https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/issue/feed วารสารเทคนิคการแพทย์ 2024-03-09T00:00:00+07:00 รศ. สมชาย วิริยะยุทธกร (Assoc. Prof. Somchai Viriyayudhakorn) somchaivir@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารเทคนิคการแพทย์</strong> เป็นวารสารทางวิชาการของสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมถ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ<br />วารสารเทคนิคการแพทย์ เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความวิชาการ และเป็นสื่อกลางเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยด้านเทคนิคการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาต่าง ๆ โดยรับพิจารณาบทความทั้งหมด 9 ประเภท คือ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความปริทัศน์ บทความพิเศษ รายงานการประชุมวิชาการ รายงานกรณีศึกษา บทความวิจัยอย่างสั้น จดหมายถึงบรรณาธิการ ย่อวารสาร และ บทบรรณาธิการ </p> <p style="font-weight: 400;"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></p> <ol> <li style="font-weight: 400;">เป็นสื่อกลางเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยด้านเทคนิคการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาต่างๆ</li> <li style="font-weight: 400;">เพื่อกระตุ้นการวิจัยและการพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญในสาขาเทคนิคการแพทย์</li> <li style="font-weight: 400;">เพื่อเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเทคนิคการแพทย์และผู้ให้บริการทางการแพทย์อื่นๆ</li> </ol> <p>บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารจะต้องมีการอ่านตรวจทานต้นฉบับ จากคณะบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะสาขาจากภายนอก อย่างน้อย 3 ท่าน โดยปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง (double-blinded, peer-review) </p> <p><strong><strong style="font-size: 0.875rem;"><span lang="TH">ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่:</span></strong><strong style="font-size: 0.875rem;"> </strong><span lang="TH" style="font-size: 0.875rem;">ไม่เสียค่าใช้จ่าย</span></strong></p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong> ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน <br />ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>Indexed and Abstracts</strong></p> <p style="font-weight: 400;">- Thailand Citation Index Center (TCI) Tier 1 (จนถึง 31 ธันวาคม 2567)</p> <p style="font-weight: 400;"><img src="https://he01.tci-thaijo.org/public/site/images/panek/tier1-tci-2021-2024.png" alt="" width="113" height="124" /></p> https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/264107 การประเมินประสิทธิภาพของการทดสอบ Neuron-Specific Enolase โดยวิธี Chemiluminescent Microparticle Immunoassay ด้วยเครื่อง Alinity i และวิธี Electrochemiluminescence Immunoassay ด้วยเครื่อง Cobas e801 2023-08-03T22:38:00+07:00 ชวชล เศรษฐอุดม chavachol@hotmail.com สุนทร บัวหอม Soonthorn.bua@mahidol.ac.th สุพรชัย อ่อนผัน pukysero04@yahoo.com ศิราภรณ์ พิทักษ์ kungfumail@yahoo.com อริสรา สมุทรผ่อง kaew5406093@gmail.com <p>Neuron-specific enolase (NSE) เป็นสารบ่งชี้มะเร็งที่มีประโยชน์ในการช่วยวินิจฉัย ติดตาม การรักษา และพยากรณ์โรคมะเร็งปอดชนิดเซลล์ขนาดเล็ก การตรวจวัด NSE ในอดีตมีข้อจำกัด เนื่องจาก มีวิธีให้เลือกใช้ทดสอบน้อย และวิธีการทดสอบมีความซับซ้อน ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการทดสอบที่หลากหลายและใช้งานง่ายขึ้น เช่น การตรวจวิเคราะห์ NSE ด้วยวิธี chemiluminescent microparticle immunoassay (CMIA) โดยใช้เครื่อง Alinity i ของ Abbott การศึกษานี้จึงมุ่งเน้นไปที่การเปรียบเทียบการตรวจวิเคราะห์ปริมาณ NSE ระหว่างการทดสอบ NSE ของ Abbott ที่ใช้ระบบ Alinity i และการ ทดสอบ NSE ของ Roche Elecsys โดยใช้ Cobas e801 ผลการทดสอบพบว่าความแม่นยำแบบ within-run (%CV) ของ Cobas e801 อยู่ระหว่างร้อยละ 0.9 ถึง 1.0 ในขณะที่ Alinity i อยู่ระหว่างร้อยละ 1.71 ถึง 2.76 และความแม่นยำแบบ within-laboratory ของ Cobas e801 อยู่ระหว่างร้อยละ 2.03 ถึง 2.11 ในขณะที่ Alinity i อยู่ที่ร้อยละ 1.89 ถึง 2.86 ถึงแม้ว่าผลการศึกษาจะแสดงให้เห็นว่า Cobas e801 มีความแม่นยำมากกว่า Alinity i เล็กน้อย แต่การวิเคราะห์โดยใช้ Passing and Bablok regression แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง Alinity i และ Cobas e801 ด้วยผลความชันเท่ากับ 0.96 และจุดตัดเท่ากับ -2.02 นอกจากนี้การศึกษาค่าผลรวมความสอดคล้องของทั้งสองเครื่อง พบว่าค่าทำนายผลบวกเท่ากับร้อยละ 98.65 และค่าทำนายผลลบเท่ากับร้อยละ 90.91 ดังนั้น จากผลการศึกษาทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่าค่าการตรวจวิเคราะห์ปริมาณ NSE ด้วยเครื่องทั้งสองนี้สอดคล้องกัน และสามารถใช้ ทดแทนกันได้</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/261208 ผลของสารกันเลือดแข็งแมกนีเซียมซัลเฟตและโซเดียมซิเตรตต่อภาวะเกล็ดเลือดต่ำปลอมจากสารกันเลือดแข็งชนิดอีดีทีเอ 2023-10-02T12:39:47+07:00 ชุรีพร ทองใบ chureepon.th@gmail.com <p style="font-weight: 400;">ภาวะเกล็ดเลือดต่ำปลอมจากสารกันเลือดแข็งชนิดเอทิลีนไดเอมีนเตตราอะซิติกแอซิด หรืออีดีทีเอ (EDTA-dependent pseudothrombocytopenia; EDTA-PTCP) เป็นภาวะเกล็ดเลือดมีการเกาะกลุ่มเนื่องจากสารกันเลือดแข็งอีดีทีเอ ทำให้จำนวนเกล็ดเลือดที่นับได้ต่ำกว่าความจริง เกิดความคลาดเคลื่อนในการรายงานจำนวนเกล็ดเลือด ซึ่งส่งผลให้การวินิจฉัยและการรักษาผิดพลาดได้ ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาประสิทธิผลของสารกันเลือดแข็งชนิดแมกนีเซียมซัลเฟต โซเดียมซิเตรต และอีดีทีเอที่มีต่อจำนวนเกล็ดเลือดและค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ทางโลหิตวิทยา และวิเคราะห์ที่เวลาแตกต่างกันด้วยเครื่องวิเคราะห์เม็ดเลือดอัตโนมัติ Sysmex XN-3000 โดยศึกษาในผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำปลอมจากสารกันเลือดแข็งอีดีทีเอจำนวน 30 ราย ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยจำนวนเกล็ดเลือดในตัวอย่างเลือดที่เก็บในสารกันเลือดแข็งชนิดแมกนีเซียมซัลเฟต (183.89±57.20) x 10<sup>3</sup>/µL มีค่ามากกว่าการเก็บในสารกันเลือดแข็งชนิดโซเดียมซิเตรต (114.23±43.94) x 10<sup>3</sup>/µL และอีดีทีเอ (77.41±32.90) x 10<sup>3</sup>/µL อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p </em>&lt;0.001) ตัวอย่างเลือดที่เก็บในสารกันเลือดแข็งชนิดแมกนีเซียมซัลเฟต ทุกรายมีค่าเฉลี่ยจำนวนเกล็ดเลือดมากกว่าอีดีทีเอคิดเป็นร้อยละ 100 ขณะที่ตัวอย่างเลือดที่เก็บในสารกันเลือดแข็งชนิดโซเดียมซิเตรตมีค่าเฉลี่ยจำนวนเกล็ดเลือดมากกว่าอีดีทีเอเพียง 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 63.33 โดยสรุปสารกันเลือดแข็งชนิดแมกนีเซียมซัลเฟตมีประสิทธิภาพในการแก้ไขการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดจากสารกันเลือดแข็งอีดีทีเอได้ดีกว่าชนิดโซเดียมซิเตรต</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/262678 ฤทธิ์การยับยั้งอนุมูลอิสระและการต้านไกลเคชันของสารสกัดจากแกลบข้าวไทยที่มีรงควัตถุ 2023-04-24T13:05:30+07:00 ศศิฉาย รักฉิม pik_piki@hotmail.com กัญญาณัฐ เปี่ยมงาม mim9_p@yahoo.com <p>โรคเบาหวานเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรังซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นในการเสียชีวิตของคนทั่วโลก น้ำตาลในเลือดที่สูงจะเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชันระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนทั้งภายในและภายนอก เซลล์จนทำ ให้เกิดสาร advanced glycosylation end products (AGEs) ทำ ให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง และเกิดออกซิเดชันในเซลล์มากขึ้น ปัจจุบันเริ่มมีการศึกษาการใช้ข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในการรักษาโรคเบาหวานอย่างกว้างขวางขึ้น แต่การศึกษาในส่วนของแกลบข้าวยังมีไม่มาก งานวิจัยนี้จึงได้ศึกษาฤทธิ์การยับยั้งอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH assay และฤทธิ์ต้านการเกิดไกลเคชันด้วยวิธี <em>In-vitro</em> BSA-glucose assay ในสารสกัดหยาบจากแกลบข้าวไทยที่มีรงควัตถุ 4 ชนิดคือ ข้าวหอมมะลิ ข้าวสังข์หยด ข้าวไรซ์เบอร์รี และข้าวเหนียวดำ โดยเปรียบเทียบผลจากการสกัดด้วย 2 วิธี คือ สกัดด้วยสารละลายเอทานอลเข้มข้นร้อยละ 70 และสกัดด้วยการต้มในน้ำพบว่า การสกัดด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระและฤทธิ์ต้านการเกิดไกลเคชันได้ดีกว่าการต้มอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p </em>&lt; 0.05) โดยสารสกัดจากแกลบข้าวเหนียวดำ มีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระดีที่สุด มีค่า IC<sub>50</sub> = 139.76 ± 52.07 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าสารมาตรฐานบิวทิเลเตทไฮดรอกซีโทลูอีน (BHT) (IC<sub>50</sub> = 161.38 ± 33.75 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) และมีฤทธิ์ต้านการเกิดไกลเคชันดีที่สุด มีค่า IC<sub>50</sub> = 234.69 ± 29.02 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ซึ่งมีฤทธิ์ดีกว่าอะมิโนกัวนิดีน (AG) ที่ใช้เป็นสารต้านไกลเคชัน (IC<sub>50</sub> = 430.23 ± 6.03 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร) สอดคล้องกับปริมาณสารประกอบฟีนอลิกรวม (60.60 ± 3.57 มิลลิกรัม gallic acid equivalent (GAE) ต่อกรัม) และปริมาณแอนโทไซยานินรวม (2.064 ± 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร) ที่พบสูงสุดในสารสกัดจากแกลบข้าวเหนียวดำ ผลการศึกษาดังกล่าวอาจเป็นแนวทางในการนำไปพัฒนา เป็นยาและอาหารเสริมสำ หรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/263927 การศึกษาความหลากหลายและความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของยีน Mitochondrial Cytochrome c Oxidase Subunit 1 (cox1) ของเชื้อ Plasmodium knowlesi ในประเทศไทย 2023-07-03T16:34:52+07:00 ธุวาพร สุวรรณลา tuvaporn15@gmail.com ดุจดาว ทรงธรรมวัฒน์ sdujdow@hotmail.com <p style="font-weight: 400;">ผู้ติดเชื้อมาลาเรียทั่วโลกมีประมาณร้อยละ 40 ของประชากรโลก <em>Plasmodium knowlesi</em> เป็นเชื้อมาลาเรียที่พบในลิงแสมที่อาศัยในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสามารถติดต่อมาสู่คน ยีน cytochrome c oxidase subunit 1 (<em>cox1</em>) เป็นยีนที่อยู่ในไมโทคอนเดรีย ซึ่งสร้างโปรตีนที่มีความสำคัญในกระบวนการหายใจระดับเซลล์ และนิยมนำมาใช้ในการระบุชนิดและศึกษาทางด้านวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อศึกษาความหลากหลายและความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของยีน <em>cox1</em> ของเชื้อ <em>Plasmodium knowlesi</em> ในประเทศไทย งานวิจัยนี้ใช้ตัวอย่าง DNA ของเชื้อ<em> P</em><em>.</em><em>knowlesi</em> จำนวน 40 ตัวอย่างจาก 11 จังหวัดในประเทศไทยมาศึกษาด้วยเทคนิค PCR โดยมี <em>cox1 </em>เป็นยีนเป้าหมาย หลังจากนั้น นำข้อมูลลำดับนิวคลีโอไทด์ของยีน <em>cox1</em> มาสร้างต้นไม้สายวิวัฒนาการ (phylogenetic tree) ด้วยวิธี Maximum Parsimony ในการแบ่งกลุ่ม<em> P</em><em>.</em><em> knowlesi </em>ในประเทศไทย และวิเคราะห์ร่วมกับประวัติผู้ป่วย ถิ่นที่อยู่อาศัย อาชีพ และความหนาแน่นของเชื้อเพื่อหาความสัมพันธ์กับกลุ่มของเชื้อ ผลการวิจัยสามารถแบ่งกลุ่มเชื้อ <em>P</em><em>.</em><em> knowlesi</em> ได้เป็น 13 คลัสเตอร์ (I-XIII) ได้แก่ Cluster I (8 ไอโซเลท), II (7 ไอโซเลท), III (3 ไอโซเลท), IV (1 ไอโซเลท), V (4 ไอโซเลท), VI (1 ไอโซเลท), VII (3 ไอโซเลท) ,VIII (1 ไอโซเลท), IX (1 ไอโซเลท), X (3 ไอโซเลท), XI (2 ไอโซเลท), XII (1 ไอโซเลท และ XIII (5 ไอโซเลท) พบเพศชายติดเชื้อ<em> P</em><em>.</em><em> knowlesi</em> มากกว่าเพศหญิง โดยเป็นเพศชาย 35 คน เพศหญิง 5 คน กลุ่มอายุการติดเชื้อ<em> P</em><em>. </em><em>knowlesi</em> แบ่งเป็นกลุ่มอายุน้อยกว่า 40 ปี 15 คน และมากกว่าหรือเท่ากับ 40 ปีขึ้นไป 25 คน สัญชาติไทย 39 คน สัญชาติพม่า 1 คน ผู้ป่วยที่มีข้อมูลความหนาแน่นของเชื้อจำนวนทั้งหมด 33 คน มีความหนาแน่นของเชื้อในเลือดน้อยกว่า 10,000 ต่อไมโครลิตร จำนวน 26 คน และกลุ่มผู้ป่วยที่มีความหนาแน่นของเชื้อในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 10,000 ต่อไมโครลิตรจำนวน 7 คน สรุปผลการจําแนกเชื้อ<em> P</em><em>.</em><em> knowlesi</em> พบว่ามี 13 คลัสเตอร์ เชื้อในแต่ละคลัสเตอร์มีความใกล้เคียงกันทางด้านพันธุศาสตร์และเชื้อส่วนใหญ่ในพื้นที่ต่างกันนั้นมีลําดับนิวคลีโอไทด์ของยีนที่แตกต่างกันออกไป ผลการวิจัยนี้เป็นข้อมูลทางระบาดวิทยาทางชีวโมเลกุลเบื้องต้นของเชื้อ <em>P</em><em>.