วารสารเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt <p style="font-weight: 400;"><strong>วารสารเทคนิคการแพทย์</strong> เป็นวารสารทางวิชาการของสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมถ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ</p> <p style="font-weight: 400;">วารสารเทคนิคการแพทย์ เป็นวารสารที่ตีพิมพ์บทความวิชาการ และเป็นสื่อกลางเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยด้านเทคนิคการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาต่าง ๆ โดยรับพิจารณาบทความทั้งหมด 6 ประเภท คือ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความปริทัศน์ รายงานกรณีศึกษา บทความวิจัยอย่างสั้น จดหมายถึงบรรณาธิการ และ บทบรรณาธิการ </p> <p style="font-weight: 400;"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></p> <ol style="font-weight: 400;"> <li>เป็นสื่อกลางเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการ และผลงานวิจัยด้านเทคนิคการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์สาขาต่างๆ</li> <li>เพื่อกระตุ้นการวิจัยและการพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มจำนวนผู้เชี่ยวชาญในสาขาเทคนิคการแพทย์</li> <li>เพื่อเป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเทคนิคการแพทย์และผู้ให้บริการทางการแพทย์อื่นๆ</li> </ol> <p style="font-weight: 400;">บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารจะต้องมีการอ่านตรวจทานต้นฉบับ จากคณะบรรณาธิการหรือผู้ทรงคุณวุฒิเฉพาะสาขาจากภายนอก อย่างน้อย 3 ท่าน โดยปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง (double-blinded, peer-review) </p> <p style="font-weight: 400;"><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่:</strong><strong> ไม่เสียค่าใช้จ่าย</strong></p> <p style="font-weight: 400;"><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong> ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เมษายน <br />ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน - ธันวาคม</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>Indexed and Abstracts</strong></p> <p style="font-weight: 400;">- Thailand Citation Index Center (TCI) Tier 1 (จนถึง 31 ธันวาคม 2572)</p> th-TH jmt.amtt2016@gmail.com (ผศ. ดร. ทนพ.เอนก ภู่ทอง (Asst. Prof. Dr. Anek Pootong) ) jmt.amtt2016@gmail.com (รณพร คำพามา (Mrs. Ranaporn Kampama)) Fri, 29 Aug 2025 12:10:39 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความชุกของการติดเชื้อ Human papillomavirus ชนิดความเสี่ยงสูง และความสัมพันธ์กับผลการตรวจทางเซลล์วิทยา ในสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/273814 <p style="font-weight: 400;">การศึกษานี้ตรวจหาความชุกของการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ความเสี่ยงสูง และประเมินความสัมพันธ์ระหว่างการติดเชื้อ HPV non 16, 18 กับผลตรวจทางเซลล์วิทยา ของสตรี จำนวน 45,019 ราย ที่เข้าร่วมโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ระหว่างปี 2020-2023 ด้วยวิธี HPV DNA test ครอบคลุมทั้ง 14 จีโนไทป์ ในรายที่ติดเชื้อ HPV non 16, 18 ได้ส่งตรวจ liquid based cytology (LBC) เพิ่มเติม ผลการศึกษาพบว่าความชุกของการติดเชื้อ HPV ในการศึกษาครั้งนี้ คือร้อยละ 5.27 จีโนไทป์ที่พบความชุกมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ HPV 16 (ร้อยละ 1.04), HPV 52 (ร้อยละ 0.90) และ HPV 58 (ร้อยละ 0.63) ตามลำดับ โดยร้อยละ 83.46 ของผู้เข้าร่วมงานวิจัยเป็นการติดเชื้อเพียงจีโนไทป์เดียว ที่เหลือ (ร้อยละ 16.54) เป็นการติดเชื้อผสม ช่วงอายุ 30-34 ปี พบความชุกการติดเชื้อมากที่สุดคือ ร้อยละ 11.36 และความชุกการติดเชื้อลดลงเมื่อช่วงอายุมากขึ้น จากการศึกษาความผิดปกติของเซลล์ต่อการติดเชื้อ HPV non 16, 18 พบความผิดปกติของเซลล์ในการติดเชื้อผสม ( ร้อยละ 33.14) มากกว่าการติดเชื้อจีโนไทป์เดียว (ร้อยละ 26.20) จีโนไทป์ที่พบเซลล์ผิดปกติมากที่สุดคือ HPV 33 (ร้อยละ 35.56) HPV 51 (ร้อยละ 34.52) และHPV 56 (ร้อยละ 33.96) ตามลำดับ ช่วงอายุที่พบเซลล์ผิดปกติมากสุดคือ 45-49 ปี (ร้อยละ 32.34) การศึกษาความชุกของ HPV และความสัมพันธ์กับผลการตรวจทางเซลล์วิทยาในแต่ละภูมิภาคของประเทศมีความสำคัญเพื่อการวางแผนการตรวจคัดกรอง และการรักษามะเร็งปากมดลูก รวมทั้งเป็นแนวทางในการใช้และพัฒนาวัคซีนให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่อไป</p> สุวิทย์ วงษ์เชียงขวาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/273814 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันเพื่อใช้ในกระบวนการควบคุมคุณภาพการตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ณ จุดดูแลผู้ป่วยของโรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดชัยภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/274734 <p style="font-weight: 400;">การตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่นเป็นการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินภาวะเลือดจางหรือภาวะเลือดข้น ที่ทำได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว การตรวจนี้จึงใช้เป็นรายการทดสอบ ณ จุดดูแลผู้ป่วย ซึ่งต้องการความรวดเร็วและความถูกต้อง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในขั้นวิกฤตที่กระบวนการดูแลผู้ป่วยต้องแข่งขันกับเวลา การตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ณ จุดดูแลผู้ป่วยที่ไม่มีระบบการจัดการควบคุมคุณภาพที่ดีอาจส่งผลต่อความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยได้ ดังนั้นเพื่อการพัฒนาการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพและสะดวก ผู้ศึกษาจึงพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับใช้ในกระบวนการควบคุมคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันสำหรับใช้ในกระบวนการควบคุมคุณภาพการตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ณ จุดดูแลผู้ป่วย และ 2) เพื่อพัฒนาระบบบริหารคุณภาพการตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ณ จุดดูแลผู้ป่วย วิธีการศึกษาเป็นการพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพการทำงานของเว็บแอปพลิเคชันที่ใช้ในการควบคุมคุณภาพการตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ก่อนการใช้เว็บแอปพลิเคชัน ระยะที่ 2 หลังใช้เว็บแอปพลิเคชัน เวอร์ชัน 1 และระยะที่ 3 หลังใช้เว็บแอปพลิเคชัน เวอร์ชัน 2 การประเมินผลทำโดยใช้ข้อมูลด้านคุณภาพและประสิทธิภาพการทดสอบ รวมถึงแบบสอบถามความพึงพอใจและแบบสัมภาษณ์ผู้บริหาร พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนาปรับปรุงเว็บแอปพลิเคชันส่งผลให้ระดับความพึงพอใจทางด้านการควบคุมคุณภาพการตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่นและด้านการใช้งานเว็บแอปพลิเคชันมีระดับเพิ่มสูงขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์ความแปรผัน (%CV) อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด (%CV Limit &lt; 4%) และระยะเวลาส่งผลกลับมีแนวโน้มดีขึ้น ผู้บริหารมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่าสามารถลดระยะเวลา ลดภาระงาน ช่วยลดค่าใช้จ่าย และเป็นประโยชน์ต่อองค์กร สรุปผลการศึกษาแสดงว่าการนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นเองมาใช้ในระบบการจัดการควบคุมคุณภาพการตรวจปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น ณ จุดดูแลผู้ป่วย ของโรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดชัยภูมิ ส่งผลให้มีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน และประหยัดค่าใช้จ่าย</p> สมพร ทาบัว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/274734 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 