอก เปลือกชั้นกลาง และเนื้อผล ในเฮกเซนและเมทานอล ไม่พบความเป็นพิษต่อเซลล์<br />ทดสอบที่ความเข้มข้น 0.5 และ 1 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ซึ่งเป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่ความเข้มข้นที่ไม่เป็นพิษต่อเซลล์นี้ สารสกัดจากเปลือกชั้นนอกในเมทานอล และสารสกัดจากเปลือกชั้นกลางใน<br />เมทานอลและเฮกเซน สามารถลดพื้นที่รอยแผลให้เล็กลงได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับตัวแปรควบคุม (<em>p</em> < 0.05) สรุปได้ว่า สารสกัดจากส้มโอมีทั้งฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์การสมานแผล การศึกษาครั้งนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อการวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการสมานแผล สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องบาดแผลเรื้อรัง รวมทั้งเป็นการนำของเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกทางหนึ่งด้วย</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268809
ฤทธิ์การต้านพังผืดในตับของสารออกฤทธิ์ 7-Octenoic acid และ 1-Phenyl-2-pentanol จากใบมะรุม
2024-06-21T13:12:40+07:00
จุฑาทิพย์ ไชยประเทศ
Jutathipc63@nu.ac.th
ธนัชพร จันตาใหม่
Thanutchapornc63@nu.ac.th
ธมนวรรณ ชูจอหอ
thamonwanch63@nu.ac.th
กาญจนา อู่สุวรรณทิม
Kanchanau@nu.ac.th
วธัญญู บัวแก้ว
watunyoo@g.swu.ac.th
<p>ภาวะพังผืดในตับ (liver fibrosis) คือภาวะที่มีการสะสมของ extracellular matrix protein ในตับที่มากเกินไป ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะไขมันพอกตับและโรคไวรัสตับอักเสบซี หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้เพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ ปัจจุบันภาวะพังผืดในตับยังไม่มียารักษาที่เป็นมาตรฐาน มีการศึกษาพบว่าสารสกัดจากมะรุมมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบในตับได้ คณะผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษากลไกการต้านการเกิดพังผืดในตับของสารออกฤทธิ์ที่แยกได้จากใบมะรุม 2 ชนิด ได้แก่ 7-octenoic acid และ 1-phenyl-2-pentanol ในเซลล์ตับชนิด hepatic stellate cells (HSCs) โดยวัดระดับไซโตไคน์ด้วยวิธี sandwich ELISA และวิเคราะห์การแสดงออกของโปรตีนภายในเซลล์ HSCs ด้วยเทคนิคโปรตีโอมิกส์ ผลการศึกษาพบว่าเซลล์ HSCs ที่ได้รับ 7-octenoic acid และ 1-phenyl-2-pentanol มีการเปลี่ยนแปลงระดับการแสดงออกของโปรตีนที่เพิ่มขึ้นและลดลงจำนวน 440 และ 98 ชนิด ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม อีกทั้งพบการลดลงของการแสดงออกของโปรตีน casein kinase II subunit alpha (CSNK2A1), guanine nucleotide-binding protein G(I)/G(S)/G(T) subunit beta-2 (GNB2) และ low-density lipoprotein receptor-related protein 5 (LRP5) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีความเกี่ยวข้องกับวิถีสัญญาณ NF-κB pathway, PI3K/Akt signaling pathway และ mTOR signaling pathway นอกจากนี้ 7-octenoic acid และ 1-phenyl-2-pentanol ยังสามารถลดการหลั่งของ TNF-α ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) โดยผลการศึกษานี้พบว่า สารทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติลดการกระตุ้นสัญญาณ TGF-β1 ต่อเซลล์ตับชนิด HSCs ได้ ซึ่งมีความน่าสนใจสำหรับการศึกษาต่อเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาเป็นยาต้านการเกิดพังผืดในตับในอนาคต</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/269411
การประเมินผลกระทบจากการแตกของเม็ดเลือดแดง ความเหลือง และความขุ่น ต่อการวิเคราะห์สารชีวเคมี ด้วยเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติทางเคมีคลินิก
2024-04-22T09:10:09+07:00
สมศักดิ์ ฟองสุภา
fongsupa.mu@gmail.com
ปุญญศิริ โพธิพัฒน์
boonyasirii.pho@gmail.com
วัลลภา ใช้บางยาง
wanlapa.c@allied.tu.ac.th
