คำแนะนำผู้นิพนธ์
คำแนะนำผู้นิพนธ์
วารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยพิมพ์เผยแพร่บทความที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนจีน การรักษาด้วยการฝังเข็ม การใช้ยาสมุนไพร การนวดทุยหนา หรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนจีน ทางวารสารยินดีรับผลงานวิจัย งานวิจัยทางคลินิก บทปริทัศน์ และบทความทางวิชาการอื่นๆ ที่มุ่งเน้นในด้านบริการทางคลินิก การบริหารทางการแพทย์ การศึกษา การพัฒนาคุณภาพ การแพทย์ผสมผสาน นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนจีน โดยรับบทความที่เป็นภาษาไทย อังกฤษ หรือจีน ทั้งนี้ แต่ละบทความไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม จะมีชื่อบทความ ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้ง 3 ภาษา (กรณีที่เขียนภาษาไทยหรือภาษาจีนไม่ได้ สามารถเว้นไว้โดยแจ้งให้ทางวารสารทราบ เพื่อดำเนินการให้)
สามารถศึกษารูปแบบการเขียนที่ ตัวอย่างแบบฟอร์มการเขียนบทความ
สามารถศึกษาการส่งบทความที่ วิธีการส่งบทความผ่านระบบ THAIJO
1. ประเภทบทความและเนื้อหาที่เผยแพร่ในวารสาร
1.1 บทบรรณาธิการ (Editorial Note/编写说明) เป็นการสื่อสารระหว่างบรรณาธิการกับผู้อ่านให้ทราบเกี่ยวกับ ข่าวสาร บทความ รายงานการศึกษา และอื่นๆ ที่กองบรรณาธิการได้นำเสนอในวารสาร หรือเป็นการแสดงความคิดเห็น ความในใจ ความรู้สึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์วิชาการ บทความ ความรู้ หรืออื่นๆ ที่บรรณาธิการต้องการสื่อให้ผู้อ่าน ได้รับรู้หรือเข้าใจ
1.2 จดหมายถึงบรรณาธิการ (Letter to Editor/致编辑信) เป็นเวทีใช้ติดต่อตอบโต้ระหว่างนักวิชาการ ผู้อ่าน กับบรรณาธิการ หรือเจ้าของบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร ในกรณีผู้อ่านมีข้อคิดเห็นแตกต่างต้องการชี้ให้เห็นความไม่สมบูรณ์ หรือข้อผิดพลาดของรายงาน บางครั้งบรรณาธิการ อาจวิพากษ์ สนับสนุนหรือโต้แย้ง นอกจากนี้ยังเป็นเวทีสำหรับการรายงานเบื้องต้น (preliminary report) หรือรายงานสังเขป (short communication) ซึ่งเป็นการนำเสนอรายงานผลการศึกษาวิจัยที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องศึกษาต่อเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
1.3 บทความพิเศษ (Special Article/特殊文章) เป็นบทความเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ และแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการที่น่าสนใจด้านการแพทย์แผนจีน และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน ลักษณะของบทความควรประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน บทนำ เนื้อหาข้อคิดเห็นที่นำเสนอ เอกสารอ้างอิง ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 10-15 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
1.4 นิพนธ์ต้นฉบับ (Original Article/原创论文) เป็นรายงานผลการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ที่มีรูปแบบตามมาตรฐานงานวิชาการประกอบด้วยลำดับเนื้อเรื่อง ดังต่อไปนี้ ชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน บทนำ ระเบียบวิธีศึกษา ผลการศึกษา วิจารณ์ สรุป กิตติกรรมประกาศ และเอกสารอ้างอิง ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 10-15 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
1.5 บทปริทัศน์ (Review Article/文献综述) เป็นบทความทางวิชาการที่รวบรวมความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากวารสาร หรือหนังสือต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประกอบด้วยชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน บทนำ วิธีการสืบค้นข้อมูล เนื้อหาที่ทบทวน วิจารณ์ สรุป และเอกสารอ้างอิง ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 10-15 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
1.6 รายงานผู้ป่วย (Case Report/病例报告) เป็นการรายงานผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ไม่ธรรมดา หรือที่เป็นโรคหรือกลุ่มอาการของโรคใหม่ที่ไม่เคยมีการรายงานมาก่อน หรือพบไม่บ่อย และต้องมีหลักฐานชัดเจนอย่างครบถ้วนที่เป็นประโยชน์ โครงสร้างบทรายงานผู้ป่วยประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน บทนำ ข้อมูลประวัติอาการ ลำดับการดำเนินโรค การตรวจวินิจฉัย การรักษา ผลการติดตามอาการ วิจารณ์ สรุป และเอกสารอ้างอิง ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 10 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
1.7 เวทีทรรศนะ (Viewpoints & Perspectives/观点评论) เป็นเวทีแห่งการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ข้อมูลเชิงวิชาการ แนวคิดและแนวทางใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนและสมุนไพร โดยเสนอความคิดเห็น หรือวิพากษ์เชิงวิชาการของเรื่องที่ทำการศึกษาวิจัยในประเด็นที่ยังไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน หรือมีความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ที่แตกต่างออกไปจากผลการศึกษาวิจัยนั้นๆ หรือไม่ตรงกับความคิดที่มีอยู่เดิม รูปแบบการเขียนเป็นอิสระ แต่ต้องมีชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน และเอกสารอ้างอิง ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 10-15 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
1.8 ปกิณกะ (Miscellaneous/杂项) เป็นบทความขนาดย่อมที่ลักษณะอาจเข้าข่าย หรือไม่เข้าข่ายบทความต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หรือเป็นบทความแสดงข้อคิดเห็นเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นพิเศษ รูปแบบการเขียนเป็นอิสระ ไม่ต้องมีบทคัดย่อและคำสำคัญ แต่ต้องมีชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน และเอกสารอ้างอิง ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 5 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
1.9 วารสารสโมสร (Journal Club/期刊俱乐部) เป็นบทแนะนำบทความวิชาการและงานวิจัยที่ดี น่าสนใจ พร้อมบทวิเคราะห์และวิจารณ์สั้นๆ โดยผู้เขียน เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบและนำไปใช้เป็นประโยชน์หรือศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ไม่ต้องมีบทคัดย่อและคำสำคัญ แต่ต้องมีชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน และชื่อผู้รับผิดชอบบทความทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ความยาวรวมทั้งบทความประมาณ 3-5 หน้าพิมพ์ กระดาษ A4
2. การเตรียมต้นฉบับบทความนิพนธ์ต้นฉบับ
เนื่องจากวารสารการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยเป็นบทความ 3 ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน โดยชื่อเรื่อง ชื่อผู้นิพนธ์ ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน บทคัดย่อ คำสำคัญ และชื่อผู้รับผิดชอบบทความจัดให้มีทั้ง 3 ภาษา (กรณีที่ผู้นิพนธ์เขียนภาษาไทย หรือภาษาจีนไม่ได้ ก็สามารถเว้นไว้ โดยแจ้งความประสงค์ให้ทางวารสารทราบ และทางวารสารจะช่วยดำเนินการให้) ส่วนเนื้อหาบทความท่านสามารถเลือกเขียนภาษาใด ภาษาหนึ่งเป็นภาษาหลักได้ตามความประสงค์