</em><em> knowlesi </em>ที่แพร่ในแต่ละพื้นที่ในประเทศไทย ซึ่งมีประโยชน์ต่องานทางด้านสาธารณสุข การวางแผนควบคุมและกำจัดโรคมาลาเรียในประเทศไทย</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/264640 การจำแนกรหัสพันธุกรรมของเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วยเทคนิค Next Generation Sequencing ที่สถาบันบำราศนราดูร 2023-09-28T11:37:18+07:00 สุมนมาลย์ อุทยมกุล sumonmal@health.moph.go.th กรกนก ประเสริฐสม kornkanok.pras@gmail.com วิศัลย์ มูลศาสตร์ vismool@yahoo.com วีรวัฒน์ มโนสุทธิ drweerawat@hotmail.com กิตติ์พงศ์ สัญชาตวิรุฬห์ dr_nok12@yahoo.com <p>การตรวจวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของเชื้อ Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus-2 (SARS-CoV-2) ด้วยเทคนิค next-generation sequencing (NGS) มีความสำคัญในการศึกษาด้านระบาดวิทยาและการประเมินประสิทธิภาพของวัคซีน คำแนะนำองค์การอนามัยโลก ปี พ.ศ. 2564 ระบุให้ใช้เทคนิคนี้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์เชื้อ SARS-CoV-2 ได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกสายพันธุ์ของเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วยเทคนิค NGS จากสิ่งส่งตรวจ nasopharyngeal/throat swab ของ ผู้ป่วยโรคโควิด 19 ในงานประจำวันของสถาบันบำราศนราดูร ประเทศไทย ระหว่างเดือนมิถุนายน 2564 ถึงเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 135 ตัวอย่าง วิธีการศึกษาประกอบด้วยการสกัดสารพันธุกรรมจากสิ่งส่งตรวจด้วยเครื่องอัตโนมัติ การถอดรหัสพันธุกรรมด้วยวิธี Ion AmpliSeq<sup>TM</sup> กับระบบ Ion torrent GeneStudio<sup>TM</sup> S5 และการวิเคราะห์ SARS-CoV-2 lineage โดยใช้โปรแกรม SARS-CoV-2 Insight Research Plug-in Package และ Torrent Suite กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายจำนวน 50 ราย เพศหญิงจำนวน 85 ราย ค่ามัธยฐานของอายุ คือ 33 ปี (ช่วงอายุ 6 เดือนถึง 86 ปี) ผลการตรวจรหัสพันธุกรรมพบเชื้อ SARS-CoV-2 สายพันธุ์ Omicron จำนวน 89 ราย (ร้อยละ 65.93) สายพันธุ์ Delta จำนวน 40 ราย (ร้อยละ 29.63) และ สายพันธุ์ Alpha จำนวน 6 ราย (ร้อยละ 4.44) ความชุกของสายพันธุ์ SARS-CoV-2 ที่ตรวจพบในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม พ.ศ. 2565 ส่วนใหญ่เป็น Omicron BA.1 และ BA.2 ซึ่งเริ่มมีการระบาดในประเทศไทย ผลการศึกษานี้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลด้านระบาดวิทยาของโรคโควิด 19 และติดตาม วิวัฒนาการของเชื้อไวรัสเพื่อประเมินประสิทธิผลของวัคซีนและยารักษาโรคต่อไป</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/264103 ผลกระทบของสังกะสีต่อรูปแบบเปปไทด์และค่าคะแนนในการระบุชื่อเชื้อก่อโรค Vibrio cholerae ด้วยเครื่อง MALDI-TOF MS 2023-07-09T14:53:57+07:00 มณีมณฑ์ โคเบนท์ maneemon.kob@allied.tu.ac.th สุพิชฌาย์ ปั้นเหน่งเพ็ชร supitcha.pan@mahidol.ac.th ปิยดา ณ นคร piyada.naa@mahidol.ac.th พัชรี อิศรางกูร ณ อยุธยา patcharee.i@allied.tu.ac.th <p>เครื่อง Matrix-assisted laser desorption/ionization time-of-flight mass spectrometry (MALDI-TOF MS) สามารถระบุจีนัสและสปีชีส์ของจุลชีพได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยวิเคราะห์รูปแบบเปปไทด์ (mass spectra) ของแบคทีเรียและเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล ด้วยความไวสูง ทำให้สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของเปปไทด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันนิยมใช้สังกะสีเป็นอาหารเสริม และผสมในเครื่องดื่มหลายชนิด