<p>สิ่งส่งตรวจประเภทซีรัมหรือพลาสมาที่มีการแตกของเม็ดเลือดแดง (hemolysis, H) มีความเหลืองจากบิลิรูบิน (icterus, I) หรือมีความขุ่น (lipemia, L) เป็นปัญหาในขั้นตอนก่อนการวิเคราะห์ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าการตรวจวัด ที่พบเป็นประจำในห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก ปัจจุบันการประเมิน HIL index ในสิ่งส่งตรวจด้วยเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติทางเคมีคลินิกโดยวิธีวัดการดูดกลืนแสง เป็นวิธีที่มีความน่าเชื่อถือและนิยมใช้กันแพร่หลาย การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลการรบกวนจาก HIL ต่อการวิเคราะห์สารชีวเคมีในเลือดด้วยเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติทางเคมีคลินิก Beckman Coulter AU5800 โดยใช้ข้อมูลผลการประเมิน HIL index เชิงกึ่งปริมาณและเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ระดับสารชีวเคมีของตัวอย่างผู้ป่วยระหว่างเดือนมิถุนายน-ธันวาคม พ.ศ. 2566 เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของระดับสารชีวเคมีที่เปลี่ยนแปลงไปตามระดับของ HIL index และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระดับสารชีวเคมีกับ HIL index เชิงปริมาณเพื่อทำนายระดับ HIL index ที่มีการรบกวนการวิเคราะห์โดยใช้ตัวแบบถดถอยเชิงเส้น จากผลการวิจัยพบว่าจากข้อมูล HIL index สามารถประเมินผลการรบกวนได้สูงสุดที่ระดับ (2+) โดยพบการรบกวนเชิงบวกจากการแตกของเม็ดเลือดแดง (hemolysis) อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกในการวิเคราะห์ lactate dehydrogenase (LDH) และ aspartate aminotransferase (AST) ที่ดัชนีการแตกของเม็ดเลือดแดง (HI) ระดับ (1+) และการรบกวนเชิงลบในการวิเคราะห์ total bilirubin (TB) ที่ HI ระดับ (2+) นอกจากนี้พบการรบกวนเชิงบวกจากความขุ่น (lipemia) อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกในการวิเคราะห์ AST ที่ดัชนีความขุ่น (LI) ระดับ (2+) ไม่พบการรบกวนอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกในการวิเคราะห์ alanine aminotransferase (ALT), direct bilirubin (DB), blood urea nitrogen (BUN), และ magnesium จนถึงระดับ HI (2+) การวิเคราะห์ cholesterol จนถึงดัชนีความเหลืองจากบิลิรูบิน (II) ระดับ (1+) และการวิเคราะห์ ALT จนถึงระดับ LI (2+) ทั้งนี้ผลการทำนายระดับที่พบการรบกวนจากการแตกของเม็ดเลือดแดง (hemolysis) โดยใช้ตัวแบบถดถอยเชิงเส้นของการวิเคราะห์ LDH ช่วยระบุ cutoff ที่มีการรบกวนตั้งแต่ระดับ HI (0) ได้ ดังนั้น ห้องปฏิบัติการควรประเมินและกำหนดระดับค่า cutoff ที่เหมาะสมของ HIL index เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจดำเนินการกับสิ่งส่งตรวจและผลการวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยสูงสุดจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268148
การประเมินประสิทธิภาพของการตรวจเลือดแฝงในอุจจาระและปรสิตในตะกอนอุจจาระด้วยเครื่องอัตโนมัติ FA280
2024-03-21T20:35:20+07:00
อนุชิน นาเจิมพลอย
anucna@kku.ac.th
รุจนันท์ คะเชนทร์ชาติ
rujanan@outlook.com
เจนจิรา เจริญชัย
praewree038@gmail.com
ประสงค์ แคน้ำ
prasong.kha@mahidol.edu
<p>เครื่องตรวจตะกอนอุจจาระอัตโนมัติเป็นเครื่องมือที่เริ่มมีการใช้งานในห้องปฏิบัติการในประเทศไทย เนื่องจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ การใช้เทคนิคการตรวจแบบเข้มข้นและมีขั้นตอนอัตโนมัติจะช่วยลดการใช้ทรัพยากรบุคคลและเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจวินิจฉัยได้ ห้องปฏิบัติการจึงควรประเมินประสิทธิภาพของเครื่องก่อนนำมาใช้งาน โดยการศึกษานี้ได้ทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการดำเนินการ และความสามารถในการตรวจตะกอนอุจจาระของเครื่อง ORIENTER รุ่น FA280 เทียบกับวิธี normal saline simple smear ในตัวอย่าง 300 ราย ที่เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และตัวอย่าง 61 รายจากกลุ่มนี้ใช้ในการตรวจเลือดแฝงเทียบกับชุดทดสอบของบริษัท Boson Biotech ผลการศึกษาพบว่าเครื่อง ORIENTER รุ่น FA280 สามารถลดขั้นตอนการทดสอบ 2 ชนิดนี้ได้จาก 8 ขั้นตอนเหลือ 3 ขั้นตอน โดยเฉพาะขั้นตอนการจัดการตัวอย่าง ส่วนการแยกชนิดสิ่งที่พบในตะกอนอุจจาระพบว่าเครื่อง ORIENTER รุ่น FA280 ให้ความแรงของความหนาแน่นของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และยีสต์มากกว่าวิธี simple smear เล็กน้อย (Cohen’s kappa อยู่ระหว่าง 0.37-0.45) แต่เนื่องจากมีความแตกต่างเพียง 1 ระดับจึงถือว่าเป็นความแตกต่างที่ยอมรับได้ สำหรับการตรวจวินิจฉัยปรสิตและการตรวจหาเลือดแฝงพบว่าทั้งสองวิธีมีความสอดคล้องกันสูง (Cohen’s kappa = 0.82 และ 0.93 ตามลำดับ) แต่เครื่อง ORIENTER รุ่น FA280 จะมีโอกาสตรวจหาตัวอ่อนของหนอนพยาธิและโปรโตซัวได้ดีกว่า โดยสรุปเครื่องตรวจตะกอนอุจจาระอัตโนมัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานได้ อย่างไรก็ตามห้องปฏิบัติการควรทำการประเมินอย่างต่อเนื่องระหว่างการใช้งาน เพื่อให้สามารถใช้งานเครื่องให้ได้ประโยชน์สูงสุด</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268667
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อค้นหาพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อไวรัสเดงกี
2024-07-02T15:50:42+07:00
ชานนท์ นัยจิตร
saetwan@tu.ac.th
<p style="font-weight: 400;">โรคเดงกี และโรคไข้เลือดออกเดงกี เป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญของโลกซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี การควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายพาหะโดยดูจากอัตราการป่วยของประชากร สำหรับประเทศไทย โรคติดเชื้อไวรัสเดงกีเป็นโรคที่ต้องรายงานจํานวนผู้ป่วยให้กระทรวงสาธารณสุขทราบ เพื่อทำการเฝ้าระวังและควบคุมโรค อย่างไรก็ตามมีผู้ติดเชื้อไวรัสเดงกีจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยตามแนวทางการวินิจฉัยของกรมการแพทย์ การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาการใช้ประโยชน์ที่ดินที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเดงกี และเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ประโยชน์ที่ดินและอัตราการติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยทำการศึกษาแบบย้อนหลังจากผลการตรวจคัดกรองการติดเชื้อไวรัสเดงกีของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ระหว่างปี 2560-2565 ในผู้เข้ารับบริการเขตจังหวัดปทุมธานี ร่วมกับข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินจังหวัดปทุมธานี ปี 2564 ของกรมพัฒนาที่ดิน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสารสนเทศภูมิศาสตร์และทําการหาความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่าพื้นที่ที่มีจำนวนการตรวจคัดกรองมากที่สุดคือพื้นที่เขตเมือง พื้นที่ที่มีอัตราผลการทดสอบเป็นบวกสูงที่สุด ได้แก่ พื้นที่การเกษตร การใช้ประโยชน์ที่ดินที่สัมพันธ์กับอัตราการติดเชื้อไวรัสเดงกี ได้แก่ การเกษตรแบบผสมผสานไร่นาสวนผสม (<em>r </em>= 0.2584, <em>p</em>-value = 0.0462) และเหมืองแร่ บ่อขุด (<em>r</em> = 0.4495, <em>p</em>-value = 0.0003) การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสามารถประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ร่วมกับข้อมูลทางห้องปฏิบัติการเทคนิคการแพทย์เพื่อค้นหาและประเมินพื้นที่เสี่ยงของการเกิดโรคได้ เพื่อประโยชน์ในการควบคุม ป้องกัน และกำหนดนโยบายสุขภาพร่วมกับสหวิชาชีพอื่น ๆ ต่อไป</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/269871
ประสิทธิภาพของการย้อม Brilliant Cresyl Blue อย่างรวดเร็ว เพื่อตรวจหาฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์
2024-06-19T21:40:50+07:00
เอกพงค์ บริบุญวงค์
ekaphong.bo@up.ac.th
พลับพลึง แสนใส
Plubplung.kh@up.ac.th