2.1 ชื่อเรื่อง (Title/题目)
ชื่อเรื่อง ควรสั้น กะทัดรัด และสื่อเป้าหมายหลักของการศึกษา ไม่ใช้คำย่อ ความยาวไม่ควรเกิน 100 ตัวอักษร พร้อมช่องไฟ ถ้าชื่อยาวมากให้ตัดเป็นชื่อรอง ชื่อเรื่องต้องมีภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน สำหรับภาษาอังกฤษจะใช้คำขึ้นต้นประโยคอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น คำอื่นๆ เริ่มต้นด้วยตัวพิมพ์เล็ก ยกเว้นคำเฉพาะ (proper noun)
2.2 ชื่อผู้นิพนธ์ (Author/作者)
ชื่อผู้นิพนธ์ ให้มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ใช้ชื่อเต็ม ไม่ใช้คำย่อ ไม่ต้องระบุตำแหน่งและคำนำหน้า หากเป็นชื่อผู้นิพนธ์คนจีนในบทคัดย่อภาษาอังกฤษ ให้เขียนเป็นพินอินและใช้อักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เท่านั้น เริ่มด้วยนามสกุล เว้นวรรค ชื่อ เช่น Lin Lele
2.3 ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน (Affiliation/工作单位)
ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบันที่ผู้นิพนธ์สังกัด/ปฏิบัติงานให้มีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน (ไม่ใช้คำย่อ) โดยชื่อภาษาอังกฤษจะใช้อักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ (capitalization) ยกเว้นคำบุพบท (preposition) กรณีมีผู้นิพนธ์ 1 ท่านมีสังกัดมากกว่า 1 หน่วยงาน ให้เลือกสังกัดหลักสังกัดเดียวในการเขียน หากแต่ละผู้นิพนธ์มีสังกัดหน่วยงานแตกต่างกันใส่ตัวเลขยกหลังชื่อผู้นิพนธ์แต่ละท่าน และให้ใส่ตัวเลขยกอยู่หน้าชื่อสังกัดหน่วยงาน โดยระบุใช้หมายเลขให้ตรงกับผู้นิพนธ์ เรียงตามลำดับ ถ้าสังกัดหน่วยงานเดียวกันให้ใช้หมายเลขเดิม หากบทความนั้นผู้นิพนธ์ทั้งหมดสังกัดหน่วยงานเดียวกันไม่ต้องใส่ตัวเลข
2.4 บทคัดย่อ (Abstract/摘要)
บทคัดย่อแบบเป็นข้อความย่อหน้าเดียว เป็นเนื้อความย่อตามลำดับโครงสร้างของบทความ ได้แก่ หลักการและวัตถุประสงค์ ระเบียบวิธีศึกษา ผลการศึกษา อภิปราย และข้อสรุป ไม่เกิน 250 คำ หรือ 15 บรรทัด ใช้ภาษารัดกุมเป็นประโยคสมบูรณ์ มีความหมายในตัวเองไม่ต้องหาความหมายต่อ ต้องเป็นประโยคอดีต (ภาษาอังกฤษ) ไม่ควรมีคำย่อ ต้องจัดทำทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน โดยบทคัดย่อของแต่ละภาษาไม่ควรมีอีกภาษาหนึ่งปน โดยไม่จำเป็น
ภาษาไทย ให้ใส่คำว่า “บทคัดย่อ” ไว้หน้าเนื้อความ
ภาษาอังกฤษ ให้ใส่คำว่า “Abstract” ไว้หน้าเนื้อความ
ภาษาจีนให้ใส่คำว่า “摘要” ไว้หน้าเนื้อความ
การเรียงลำดับภาษาของบทคัดย่อ กำหนดให้ใช้ภาษาหลักในบทความเป็นลำดับแรก ตามด้วยภาษาไทย และภาษาที่ 3 หากบทความหลักเป็นภาษาไทย ภาษาที่ 2 จะเป็นภาษาอังกฤษ และตามด้วยภาษาจีน
2.5 คำสำคัญ (Keywords/关键词)
ให้ระบุทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ใส่ไว้ท้ายบทคัดย่อของแต่ละภาษา ทำให้ผู้อ่านรู้ได้ว่าเป็นเรื่อง
เกี่ยวกับอะไร ใช้ประโยชน์ในการค้นหาบทความในระบบการสืบค้นต่างๆ โดยเฉพาะการค้นทางอินเทอร์เน็ต คำสำคัญ อาจได้แก่ ขอบเขตของการศึกษา เช่น บริการสุขภาพ โรค กลุ่มที่ศึกษา สถานที่ ประเทศ วิธีหลักในการศึกษา เป็นหัวข้อเรื่องสำหรับทำดัชนีคำสำคัญ (keyword index) ของปีวารสาร (volume) และดัชนีเรื่องสำหรับ Index Medicus โดยใช้ Medical Subject Headings (MeSH) terms ของ U.S. National Library of Medicine เป็นแนวทางการให้คำสำคัญ โดยใช้คำสำคัญ 3-5 คำ แต่ละคำคั่นด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (;) โดยที่ทั้งสามภาษาจะต้องใช้คำสำคัญเดียวกัน ตามลำดับ