เนื่องจากมีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ความงามและใช้ลดความรุนแรงของโรคท้องร่วงได้ อย่างไรก็ตามผลกระทบของสังกะสีต่อการระบุเชื้อโรค เช่น <em>Vibrio cholerae</em> โดยใช้เทคนิค MALDI-TOF MS ยังไม่ชัดเจน ดังนั้น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของสังกะสีต่อรูปแบบเปปไทด์ และค่าคะแนนที่ใช้ในการระบุเชื้อจุลชีพ <em>V. cholerae </em>ระหว่างสายพันธุ์ที่มีและไม่มียีนก่อโรค โดยได้รับสังกะสีที่ความเข้มข้น 0.2 ถึง 0.8 มิลลิโมลาร์ และวิเคราะห์ด้วย MALDI-TOF MS พบว่าค่าคะแนนที่ใช้ในการระบุเชื้อจุลชีพทั้งสองสายพันธุ์มีแนวโน้มลดลงตามการเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นสังกะสีอย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em> &lt; 0.05) อย่างไรก็ตามยังสามารถระบุจีนัสและสปีชีส์ได้ถูกต้อง ผลการวิเคราะห์นี้สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์รูปแบบเปปไทด์โดย principal component analysis (PCA) โดยพบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเปปไทด์ตามความเข้มข้นของสังกะสีอย่างมีนัยสำคัญ เฉพาะในสายพันธุ์ที่มียีนก่อโรคเท่านั้น (<em>p</em> &lt; 0.01) นอกจากนี้พบว่าสังกะสีที่ความเข้มข้น 0.8 มิลลิโมลาร์ ส่งผลทำให้เกิดการระบุสายพันธุ์ (strain) ที่ผิดพลาด โดยพบว่ามีเปปไทด์ที่มีความจำเพาะกับผลของสังกะสีต่อเชื้อนี้ที่ตำแหน่ง m/z 4745, 5122, 6275 และ 7160 ดาลตัน ผลการวิจัยนี้ทำให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของสังกะสีที่มีต่อการระบุชนิดของแบคทีเรียโดยใช้เทคนิคMALDI-TOF MS นำไปสู่การวินิจฉัยเชื้อที่ถูกต้องแม่นยำ กรณีที่มีการรบกวนจากสังกะสีในสิ่งส่งตรวจ</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/264051 การเปรียบเทียบวิธีการย้อมสี Modified Fite-Faraco การย้อมสี Auramine O และวิธี Real-Time PCR กับการย้อมสีด้วยวิธีมาตรฐานในการตรวจหาเชื้อ Mycobacterium leprae ในตัวอย่างที่เก็บจากการกรีดผิวหนัง 2023-07-22T10:33:44+07:00 พธิศยา ทัศนไตรลักษณ์ sai_chocolateship@hotmail.com ถวัลย์ ฤกษ์งาม thaval9@yahoo.com วิมลพักตร์ ศรีไวย์ swimol@yahoo.com <p>การเปรียบเทียบวิธีการตรวจหาเชื้อ <em>Mycobacterium leprae</em> โดยวิธีการย้อมสี modified Fite-Faraco (FF) วิธี fluorescent Auramine O (AO) และการตรวจหา<em> Pra</em> gene ด้วยวิธี real-time PCR กับการย้อมสีด้วยวิธีมาตรฐาน Ziehl Neelsen (ZN) ในผู้ป่วยโรคเรื้อน 32 ราย ที่เข้ารับบริการรักษา โรคเรื้อนที่สถาบันราชประชาสมาสัย โดยขูดเก็บตัวอย่างสารน้ำและเนื้อเยื่อผิวหนังโดยการกรีดผิวหนัง รายละ 4 ตำแหน่ง คือ ติ่งหูทั้ง 2 ข้างและรอยโรคที่กำเริบมากที่สุดอีก 2 ตำแหน่ง เตรียมสไลด์จากตัวอย่างที่เก็บจากการกรีดผิวหนัง (slit-skin smear: SSS) ย้อมสีด้วยวิธี ZN, FF และ AO และตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างเนื้อเยื่อด้วยวิธี real-time PCR เพื่อตรวจหา <em>Pra</em> gene การศึกษาครั้งนี้ได้ปรับวิธี FF ด้วยการลดขั้นตอน deparaffinization ไปเป็นการแช่สไลด์ในน้ำมันถั่วเหลืองอย่างเดียวที่อุณหภูมิห้อง 10 นาที ผลการศึกษาพบว่าวิธี ZN, FF, AO และ real-time PCR มีความสอดคล้องกันในระดับดีมาก โดยพบว่าวิธี ZN, FF และ AO ให้ผลบวกกับตัวอย่าง 7, 9 และ 11 ราย จากตัวอย่าง 