<p style="font-weight: 400;">การตรวจหาฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ในเซลล์เม็ดเลือดแดงสามารถช่วยวินิจฉัยโรคฮีโมโกลบินเอชได้ อย่างไรก็ตามขั้นตอนการตรวจจําเป็นต้องอุ่นเลือดกับสีย้อมไว้เป็นเวลานาน การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการปรับลดระยะเวลาการย้อมด้วย Brilliant cresyl blue ในการตรวจหาฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันในเซลล์เม็ดเลือดแดง ตัวอย่างเลือดคนปกติ จํา นวน 30 ราย และผู้ป่วยโรคฮีโมโกลบินเอช จำนวน 28 ราย ถูกนํา มาตรวจวิเคราะห์ชนิดและปริมาณฮีโมโกลบิน ตรวจหาฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ด้วยการอุ่นส่วนผสมเลือดกับสี Brilliant cresyl blue ที่ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที และ 120นาที วิเคราะห์ความถูกต้องของผลการตรวจโดยใช้ผลการตรวจชนิดและปริมาณฮีโมโกลบินเป็นมาตรฐาน วิเคราะห์ความสอดคล้องของผลการตรวจ และเปรียบเทียบจำนวนฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ด้วยสถิติ paired student’s t-test จากการศึกษา ผู้วิจัยตรวจไม่พบฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ในกลุ่มตัวอย่างคนปกติ ขณะที่ตรวจพบฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ในกลุ่มผู้ป่วยโรคฮีโมโกลบินเอชทุกราย และให้ผลสอดคล้องกันร้อยละ 100 ทั้งการย้อมด้วยเวลา 30 และ 120 นาที จำนวนฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ที่ย้อมด้วยเวลา 30และ 120 นาที เท่ากับ 43.7 ± 23.6 และ 39.9 ± 22.1 ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (<em>p</em> < 0.05) การย้อม เป็นเวลา 30 นาทีมีแนวโน้มที่ตรวจพบจำนวนฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ได้มากกว่า ดังนั้น การย้อม Brilliant cresyl blue เป็นเวลา 30 นาที สามารถตรวจหาฮีโมโกลบินเอชอินคลูชันบอดีย์ในเม็ดเลือดแดงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาการตรวจและการรอคอยผลได้</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268392
การเปรียบเทียบมาตรฐาน ISO/IEC 17043:2023 และ ISO/IEC 17043:2010 ข้อกำหนดสำหรับการทดสอบความชำนาญ
2024-02-07T11:34:33+07:00
สุภาวัลย์ ปิยรัตนวรสกุล
supawan2510@gmail.com
สีตไพสิฐ เอกะจัมปกะ
Sitaphaisith.e@dmsc.mail.go.th
<p>การทดสอบความชำนาญหรือการประเมินความสามารถห้องปฏิบัติการที่เข้าร่วมการทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยการเปรียบเทียบระหว่างห้องปฏิบัติการเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการประกันคุณภาพที่จะต้องดำเนินงานอย่างมีศักยภาพและสามารถประเมินผลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม จึงจำเป็นต้องดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ISO/IEC 17043:2010 ซึ่งเป็นข้อกำหนดทั่วไปสำหรับการประเมินความสามารถของผู้จัดโปรแกรมทดสอบความชำนาญที่องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐานประกาศใช้ฉบับแรกในปีพุทธศักราช 2553 และต่อมาได้เปลี่ยนเป็นฉบับล่าสุด ISO/IEC 17043:2023 ในปีพุทธศักราช 2566 เพื่อให้สอดคล้องกับ ISO/CASCO standard เช่นเดียวกับระบบมาตรฐาน ISO/IEC 17025:2017 และ ISO 15189:2022 เป็นการอำนวยความสะดวกในการบูรณาการเข้ากับระบบการบริหารจัดการอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น รวมทั้งปรับคำนิยามศัพท์เฉพาะให้สอดคล้องกับ ISO 13528:2022 เพื่อความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้น มาตรฐาน ISO/IEC 17043:2023 นี้มี 5 ข้อหลัก ได้แก่ (1) ข้อกำหนดทั่วไป (2) โครงสร้าง (3) ทรัพยากร (4) กระบวนการ และ (5) ระบบบริหารจัดการ โดยปรับจากมาตรฐานฉบับแรกซึ่งมี 2 ข้อหลัก ได้แก่ ข้อกำหนดด้านวิชาการและด้านบริหารจัดการ เพิ่มการประเมินเพื่อให้แน่ใจว่าจะดำเนินการได้บรรลุวัตถุประสงค์ ใช้ข้อมูลที่รวบรวมจากผู้เข้าร่วมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาวิเคราะห์เพื่อบริหารความเสี่ยงและโอกาส รวมทั้งได้แก้ไขภาคผนวก A และ B ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตัดภาคผนวก C ออกมุ่งเน้นเฉพาะประเด็นสำคัญเท่านั้น การเปรียบเทียบการปรับเปลี่ยนมาตรฐานนี้จะช่วยให้ผู้จัดโปรแกรมทดสอบความชำนาญมีความเข้าใจรายละเอียดเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น สามารถประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพบริการเพื่อส่งมอบผลการทดสอบความชำนาญที่ถูกต้องแม่นยำ มีคุณค่าในการสะท้อนระบบคุณภาพ อันเป็นการส่งเสริมระบบการประกันคุณภาพทางห้องปฏิบัติการให้เกิดประโยชน์สูงสุด</p>
2024-12-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์