เส้นกราฟการตอบสนองต่อปริมาณรังสีสำหรับความผิดปกติของโครโมโซมแบบไดเซ็นทริกที่เกิดจากรังสีแกมมาเพื่อการเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินทางรังสีในประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/275381 <p style="font-weight: 400;">การประเมินปริมาณการได้รับรังสีก่อไอออนอย่างแม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการใช้มาตรวัดรังสีทางชีวภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและประชากรศาสตร์เฉพาะถิ่นอาจมีผลต่อการตอบสนองต่อรังสี การศึกษานี้นำเสนอการพัฒนาเส้นกราฟการตอบสนองต่อปริมาณรังสีสำหรับความผิดปกติของโครโมโซมแบบไดเซ็นทริกที่เกิดจากรังสีแกมมาในลิมโฟไซต์ของมนุษย์ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความพร้อมในการรับมือเหตุฉุกเฉินทางรังสีในประเทศไทย โดยใช้ตัวอย่างเลือดจากอาสาสมัครเพศชายอายุ 39 ปีและเพศหญิงอายุ 32 ปี มาฉายรังสีแกมมาจากต้นกำเนิดโคบอลต์-60 อัตรารังสี 0.574 เกรย์ต่อนาที ในช่วงปริมาณรังสี 0–5 เกรย์ จากนั้นเพาะเลี้ยงลิมโฟไซต์และวิเคราะห์โครโมโซมแบบไดเซ็นทริกตามวิธีมาตรฐานที่แนะนำโดยทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) สร้างเส้นกราฟการตอบสนองต่อปริมาณรังสีโดยใช้แบบจำลองเชิงเส้น-กำลังสองด้วยซอฟต์แวร์ Biodose Tools เวอร์ชัน 3.6.1 การประเมินความถูกต้องของเส้นกราฟที่สร้างขึ้นทั้งแบบกราฟแยกเพศและกราฟรวมพบว่า ค่าปริมาณรังสีที่ประเมินได้จากกราฟทั้งสองมีความใกล้เคียงกับปริมาณรังสีที่ได้รับจริง การวิเคราะห์ทางสถิติด้วย paired<em> t</em>-test และ ANOVA พบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างค่าปริมาณรังสีที่ประเมินจากกราฟแยกเพศและกราฟรวม ผลการศึกษานี้ช่วยเสริมสร้างความสามารถของประเทศไทยในการประเมินการได้รับรังสีในสถานการณ์ฉุกเฉิน และยังเป็นการสนับสนุนความพยายามระดับโลกในการพัฒนามาตรวัดรังสีทางชีวภาพ โดยการจัดทำกราฟอ้างอิงที่เชื่อถือได้ขึ้นภายในประเทศ</p> เบญจววรณ รังสิมาภรณ์, บุษบา ฤกษ์อำนวยโชค, อิสริยา ชัยรัมย์, ดารุณี พีขุนทด, วันวิสา สุดประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/275381 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินอุปกรณ์เจาะเลือดที่ออกแบบเพื่อผู้รับบริการเปลนอน โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/272015 <p style="font-weight: 400;">การอำนวยความสะดวกในการเจาะเลือดให้ผู้รับบริการได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและมีความปลอดภัยสูงสุดเป็นเป้าหมายที่สำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดที่ออกแบบเพื่อผู้รับบริการเปลนอน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ อุปกรณ์เจาะเลือดที่ออกแบบเพื่อผู้รับบริการเปลนอนและแบบสอบถามกลุ่มเป้าหมายคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ เจ้าหน้าที่เจาะเลือด ผู้รับบริการ และญาติของผู้รับบริการ (กรณีที่ผู้รับบริการไม่สามารถให้ข้อมูลได้) จำนวนรวมทั้งหมด 17, 9 และ 21 คน ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลด้วยสถิติเชิงพรรณนา โดยนำเสนอในรูปแบบของการแจกแจงความถี่ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลต่อเนื่องที่มีการแจกแจงแบบไม่ปกติวิเคราะห์ด้วยค่ามัธยฐานและค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ โดยกำหนดค่ามัธยฐาน &gt; 3.50 และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ ≤ 2.00 ผลการศึกษาคะแนนความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดที่ออกแบบเพื่อผู้รับบริการเปลนอนในภาพรวม พบว่า คะแนนความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดที่ได้จากเจ้าหน้าที่เจาะเลือดอยู่ในระดับปานกลาง โดยคะแนนด้านความคิดสร้างสรรค์สูงสุด รองลงมาคือทันสมัยสวยงาม ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย วัสดุและอุปกรณ์สำหรับใช้ในการเจาะเลือดสะอาด และแข็งแรงทนทาน ตามลำดับ ในขณะที่คะแนนความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดที่ได้จากผู้รับบริการอยู่ในระดับสูงสุด โดยคะแนนด้านทันสมัยสวยงามสูงสุด