ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 3 ในหน่วยระบบความผิดปกติของเลือดและส่วนประกอบของเลือด
Effect of Cooperative Learning with Jigsaw II Technique on Blood Diseases Learning Achievement and Satisfaction of Third Year Nursing Students
คำสำคัญ:
การเรียนรู้แบบร่วมมือ, เทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2, นักศึกษาพยาบาลบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในหน่วยระบบความผิดปกติของเลือด และส่วนประกอบของเลือดก่อนและหลังเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจักกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 ในหน่วยระบบความผิดปกติของเลือด และส่วนประกอบของเลือด ซึ่งรูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนหลัง (One group pre – post test design) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2559 ทั้งหมดทุกคน เป็นจำนวน 71 คน โดยผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง และสุ่มนักศึกษา 12 คน เพื่อประเมินสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 จํานวน 1 แผน เวลา 6 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จํานวน 14 ข้อ แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) จำนวน 16 ข้อ และแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง เพื่อสอบถามสภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และการทดสอบค่าที (Paired sample t-test)
ผลการศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 (Mean = 11.14 SD = 1.90) สูงกว่าก่อนเรียน (Mean = 8.27 SD = 1.47) และเมื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในหน่วยระบบความผิดปกติของเลือด และส่วนประกอบของเลือด เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.000)
ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 ช่วยส่งเสริมให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาพยาบาลสูงขึ้น และความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบบจิ๊กซอร์ 2 อยู่ในระดับดีมาก
References
2. Phothidara, Y. Nursing Education Management: For Student Generation Y. Journal of Nursing Science & Health. 2011; 34(2); 61-69. (in Thai)
3. Lekjaroen, S., Ruamsuk, S. A Comparson of The Achievement of Prathomsuksa One Student on Word Spelling Ablities Taught by Using Cooperative Learning TGT Technique and Conventional Method. Silpakorn Education Research Journal. 2013; 5(1): 132-143. (in Thai)
4. Sinpeng, D., Developing learners into a learning society: A centralized, student-centered learning management system (2nd). Bangkok: Chulalongkorn University; 2553. (in Thai)
5. Khanommani, T., Teaching Knowledge to Effective Learning Process. (17nd). Bangkok: Chulalongkorn University; 2556. (in Thai)
6. Jirubpapa, M., Effective of Nursing Students’ Learning by Using Cooperative Learning Team game Tournament Technique. In Teerasin Wongvipart. The 1St National Conference; July 29, 2016, Ubonratchathani, Thailand. 14-24. (In Thai)
7. Vithayachockitikhun, N., Kaewkulpat, S., Development of Jigsaw Cooperative Learning Technique to Enhance Learning Outcomes of Nursing Students Undertaking Bachelorof Nursing Science Pro-gram Boromarajionani College of Nursing, Sawanpracharak Nakhonsawan. Nursing Journal of the Ministry of Public Health. 2017; 27(special): 158-171. (in Thai)
8. Chompoopong, W., Effects of Cooparative Learning by Using Jigsaw Technic on Thailand Geography Lesson of Matthayomsuksa 1 Students, Tessaban 4 School (Chowwanapreechautit). Veridian E-Journal Silpakorn Universitl, Socaial Sciences and arts. 2013; 6(2): 597-611. (in Thai)
9. Jandaeng, S., Effects of Leaning by CO3Operative’s Instructional Package on Learning Achievement and Teamwork’s Ability, Science Subject of Pathomsuksa 6 Students. Veridian E-Journal Silpakorn Universitl, Socaial Sciences and arts. 2013; 6(2): 567-581. (in Thai)