ภาษาไทยให้ใส่คำว่า “คำสำคัญ”
ภาษาอังกฤษให้ใส่คำว่า “Keywords”
ภาษาจีนให้ใส่คำว่า “关键词”
2.6 ผู้รับผิดชอบบทความ (Corresponding author/通讯作者)
หมายถึง ผู้นิพนธ์ที่ทำหน้าที่ประสานงานกับผู้อื่นที่มีชื่อในผลงาน เป็นที่ปรึกษาและประสานงานในการตอบ ข้อคำถามหรือข้อวิจารณ์ โดยต้องระบุชื่อผู้รับผิดชอบบทความ หากเป็นผู้นิพนธ์ท่านเดียวให้ถือว่าเป็นผู้รับผิดชอบบทความ คั่นด้วยเครื่องหมายทวิภาค (:) และอีเมลของผู้รับผิดชอบบทความ
ภาษาไทย ให้ใส่คำว่า “ผู้รับผิดชอบบทความ” ไว้หน้าเนื้อความ
ภาษาอังกฤษ ให้ใส่คำว่า “Corresponding author” ไว้หน้าเนื้อความ
ภาษาจีนให้ใส่คำว่า “通讯作者” ไว้หน้าเนื้อความ
ตัวอย่างรูปแบบการเตรียมบทความตั้งแต่ชื่อเรื่องถึงผู้รับผิดชอบบทความ แสดงดังต่อไปนี้



2.7 เนื้อหาของบทความ
ให้เขียนด้วยภาษาไทย หรือภาษาจีน หรือภาษาอังกฤษ ซึ่งท่านสามารถเลือกเขียนภาษาใด ภาษาหนึ่งเป็นภาษาหลักได้ตามความประสงค์ ตัวอย่างส่วนประกอบของนิพนธ์ต้นฉบับ มีดังนี้
2.7.1 บทนำ (Introduction/前言)
เป็นส่วนของเนื้อหาที่บอกความเป็นมา โดยมีการทบทวนวรรณกรรมให้เห็นถึงเหตุผลความจำเป็นของการศึกษาวิจัย ให้ข้อมูลทางวิชาการ พร้อมทั้งจุดมุ่งหมายอย่างคร่าวๆ โดยมีการอ้างอิงเอกสาร เป็นส่วนที่อธิบายให้ผู้อ่านทราบว่า
จะตอบคำถามอะไร อย่างกระชับและชัดเจน และย่อหน้าสุดท้ายจะแสดงวัตถุประสงค์ของการศึกษาและการวิจัยนั้นด้วย ความยาวไม่ควรเกิน 2 หน้า
2.7.2 วิธีการศึกษา (Methodology/研究方法)
เขียนชี้แจงแยกเป็น 2 หัวข้อใหญ่ คือ วัสดุหรือกลุ่มตัวอย่าง (Material/材料) และวิธีการศึกษา (Method/方法)
1) วัสดุหรือกลุ่มตัวอย่าง (Material/材料)
ให้บอกรายละเอียดของสิ่งที่นำมาศึกษา เช่น ผู้ป่วย คนปกติ สัตว์ พืช รวมถึงจำนวน และลักษณะเฉพาะของตัวอย่างที่ศึกษา เช่น เพศ อายุ น้ำหนัก ในกรณีที่ทำการศึกษาวิจัยในมนุษย์หรือสัตว์ ตลอดจนอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษา ต้องบอกถึงการอนุญาตจากผู้ที่เข้ารับการศึกษาและการยอมรับจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง ในกรณีศึกษาพืช ควรมีตัวอย่างพันธุ์ไม้อ้างอิงงานวิจัย (voucher specimens) ที่เก็บจากพืชต้นที่นำไปประกอบการวิจัยนั้นๆ อาจเก็บรักษาไว้เพื่ออ้างอิงในหอพันธุ์ไม้หรือที่สถาบัน
2) วิธีการศึกษา (Method/方法)
ให้ระบุรูปแบบวิธีการศึกษา (study design) เช่น randomize, double-blinded controlled trial หรือ descriptive study หรือ quasi-experimental design การสุ่มตัวอย่าง (randomize) เช่น การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย แบบหลายขั้นตอน วิธีการ (interventions) หรือวิธีการดำเนินการ (procedure) ที่ทำการศึกษา เช่น วิธีการเตรียมยาที่ใช้ในการศึกษา ชนิดและขนาดยาที่ใช้ ถ้าเป็นวิธีการที่รู้จักทั่วไปให้ระบุในเอกสารอ้างอิง ถ้าเป็นวิธีใหม่ อธิบายให้ผู้อ่านเข้าใจ วิธีการเก็บข้อมูล วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล และสถิติที่ใช้ ในกรณีใช้สารเคมีหรือยาที่สั่งซื้อ ให้ระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจน โดยระบุในรูปแบบ (บริษัทและประเทศ)
ทั้งนี้กรณีทำการวิจัยในมนุษย์หรือสัตว์ จำเป็นต้องระบุว่าโครงการนี้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์จากหน่วยงานใด พร้อมระบุรหัสโครงการ
2.7.3 ผลการศึกษา (Results/结果)
บรรยายถึงผลที่ได้จากการศึกษาตามลำดับหัวข้อของแผนการศึกษาอย่างชัดเจน ดูได้ง่าย ถ้าผลไม่ซับซ้อน ไม่มีตัวเลขมาก บรรยายเป็นร้อยแก้ว แต่ถ้ามีตัวเลขมาก หรือมีหลายตัวตัวแปรมาก ควรใช้ตาราง หรือภาพตามความเหมาะสม โดยแสดงตัวเลขในตารางเฉพาะที่มีส่วนสำคัญ ตำแหน่งของตาราง หรือภาพควรวางไว้ใกล้ข้อความที่เพิ่งกล่าวถึงที่สุด
2.7.4 วิจารณ์ (Discussion/讨论)
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของบทความทางวิชาการ ต้องเขียนแยกจากผลการศึกษา เป็นการแสดงให้เห็นว่า การศึกษาวิจัยนี้ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ (หรือไม่) ในการค้นหา ต่อยอด อุดช่องว่าง จนได้ความรู้ใหม่ที่เพิ่มจากที่เคยค้นพบมา มีการเปรียบเทียบกับการศึกษาที่ผ่านมา เพื่อแสดงถึงความรู้ใหม่ ซึ่งในที่นี้หมายถึง หลัก (principle) ทฤษฎี (theory) สารสนเทศ (information) หรือความสัมพันธ์ (relationship) ที่เป็นสิ่งใหม่ซึ่งสรุปได้จากการศึกษา อาจยืนยันความรู้เดิมได้บ้าง หรือแตกต่างไปจากผลงานที่มีผู้รายงานไว้ก่อนหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อภิปรายผลที่ไม่ตรงตามที่คาดหวัง อย่างไม่ปิดบัง แต่พยายามอธิบายถึงแง่มุมใหม่ที่แสดงความสำคัญของผลการศึกษาที่ได้ว่าไปต่อยอดความรู้เดิมอย่างไร หรืออาจนำเอาผลการศึกษาอื่น มาอธิบายสิ่งที่ค้นพบจากการวิจัย หรือเอาสิ่งที่ค้นพบไปอธิบายผลการศึกษาอื่น
2.7.5 สรุป (Conclusions/结论)
แสดงข้อสรุปเกี่ยวกับงานวิจัยทั้งชิ้นจากผลการศึกษา และการอภิปรายผลรวมทั้งแสดงว่าผลที่ได้ตรงกับวัตถุประสงค์ การวิจัยหรือไม่ อย่างไร ควรมีข้อเสนอแนะในการใช้ประโยชน์ของงานวิจัย ในระดับนโยบาย ระดับปฏิบัติในหน่วยงาน หรือการนำไปประยุกต์ในท้องที่อื่น มีข้อเสนอแนะในมุมที่ควรมีการศึกษาเพิ่มเติม หรือให้ประเด็นคำถามการวิจัยสำหรับการวิจัยต่อไป ทั้งนี้ข้อเสนอแนะควรมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับการศึกษาหรือข้อสรุปที่ได้
2.7.6 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgments/致谢)
กิตติกรรมประกาศจะมีหรือไม่ก็ได้ หากมีควรมีเพียงย่อหน้าเดียว ไม่ควรยาวมากนัก โดยใช้ภาษาหลักของบทความ เพื่อแสดงความขอบคุณที่ได้รับการช่วยเหลือเฉพาะที่สำคัญ เช่น ผู้บริหาร ผู้ช่วยเหลือทางวิชาการ และผู้สนับสนุนทุนการวิจัย หน่วยงาน ควรระมัดระวังการใส่ชื่อคนช่วยจำนวนมากโดยไม่จำเป็นหรือไม่สมควร เพราะอาจทำให้บทความด้อยความภูมิฐาน หรือผู้อ่านอาจอนุมานว่างานส่วนใหญ่มีคนช่วยทั้งหมด
2.7.7 เอกสารอ้างอิง (References)
ดูที่หัวข้อการเขียนเอกสารอ้างอิง
3. การเตรียมต้นฉบับบทความวิชาการอื่นๆ
ข้อที่ 3.1-3.6 และ 3.10 ให้ดูที่หัวข้อที่ 2 “การเตรียมต้นฉบับบทความนิพนธ์ต้นฉบับ”
3.1 ชื่อเรื่อง (Title/题目)
3.2 ชื่อผู้นิพนธ์ (Author/作者)
3.3 ชื่อสังกัดหน่วยงานหรือสถาบัน (Affiliation/工作单位)
3.4 บทคัดย่อ (Abstract/摘要)
3.5 คำสำคัญ (Keywords/关键词)
3.6 ผู้รับผิดชอบบทความ (Corresponding author/通讯作者)
3.7 บทนำ (Introduction/前言) เป็นการเขียนความสำคัญของบทความ ควรเขียนสาระ หรือข้อมูลสำคัญที่เป็นประเด็นหลักของเรื่องที่นำเสนอ มีความกระชับ ตรงประเด็นและแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของบทความนี้
3.8 สาระเนื้อหา ในประเด็นต่างๆ ตามชื่อเรื่อง โดยประเด็นการนำเสนอต้องกระชับ ตรงประเด็นและไม่ซ้ำซ้อน
3.9 วิจารณ์ (Discussion/讨论) เป็นการแสดงความคิดเห็นประเด็นสำคัญๆ ของผู้นิพนธ์ โดยอาจเป็นการอ้างอิงจากวรรณกรรมต่างๆ มาเพิ่มเติม
3.10 สรุป (Conclusions/结论) หากมี เป็นการสรุปสาระสำคัญสั้นๆ และการนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป
3.11 กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgments/致谢) หากมี
3.12 เอกสารอ้างอิง (References) ให้ดูที่หัวข้อ “การเขียนเอกสารอ้างอิง”
4. รูปแบบสำหรับการเขียนในเนื้อหาบทความลงในวารสาร
4.1 การเขียนถึงชื่อคนหรือบางส่วนของเนื้อหาในเนื้อหาบทความ
1) กรณีอ้างอิงถึงชื่อบุคคลที่มาจากชื่อผู้นิพนธ์ในเอกสารอ้างอิง
ให้กำกับเลขอ้างอิงด้วยหมายเลขยก (superscript) หลังชื่อผู้นิพนธ์เจ้าของข้อความที่อ้างถึง โดยมีแนวทางการเขียน ดังนี้
กรณีอ้างอิงบทความที่มีผู้นิพนธ์ 1 คน
ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ: ให้พิมพ์ชื่อ นามสกุลย่อตามเอกสารอ้างอิง เช่น Sririmongkhol S[1] รายงานว่า...... หรือ Zhang MY[1] รายงานว่า....…
กรณีอ้างอิงบทความที่มีผู้นิพนธ์ 2 คน
ให้ใส่ชื่อผู้นิพนธ์ท่านแรก คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,) เว้นวรรค และชื่อผู้นิพนธ์ลำดับถัดไป แล้วตามด้วยหมาย
เลขยกอ้างอิง (Superscript) ดังนี้ Zhang MY, Zhang J[1] รายงานว่า..........
กรณีอ้างอิงบทความที่มีผู้นิพนธ์มากกว่า 2 คนขึ้นไป
ให้ใส่ชื่อผู้นิพนธ์ท่านแรก เพียงชื่อเดียว โดยไม่มีเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่น และเว้น 1 วรรค ให้ใส่คำว่า “และคณะ” หรือ “et al.” หรือ “等” ตามภาษาของบทความ และตามด้วยหมายเลขยก (superscript) เช่น Zhang MY และคณะ[1] ได้ทำการวิจัย.... หรือ Zhang MY, et al.[1] study ..............
2) กรณีอ้างอิงถึงชื่อบุคคลแต่ไม่ใช่ชื่อที่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้นิพนธ์ของเอกสารอ้างอิง
ให้กำกับเลขอ้างอิง เป็นหมายเลขยก (superscript) ไว้ท้ายประโยค หรือหลังเครื่องหมายสัญลักษณ์ต่างๆ ของประโยคที่อ้างอิงถึง เช่น เครื่องหมายจุลภาค (,) เครื่องหมายทวิภาค (:) เครื่องหมายอัฒภาค (;) เครื่องหมายมหัพภาค (.) ตัวอย่างเช่น การค้นพบของ Johannes Kepler พบว่า......................[1]
4.2 การเขียนคำเฉพาะภาษาจีน
ให้อ้างอิงการเขียนทับศัพท์ภาษาจีนตามหลักเกณฑ์การเทียบเสียงในพจนานุกรมศัพท์การแพทย์แผนจีน เล่ม 1-3 หรือเล่มล่าสุด (ลิ้งพจนานุกรม: https://tcm.dtam.moph.go.th/images/2021/Book2021/DICOFTCMV35.pdf) หากไม่มีคำศัพท์อ้างอิงในพจนานุกรม ให้อ้างอิงจากหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาจีน
และพินอิน ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (ลิงก์หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาจีนและภาษาฮินดี: http://legacy.orst.go.th/wp-content/uploads/2015/03/2475_3398.pdf) และคำเฉพาะในภาษาอังกฤษให้ขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ
1) ชื่อหนังสือตำราจีนโบราณ
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาไทย ให้เขียนชื่อหนังสือทับศัพท์ภาษาจีน เว้น 1 วรรค แล้วใส่คำภาษาจีนไว้ในเครื่องหมายชื่อหนังสือ (《》) เช่น คัมภีร์หวงตี้เน่ยจิง《黄帝内经》
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาอังกฤษ ให้ใช้พินอินของคำเฉพาะนั้น เว้น 1 วรรค แล้วใส่คำภาษาจีนไว้ในเครื่องหมายชื่อหนังสือ (《》) เช่น Huangdi Neijing《黄帝内经》
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน ไม่ต้องมีภาษาอื่นต่อท้าย
2) ชื่อจุดฝังเข็ม และเส้นลมปราณ
- การเขียนจุดฝังเข็มให้อ้างอิงการเขียนชื่อจุดและรหัสจุดจาก รายการหัตถการการแพทย์แผนจีนของ ICD-10-TM
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้เขียนชื่อจุดด้วยพินอิน เว้น 1 วรรค วงเล็บภาษาจีนคั่นด้วย เครื่องหมายจุลภาค (,) และรหัสจุดสากล ตัวอย่างเช่น Yuzhen (玉枕, BL9) หากไม่มีรหัสให้วงเล็บภาษาจีนอย่างเดียว เช่น ตำแหน่ง Kun (坤), Qian (乾)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนชื่อจุดเป็นภาษาจีน เว้น 1 วรรค แล้วใส่รหัสจุดสากลไว้ในวงเล็บ
ต่อท้าย เช่น 玉枕 (BL9)
- การเขียนเส้นลมปราณ หากภาษาหลักเป็นภาษาไทย ให้แปลเส้นลมปราณเป็นภาษาไทย หรือใช้คำทับศัพท์กรณี เป็นชื่อเฉพาะ ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น เส้นลมปราณเท้าไท่หยางกระเพาะปัสสาวะ (足太阳膀胱经) เส้นลมปราณตู (督脉)
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาอังกฤษ ให้แปลเส้นลมปราณเป็นภาษาอังกฤษ หรือใช้คำทับศัพท์กรณีเป็นชื่อเฉพาะ ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น Bladder Meridian of foot-taiyang (足太阳膀胱经), Du Meridian (督脉)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน ไม่ต้องมีภาษาอื่นต่อท้าย
3) ชื่อยาสมุนไพร ยาจีนสำเร็จรูป และตำรับยา
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาไทย ให้เขียนทับศัพท์ภาษาจีน เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บชื่อยาภาษาจีน เช่น หมาหวง (麻黄) เซียวเหยาส่าน (逍遥散)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาอังกฤษ ให้เขียนพินอิน เว้น 1 วรรค แยกแต่ละพยางค์ โดยอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น Xiao Yao San (逍遥散)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน ไม่ต้องมีภาษาอื่นต่อท้าย เช่น 逍遥散
4) ชื่อเทคนิคหรือหัตถการต่างๆ
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาไทย ให้เขียนทับศัพท์ภาษาจีน เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บชื่อภาษาจีน เช่น กุ่นฝ่า (滚法) หรือ การฝังเข็มแบบผิงเหิงเจิน (平衡针)
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาอังกฤษ ให้เขียนพินอิน เว้น 1 วรรค แยกแต่ละพยางค์ โดยอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น Mang Zhen (芒针)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน ไม่ต้องมีภาษาอื่นต่อท้าย เช่น 芒针
5) ชื่อกลุ่มอาการทางการแพทย์แผนจีน
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาไทย ให้เขียนทับศัพท์ภาษาจีน เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น กลุ่มอาการชี่และเลือดพร่อง (气血两虚型)
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาอังกฤษ ให้แปลชื่อกลุ่มอาการเป็นภาษาอังกฤษ หรือใช้คําทับศัพท์กรณีเป็นชื่อเฉพาะ ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น syndrome of Qi and blood deficiency (气血两虚型)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน ไม่ต้องมีภาษาอื่นต่อท้าย เช่น 气血两虚型
6) ชื่อโรคทางการแพทย์แผนจีน
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาไทย ให้เขียนทับศัพท์ภาษาจีน เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น ปี้เจิ้ง (痹证)
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาอังกฤษ ให้เขียนพินอิน เว้น 1 วรรค แยกแต่ละพยางค์ โดยอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เว้น 1 วรรค ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน ตามด้วยวงเล็บภาษาจีน เช่น Bi Zheng (痹证)
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน ไม่ต้องมีภาษาอื่นต่อท้าย เช่น 痹证
7) ศัพท์เทคนิคทางการแพทย์แผนปัจจุบัน (ยาแผนปัจจุบัน ชื่อกายวิภาค และอื่นๆ)
หากภาษาหลักเป็นบทความภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ศัพท์เทคนิคให้ใช้เป็นภาษาอังกฤษ พิมพ์เล็กทั้งหมด
หากภาษาหลักของบทความเป็นภาษาจีน ให้เขียนด้วยภาษาจีน และวงเล็บภาษาอังกฤษแนบท้าย เช่น 华法林 (warfarin), 木犀草素 (luteolin)
5. ตารางและภาพ
ตารางและภาพที่จัดทําและนําเสนอได้อย่างเหมาะสม จะกระตุ้นความสนใจผู้อ่านบทความและทําให้เข้าใจเนื้อหา บทความได้รวดเร็ว ส่วนมากผู้อ่านจะอ่านชื่อเรื่อง บทคัดย่อ พิจารณาตารางและภาพ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะอ่านบทความต่อไปหรือไม่ ควรคัดเลือกเฉพาะที่จำเป็น และต้องมีคำอธิบายสั้นๆ แต่สื่อความหมายได้สาระครบถ้วน โดยต้องเตรียมไฟล์ภาพและตารางทั้งในเนื้อหาและแยกจากเนื้อหา โดยจะต้องไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ผลงานของผู้อื่น ทั้งนี้ จะต้องมีข้อความอ้างถึงตารางหรือภาพอยู่ในเนื้อหา เช่น ดังภาพที่ 1 หรือ ตารางที่ 1
5.1 ตาราง เน้นการจัดระเบียบของคำพูด ตัวเลข และเครื่องหมายต่างๆ บรรจุในคอลัมน์เพื่อแสดงข้อความ และความสัมพันธ์ของข้อมูล เมื่ออ่านแล้วควรเข้าใจได้สมบูรณ์ไม่ต้องหาความหมายเพิ่มเติมในบทความ โดยมีแนวทางการจัดทำ ดังนี้
1) ควรเตรียมแยกตารางออกจากเนื้อความ ตารางละ 1 หน้ากระดาษ ไม่ควรเตรียมตารางเป็นภาพถ่ายตาราง และควรเว้นที่ว่างไว้ในเนื้อเรื่องพอเป็นที่เข้าใจ พร้อมกับเขียนแจ้งไว้ในกรอบว่า ใช้ตารางที่
2) ใช้คำว่า “ตารางที่ 1” หรือ “Table 1” หรือ “表 1” (ตามภาษาหลักของวารสาร) และชื่อตารางอยู่ด้านบน ชิดขอบซ้าย ชื่อตารางควรสั้น ได้ใจความ และในเนื้อหาที่กล่าวถึงควรระบุไว้ให้ชัดเจน
3) หัวคอลัมน์ เป็นตัวแทนอธิบายข้อมูลในคอลัมน์ เรียงลําดับความสําคัญ (เวลาที่ศึกษาการดําเนินโรค) จากซ้ายไปขวา เรียงลําดับของแถวจากบนลงล่าง
4) แถว เป็นข้อมูลที่สัมพันธ์กับคอลัมน์ หัวแถว (row heading)
5) เชิงอรรถ จะเป็นคําอธิบายรายละเอียดที่บรรจุในตารางได้ไม่หมด ไม่ควรใช้เลขกํากับ เพราะอาจสับสนกับเลขกํากับของเอกสารอ้างอิง ให้ใช้เครื่องหมายตามลําดับนี้ * † ‡ § ¶ # **
6) บทความหนึ่งเรื่อง ควรมีตารางไม่เกิน 3-5 ตาราง หรือเนื้อหา 1,000 คําต่อ 1 ตาราง ถ้าผู้นิพนธ์มีข้อมูลมากให้เลือกเฉพาะข้อมูลที่สําคัญนําเสนอเป็นตารางในบทความ
7) ต้องขออนุญาต และแสดงความขอบคุณ กรณีนําข้อมูลในตารางมาจากบทความของผู้อื่น หรือใส่เอกสารอ้างอิงหากนำมาจากเอกสารทางวิชาการของผู้อื่น
5.2 ภาพ คือ รูปภาพ ภาพวาด กราฟ แผนภาพ (diagram) หรือแผนภูมิ (chart) ภาพลายเส้น ภาพถ่าย ภาพเอกซเรย์ ควรจะสื่อความหมายได้ชัดเจน เน้นจุดสำคัญ โดยมีแนวทางการจัดทำ ดังนี้
1) ควรแยกพิมพ์ภาพในหน้าต่างหาก และควรเว้นที่ว่างไว้ในเนื้อเรื่องพอเป็นที่เข้าใจ พร้อมกับเขียนแจ้งไว้ในกรอบว่า ใช้ภาพที่
2) ให้ใช้คำว่า “ภาพที่ 1” หรือ “Figure 1” หรือ “图 1” (ตามภาษาหลักของวารสาร) และชื่อภาพอยู่ด้านล่าง
กึ่งกลางของภาพ และในเนื้อหาที่กล่าวถึงควรระบุไว้ให้ชัดเจน
3) ภาพต้องคมชัด และแนบไฟล์ภาพแยกต่างหากจากไฟล์บทความ เป็นไฟล์ .jpg หรือ .png แต่ละภาพมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi (ขนาดไฟล์ไม่น้อยกว่า 600 kb แต่ไม่เกิน 10 MB) พอที่จะจัดทําต้นฉบับได้ชัดเจน พร้อมตั้งชื่อภาพ เพื่อป้องกันการสับสน
การเขียนเอกสารอ้างอิง และคำแนะนำผู้นิพนธ์อื่นๆ สามารถดาวน์โหลดไฟล์ ที่นี่
ติดต่อสอบถาม
สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/TJTCM/about/contact หรืออีเมลของวารสาร: hctcm.journal@gmail.com