ประสิทธิผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการเดินสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีดัชนีมวลกายเกิน อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร
คำสำคัญ:
ผู้ป่วยโรคเบาหวาน , สมรรถนะการออกกำลังกาย , พฤติกรรมการออกกำลังกายด้วยการเดินบทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการเดินต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตน และพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีดัชนีมวลกายเกิน กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง โดยเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีดัชนีมวลกายเกิน ในอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร จำนวน 64 คน สุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 32 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย เครื่องมือดำเนินการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการเดิน ประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีแบบจำลองการเปลี่ยนแปลง 2) นาฬิกาสมาร์ตวอทช์ที่ได้มาตรฐานสากล เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป 2) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะการออกกำลังกาย 3) แบบสอบถามพฤติกรรมการออกกำลังกาย 4) ข้อมูลเชิงคลินิก ได้แก่ ดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว ระดับน้ำตาลในเลือด ใช้เครื่องมือมาตรฐานการแพทย์ ความตรงเชิงเนื้อหา ได้ค่า 0.96-1.00 ค่าความเชื่อมั่นด้วยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ได้ค่า .85 และ .94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบที สถิติทดสอบแมนวิทนีย์ยู และสถิติทดสอบวิลล์คอกซันไซน์แรงค์
ผลการวิจัยพบว่า หลังเข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มทดลองมีการรับรู้สมรรถนะการออกกำลังกายด้วยการเดินและพฤติกรรมการออกกำลังกายดีกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และกลุ่มทดลองมีเส้นรอบเอวและระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กลุ่มทดลองมีดัชนีมวลกายน้อยกว่าเข้าร่วมโปรแกรมแต่ไม่แตกต่างกลุ่มเปรียบเทียบ ข้อเสนอแนะ โปรแกรมการส่งเสริมการออกกำลังกายด้วยการเดินสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะเมตาบอลิก
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค (2563). รายงานสถานการณ์โรค NCDs เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2562. สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
กรมควบคุมโรค. (2565). กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์โรคเบาหวานทั่วโลก มีผู้ป่วยแล้ว 537 ล้านคน มีส่วนทำให้เสียชีวิต สูงถึง 6.7 ล้านคน หรือเสียชีวิต 1 ราย ในทุกๆ 5 วินาที. https://datariskcom-ddc.moph.go.th/download/กรมควบคุมโรค-เผยสถานกา-2/
ชัญญาวีร์ ไชยวงศ์, นิรมล พัจนสุนทร, เนสินี ไชยเอีย, และเสาวนันท์ บำเรอราช. (2559). ประสิทธิผลของโปรแกรมการสร้างแรงจูงใจในการออกกำลังกายต่อส่วนประกอบของร่างกาย ระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และสมรรถภาพของหัวใจและหายใจในผู้ใหญ่ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดบกพร่องในชนบท จังหวัดอุดรธานี. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา, 11(2), 47–63.
พยงค์ ขุนสะอาด. (2563). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุในเขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านห้วยส้านพลับพลา ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์, 15(1), 33–49.
ลัชชี ชัชวรัตน์, ดวงฤดี ลาศุขะ, และทศพร คำผลศิริ. (2562). ผลของการออกกำลังกายด้วยการเดินแบบนอร์ดิกต่อดัชนีมวลกายและเส้นรอบวงเอวในผู้สูงอายุที่มีภาวะน้ำหนักเกิน. พยาบาลสาร, 46(ฉบับเพิ่มเติม), 1–12.
ระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (HDC). (2563). อัตราป่วยรายใหม่ของโรคความดันโลหิตสูงต่อแสนประชากรในปีงบประมาณ. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข. https://hdc.moph.go.th/center/public/standard-subcatalog/6a1fdf282fd28180eed7d1cfe0155e11
วิชัย เอกพลากร (บ.ก.). (2564). รายงานการสำรวจสุขภาพประชากรไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2562–2563. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.
สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. (2562). สถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทย.
สุชาดา พวงจำปา, กาญจนา พิบูลย์, วัลลภ ใจดี, และเกษม ใช้คล่องกิจ. (2563). ผลของโปรแกรมสนับสนุนการจัดการตนเองต่อความรู้ พฤติกรรมการออกกำลังกาย จำนวนก้าวเดิน และระดับฮีโมโกลบินเอวันซีของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2. วารสารแพทย์นาวี, 47(2), 275–300.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยโสธร. (2565). รายงานสรุปผลการดำเนินงานสถานการณ์โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงประจำปี 2565.
DiClemente, R. J., Salazar, L. F., & Crosby, R. A. (2019). Health behavior theory for public health: Principles, foundations, and applications (2nd ed.). Jones & Bartlett Learning.
ElSayed, N. A., Aleppo, G., Aroda, V. R., Bannuru, R. R., Brown, F. M., Bruemmer, D., Collins, B. S., Hilliard, M. E., Isaacs, D., Johnson, E. L., Kahan, S., Kdv’hunti, K., Leon, J., Lyons, S. K., Perry, M. L., Prahalad, P., Pratley, R. E., Seley, J. J., Stanton, R. C., Gabbay, R. A., … on behalf of the American Diabetes Association. (2023). 2. Classification and Diagnosis of Diabetes: Standards of Care in Diabetes-2023. Diabetes Care, 46(Suppl 1), S19–S40. https://doi.org/10.2337/dc23-S002
International Diabetes Federation. (2021). IDF diabetes atlas (10th ed.). https://diabetesatlas.org/resources/previous-editions/
Italian Diabetes Society, Associazione Medici Diabetologi, Società Italiana di Diabetologia, & Società Italiana delle Scienze Motorie e Sportive. (2020). Walking for subjects with type 2 diabetes: A systematic review and joint AMD/SID/SISMES evidence-based practical guideline. Sport Sciences for Health, 16(2), 247-266. https://doi.org/10.1007/s11332-020-00690-y
Kolditz, C. I., & Langin, D. (2010). Adipose tissue lipolysis. Current Opinion in Clinical Nutrition and Metabolic Care, 13(4), 377–381.
Polit, D.F., & Beck, C.T. (2004). Nursing research: principles and methods (7th ed.). Lippincott Williams & Wilkins.
Williams, R., Karuranga, S., Malanda, B., Saeedi, P., Basit, A., Besançon, S., Bommer, C., Esteghamati, A., Ogurtsova, K., Zhang, P., & Colagiuri, S. (2020). Global and regional estimates and projections of diabetes-related health expenditure: Results from the international diabetes federation diabetes atlas, 9th edition. Diabetes Research and Clinical Practice, 162, 108072. https://doi.org/10.1016/j.diabres.2020.108072
World Health Organization. (2012). Global status report on noncommunicable diseases 2012.
World Health Organization. (2017). Global report on diabetes.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากราชาวดีสาร วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ ก่อนเท่านั้น