รองลงมาคือความปลอดภัย กะทัดรัดเหมาะสม ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ความคิดสร้างสรรค์ และแข็งแรงทนทาน ตามลำดับ สำหรับคะแนนความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดที่ได้จากญาติอยู่ในระดับสูงสุด โดยคะแนนด้านความปลอดภัยสูงสุด รองลงมาคือกะทัดรัดเหมาะสม ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ความคิดสร้างสรรค์ ทันสมัยสวยงาม และแข็งแรงทนทาน ตามลำดับ และในการประเมินความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดที่ออกแบบเพื่อผู้รับบริการเปลนอนในภาพรวม พบว่า ผลการประเมินความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดจากเจ้าหน้าที่เจาะเลือดมีค่ามัธยฐาน อยู่ที่ประมาณ 4.0 และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ อยู่ระหว่าง 3.5 ถึง 4.5 ในขณะที่ผลการประเมินความเหมาะสมของอุปกรณ์เจาะเลือดจากผู้รับบริการและญาติมีค่ามัธยฐาน <span style="text-decoration: line-through;"> </span>อยู่ที่ประมาณ 4.5 และค่าพิสัยระหว่างควอร์ไทล์ อยู่ระหว่าง 4.0 ถึง5.0 อุปกรณ์เจาะเลือดที่ออกแบบเพื่อผู้รับบริการเปลนอนเป็นอุปกรณ์เจาะเลือดที่เหมาะสำหรับนำมาให้บริการ เนื่องจากสามารถอำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการได้อย่างไร้รอยต่อ</p> สุพิศ โพธิ์ขาว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/272015 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 สารสกัดน้ำเบญจกูลป้องกันการแก่ของเซลล์ไตในหนูอ้วนที่ได้รับอาหารไขมันสูง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268282 <p style="font-weight: 400;">การศึกษาฤทธิ์สารสกัดเบญจกูลป้องกันเซลล์ไตแก่ในหนูอ้วนสายพันธุ์ Sprague-Dawley เพศผู้ จำนวน 18 ตัว แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มควบคุมหรือกลุ่มที่ได้รับอาหารปกติ กลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูง กลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงร่วมกับสารสกัดน้ำเบญจกูลปริมาณต่ำ กลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงร่วมกับสารสกัดน้ำเบญจกูลปริมาณสูง กลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงร่วมกับสารสกัดน้ำช้าพลูและกลุ่มที่ได้รับอาหารที่มีไขมันสูงร่วมกับยา Metformin หลังเลี้ยงหนูครบ 4 สัปดาห์ ชั่งน้ำหนักตัวของหนู ตรวจวัดระดับ insulin, BUN, creatinine และ SA-β-gal ในไต พบว่าสารสกัดน้ำเบญจกูลมีแนวโน้มว่าช่วยลดน้ำหนักตัวของหนูได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 และสามารถลดน้ำหนักตัวของหนูได้ดีที่สุดในสัปดาห์ที่ 3 และ 4 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับอาหารไขมันสูง สารสกัดน้ำเบญจกูลปริมาณสูงมีแนวโน้มที่มีความไวต่ออินซูลินมากที่สุด สารสกัดเบญจกูลปริมาณต่ำและสารสกัดน้ำช้าพลูมีแนวโน้มที่สามารถลดระดับ BUN ได้จึงไม่ส่งผลต่อการทำงานของไตหนู ในทางกลับกันสารสกัดเบญจกูลปริมาณสูงและยา metformin มีแนวโน้มที่เพิ่มระดับ BUN ได้ซึ่งเป็นผลจากการที่ไตทำงานหนักขึ้นทำให้ไตหนูนั้นเสื่อมได้ สารสกัดเบญจกูลปริมาณต่ำและสารสกัดเบญจกูลปริมาณสูงสามารถลดความหนาแน่นของการติดสีของ SA-β-gal ในเซลล์ไตได้ แสดงให้เห็นว่าสารสกัดน้ำของเบญจกูลมีแนวโน้มที่จะสามารถลดความแก่ของเซลล์ไตในหนูที่ได้รับอาหารไขมันสูงได้</p> เกวลิน วงศ์โถง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/268282 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อการบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาในรายวิชาวิทยาภูมิคุ้มกัน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/275846 <div><span lang="TH">การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาภูมิคุ้มกันให้แก่นักศึกษาเทคนิคการแพทย์ พบว่ามีปัญหาในด้านการทำความเข้าใจ การเชื่อมโยงองค์ประกอบของระบบภูมิคุ้มกัน และการคำนวณเกี่ยวกับการเจือจางซีรัม ผู้สอนจึงได้ปรับ</span></div> <div><span lang="TH">กลยุทธ์</span></div> <div><span lang="TH">การจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพิ่มทั้ง<a name="_Hlk192666871"></a>สมรรถนทักษะและจรณทักษะให้แก่นักศึกษาทั้งแบบเป็นกลุ่มและรายบุคคล และเหมาะสมกับลักษณะผู้เรียนตามผลการวิเคราะห์ผู้เรียน การประเมินผลของกิจกรรมใช้แบบประเมินที่ออกแบบขึ้นโดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริคและแบบทดสอบความรู้ที่ผ่านการหาค่าความเที่ยงและความตรง จากผลการประเมินด้วยแบบทดสอบความรู้พบว่ากิจกรรมดังกล่าวทำให้นักศึกษามีความเข้าใจเนื้อหาวิชามากขึ้น ผลการสนทนากลุ่มพบว่านักศึกษาได้รับความสนุกสนานจากการทำกิจกรรม เมื่อประเมินผลการเรียนในรายวิชาโดยการเปรียบเทียบห้าปีย้อนหลังพบว่าการปรับ</span></div> <div><span lang="TH">กลยุทธ์</span></div> <div><span lang="TH">การจัดการเรียนรู้ทำให้ผู้เรียนมีแนวโน้มผลการเรียนที่ดีขึ้น และบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ของรายวิชา </span></div> ศราวุธ สุทธิรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/275846 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้วิชาเคมีคลินิกและทักษะทางสังคมของนักศึกษาเทคนิคการแพทย์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/276189 <p style="font-weight: 400;"><strong> </strong></p> <p style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้วิชาเคมีคลินิกและทักษะทางสังคมโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (active learning) และศึกษาเจตคติของนักศึกษาที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก กลุ่มตัวอย่าง คือนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาเคมีคลินิก 3 คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เฉลิมพระเกียรติ จำนวน 227 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก ซึ่งมี 4 รูปแบบ 3 กิจกรรม แบบทดสอบความรู้ก่อนและหลังกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก แบบประเมินทักษะทางสังคม 4 ด้าน แบบประเมินเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่านักศึกษามีพัฒนาการด้านผลลัพธ์การเรียนรู้วิชาเคมีคลินิกในระดับต้นถึงระดับสูงมาก โดยมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นหลังการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.001) มีคะแนนทักษะทางสังคมสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้เชิงรุกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.001) โดยมีพัฒนาการด้านทักษะการร่วมมือและการทำงานเป็นทีมในระดับสูงมาก และมีเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยรวมในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ย 4.56, ค่าเบี่ยงเบน 0.44) สรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้เชิงรุกช่วยให้นักศึกษามีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนเพิ่มมากขึ้นและช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้านทักษะทางสังคม</p> ชมพูนุท สินธุพิบูลยกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/276189 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 The Significance of FilmArray Blood Culture Identification Panel (FA-BCID) for Managing Patients with Positive Blood Cultures https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/274612 <p>-</p> อภิวิชญ์ ลานุช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/274612 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การควบคุมคุณภาพภายใน อ้างอิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์: แนวคิดเปรียบเทียบกับระบบจราจร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/275524 <p>-</p> กฤติน ชุมสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคนิคการแพทย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/jmt-amtt/article/view/275524 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700