32 ราย ตามลำดับ และเมื่อตรวจด้วยวิธี real-time PCR พบ <em>M. leprae</em> ใน 9 ตัวอย่าง และยังพบว่าวิธี FF และ AO มีประสิทธิภาพดีกว่าวิธี ZN ในการตรวจวินิจฉัยโรคเรื้อนจาก SSS นอกจากนี้ยังพบว่าวิธี FF, AO และ real-time PCR มีความไวเท่ากันในการตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยเชื้อมาก ผลดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า วิธี FF, AO และ real-time PCR สามารถใช้ทดแทนวิธี ZN ในการตรวจวินิจฉัยโรคเรื้อนจากตัวอย่างที่เก็บจากการกรีดผิวหนังโดยไม่สูญเสียความไวในการตรวจ วิธี FF ใช้เครื่องมือราคาถูกกว่า สะดวก และง่ายสำหรับการตรวจวัด ดังนั้นการย้อมสีด้วยวิธี FF จึงสามารถใช้เป็นวิธีการสำหรับช่วยยืนยันผู้มีอาการแสดงที่สงสัยว่าเป็นโรคเรื้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงพยาบาลที่มีทรัพยากรจำกัด</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/265308 อัตราความผิดพลาดในขั้นตอนก่อนการตรวจวิเคราะห์ ของห้องปฏิบัติการในโรงเรียนแพทย์ไทย 2023-10-20T11:08:22+07:00 นพดล อาชีพ noppadol.arechep@hotmail.com ปรีชญา วงษ์กระจ่าง preechaya.wok@mahidol.edu จิรายุ สุทัศนทรวง num_jirayu@hotmail.com สาธิมา ไหลเวชพิทยา sathima_l@hotmail.com <p>ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในขั้นตอนก่อนการตรวจวิเคราะห์ถูกรายงานมามากกว่า 50 ปี แต่ข้อมูลเกี่ยวกับสถิติดังกล่าวในประเทศไทยยังมีค่อนข้างน้อย งานวิจัยนี้จึงรวบรวมข้อมูลสาเหตุและความถี่ของความผิดพลาดก่อนการวิเคราะห์ที่พบในห้องปฏิบัติการ ภาควิชาพยาธิวิทยาคลินิก โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิและโรงเรียนแพทย์ในประเทศไทย การศึกษานี้ใช้ข้อมูลในอดีตของสิ่งส่งตรวจที่ถูกปฏิเสธโดยห้องปฏิบัติการ ภาควิชาพยาธิวิทยาคลินิก โรงพยาบาลศิริราช ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2561 โดยแบ่งความผิดพลาดจาก 3 แหล่งที่มา คือ แผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน และจากโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการอื่น ๆ ภายนอก โรงพยาบาลศิริราช ทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและคำนวณค่า Six Sigma scale จากตัวอย่างสิ่งส่งตรวจทั้งหมด 2,475,917 ตัวอย่าง พบความผิดพลาดก่อนการวิเคราะห์ทั้งหมด 4,147 ตัวอย่าง (0.17%) โดย 82% มาจากแผนกผู้ป่วยใน ผู้วิจัยแบ่งความผิดพลาดก่อนการวิเคราะห์ออกเป็น 6 ประเภท พบว่าการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจเกิดขึ้นจากสาเหตุในระหว่างกระบวนการเก็บตัวอย่างมากที่สุด (84.9%) โดยเฉพาะการพบเลือดที่จับตัวเป็นก้อนเป็นความผิดพลาดประเภทย่อยที่พบบ่อยที่สุด คิดเป็น 63.7% จากสิ่งส่งตรวจที่ถูกปฏิเสธทั้งหมด ผลการศึกษานี้แสดงอัตราการปฏิเสธสิ่งส่งตรวจโดยรวมที่ 0.17% Sigma scale พบว่าค่าความผิดพลาดของแผนกผู้ป่วยนอก แผนกผู้ป่วยใน และจากโรงพยาบาลหรือห้องปฏิบัติการอื่นๆ ภายนอก เท่ากับ 4.90, 4.10 และ 4.50 ตามลำดับ โดยแผนกผู้ป่วยในได้ค่าต่ำกว่าเกณฑ์การยอมรับ (4.15) ห้องปฏิบัติการและโรงพยาบาลจึงควรวางกลยุทธ์ในการตรวจสอบความผิดพลาดก่อนการตรวจวิเคราะห์และวางแนวทางป้องกันเพื่อลดความผิดพลาดนี้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-03-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารเทคนิคการแพทย์