วารสารการพยาบาลและการศึกษา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE <p>วารสารวิชาการของสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขเป็นวารสารในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์<br />และเทคโนโลยี ที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย<br />(Thai Journal Citation Index Center: TCI Center) มีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <p class="body1">1. เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ด้านการพยาบาล การผดุงครรภ์ การศึกษาพยาบาล และสุขภาพ</p> <p class="body1">2.เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการของพยาบาล อาจารย์พยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ</p> <p class="body1">3. เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและองค์กรทางสุขภาพทั่ประเทศ<br />กำหนดการออกวารสาร</p> <p class="body1"><strong>วารสารการพยาบาลและการศึกษา เป็นวารสารราย 3 เดือน กำหนดออกปีละ 4 ฉบับ ดังนี้</strong></p> <p class="body1"> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p> th-TH kittiporn@bcnsk.ac.th (ผศ.ดร.กิตติพร เนาว์สุวรรณ) nursing2551@gmail.com (ผศ.ดร.บุญประจักษ์ จันทร์วิน) Tue, 14 Oct 2025 13:28:54 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลการใช้แบบบันทึกการสะท้อนคิดต่อพฤติกรรมการสะท้อนคิดการฝึกในรายวิชาปฏิบัติบริหารการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 4 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/275655 <p>การศึกษาแบบผสมวิธีเชิงอธิบาย (Explanatory Sequential Design) ประกอบด้วยวิจัยเชิงปริมาณแบบกึ่งทดลอง กลุ่มเดียววัดเฉพาะหลังการทดลอง และวิจัยเชิงคุณภาพ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้แบบบันทึกพฤติกรรมสะท้อนคิดการฝึกในรายวิชาปฏิบัติบริหารการพยาบาล กลุ่มตัวอย่างในการเก็บวิจัยเชิงปริมาณ คือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จำนวน 43 คน กลุ่มตัวอย่างในเก็บวิจัยเชิงคุณภาพ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 จำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกการสะท้อนคิด แบบพฤติกรรมสะท้อนคิด และแบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการศึกษา พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังการใช้แบบบันทึกการสะท้อนคิด นักศึกษามีพฤติกรรมการสะท้อนคิดมากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 </span><span style="font-size: 0.875rem;">อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. วิธีการจัดการตนเองที่ดีขณะฝึกปฏิบัติในรายวิชาปฏิบัติบริหารการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาล พบว่า การใช้แบบบันทึกการสะท้อนคิด ช่วยให้นักศึกษาเกิดการเตรียมความพร้อม การมีภาวะความเป็นผู้นำ และการเป็นพยาบาลมืออาชีพ</span></p> <p>ดังนั้น จากระดับพฤติกรรมการสะท้อนคิดอยู่เหนือเกณฑ์ที่กำหนด คณะพยาบาลศาสตร์ควรพิจารณาใช้การสะท้อนคิดในการเรียนการสอนทางพยาบาล เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อทักษะวิชาชีพ <br />และส่งเสริมการเป็นผู้นำและการคิดเชิงวิพากษ์</p> จิตรลดา พิริยศาสน์, Hasanah Pairoh, Muhammad Kamil, Che Hasan ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/275655 Mon, 20 Oct 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรม “ไลน์ โอเอ: Teen Mom Care” เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/279309 <p>การวิจัยและพัฒนาในระยะนำร่อง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์การส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเอง พัฒนาและปรับปรุงต้นแบบนวัตกรรม และประเมินประสิทธิผลเบื้องต้นของนวัตกรรม ไลน์ โอเอ: Teen Mom Care ในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจาง โดยดำเนินการวิจัย 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์จากการทบทวนวรรณกรรม เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ระยะที่ 2 พัฒนาและปรับปรุงต้นแบบนวัตกรรม ไลน์ โอเอ: Teen Mom Care และระยะที่ 3 ประเมินประสิทธิผลเบื้องต้นของนวัตกรรม ไลน์ โอเอ: Teen Mom Care กับหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจาง จำนวน 3 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อลดภาวะโลหิตจางของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นโดยประเมินก่อนและหลังการใช้นวัตกรรมโดยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 1.00 และได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .77 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สถานการณ์การส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจางยังต้องมี</span><span style="font-size: 0.875rem;">การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบูรณาการเทคโนโลยี การสื่อสารที่เหมาะสมกับวัย การให้ความรู้ การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน และการใช้สื่อการเรียนรู้ที่เข้าใจง่ายเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ต้นแบบนวัตกรรมไลน์ โอเอ: Teen Mom Care ประกอบด้วย 1) สื่อแอนิเมชันความรู้ 2) เกมตีตุ่นเลือกอาหารที่มีธาตุเหล็ก 3) การ์ดเป้าหมาย 4) ระบบแจ้งเตือนรับประทานยา 5) ระบบบันทึกพฤติกรรมและเป้าหมาย </span><span style="font-size: 0.875rem;">6) ช่องทางการสื่อสารกับพยาบาล</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ประสิทธิผลเบื้องต้นของนวัตกรรม ไลน์ โอเอ: Teen Mom Care พบว่า ช่วยส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองกับหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจางให้ดีขึ้น</span></p> <p>ดังนั้น นวัตกรรมไลน์ โอเอ: Teen Mom Care สามารถใช้เป็นสื่อเสริมการให้คำปรึกษา การให้ความรู้ และการติดตามพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจางอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ เพื่อยืนยันประสิทธิผลของนวัตกรรมในการส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นที่มีภาวะโลหิตจางต่อไป</p> กนกรัตน์ จิตรา, วรางคณา ชัชเวช, โสเพ็ญ ชูนวล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/279309 Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700 ผลของโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/277993 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังนี้ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนต่อพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ดูแลหลักขณะอยู่บ้านของเด็กวัยก่อนเรียนที่เข้ารับบริการ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กวัยก่อนเรียน เขตเทศบาลเมือง จังหวัดราชบุรี จำนวน 52 คน คัดเลือกด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 27 คน และกลุ่มควบคุม 25 คน ด้วยวิธีคัดเลือกคุณสมบัติตามเกณฑ์อายุของเด็ก คือ ผู้ดูแลเด็กอายุ 2–3 ปี 11 เดือน เก็บข้อมูลเดือนธันวาคม พ.ศ. 2566 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .97 ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .82 และโปรแกรมส่งเสริมสมรรถนะแห่งตน ประกอบด้วย แผนการดำเนินโปรแกรมฯ ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ .96 หนังสือนิทาน วิดีโอต้นแบบและคู่มือการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Chi-square, Fisher Exact, Independent T-test และ Paired T-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนพฤติกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้ ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการด้านการเข้าใจภาษา (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .055) และด้านการใช้ภาษา (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .129) ระหว่างทั้งสองกลุ่ม</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียนกลุ่มทดลอง มีคะแนนพฤติกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาหลังการทดลองสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p>ผลการวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าพยาบาลควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้กับผู้ดูแลเด็กวัยก่อนเรียน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมศักยภาพในการส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาแก่เด็กอย่างมีประสิทธิภาพ</p> พชกมล ชูชาติ, ณัชนันท์ ชีวานนท์, ศิริยุพา สนั่นเรืองศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/277993 Fri, 31 Oct 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตเชิงบวกของผู้สูงอายุไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/279492 <p>การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต เชิงบวกของผู้สูงอายุไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 60 - 79 ปี ภูมิลำเนา 4 ภูมิภาค จำนวน 400 คน ด้วยการสุ่มเลือกตัวอย่างแบบหลายชั้น เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตเชิงบวก มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ .88 และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>โมเดลการวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตเชิงบวกผู้สูงอายุไทยสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยค่าc<sup>2 </sup> = 248.39, <em>p-value</em> = 0.08, <em>df</em> = 219 ค่าสถิติไคสแควร์สัมพัทธ์ = 1.13, <em>GFI</em> = 0.95, <em>AGFI</em> = 0.93, <br />CFI = 1.00, <em>AGFI </em>= 0.93, <em>RMSEA</em> = 0.02 และองค์ประกอบความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตเชิงบวกผู้สูงอายุไทย ทั้ง 6 องค์ประกอบ มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานเป็นบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ความสามารถในการแก้ปัญหา (0.97) พฤติกรรมเอื้อต่อสังคม (0.93) ความสัมพันธ์และสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (0.90) ความพึงพอใจในตนเองและความสมบูรณ์ของชีวิต (0.90) การควบคุมตนเอง (0.87) และความเป็น ตัวของตัวเอง (0.83)</p> <p>ผลการวิจัยสนับสนุนองค์ประกอบความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตเชิงบวกในผู้สูงอายุไทย โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และองค์ประกอบทั้ง 6 ด้าน มีค่าน้ำหนักองค์ประกอบเป็นบวกอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงความเหมาะสมในการนำไปใช้ประเมินและส่งเสริมสุขภาพจิตผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ขวัญเรือน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, สกล วรเจริญศรี, มณฑิรา จารุเพ็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/279492 Sun, 02 Nov 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางในบริบทไทยมุสลิม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/282421 <p>การวิจัยและพัฒนานี้เพื่อศึกษาสภาพการณ์ ปัญหา ความต้องการ พัฒนารูปแบบ และประสิทธิผลรูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางในบริบทไทยมุสลิม อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพการณ์ ปัญหา และความต้องการในการดูแลตนเองใช้วิธีวิเคราะห์จากเอกสารและวิธีเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลคือหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง 16 คน ขั้นตอนที่ 2 ศึกษารูปแบบโดยรูปแบบผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบ ใช้วิธีวิจัยแบบกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง 56 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง แบบบันทึกและแบบประเมินได้ค่าความสอดคล้องของข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ ระหว่าง .67 – 1.00 และได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Wilcoxon Signed Rank test ผลวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ปี พ.ศ.2564-2566 จำนวนหญิงตั้งครรภ์รายใหม่และหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางใกล้คลอดมีแนวโน้มลดลง ปัญหาในการดูแลตนเองส่วนใหญ่คือไม่มาตามนัด รับประทานยาไม่ต่อเนื่อง ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำ และวิตกกังวล ส่วนความต้องการให้พยาบาลให้บริการนอกเวลา ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยา อาหารหรือผักพื้นบ้านที่มีธาตุเหล็ก การให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. รูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางในบริบทไทยมุสลิม คือ จชต Model ได้แก่ 1) จ: เจอ คือ คัดแยกหญิงตั้งครรภ์ จ: จ่าย คือ จ่ายความรู้และยา 2) ช: ชวน คือ เชิญชวนร่วมกิจกรรม ช: ชม คือชมตัวอย่างอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ช: ชิม หมายถึง ชิมรสชาติอาหาร ช: ใช้ คือ การนำความรู้ไปใช้ ต: เตือน ต: ติดตาม ต: ตรวจสอบ คือ ตรวจสอบผลลัพธ์ และ ต: ต่อเนื่อง คือ ให้ความรู้ต่อเนื่อง 3) จบ: จบกระบวนการ </span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. หลังใช้รูปแบบหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจางมีพฤติกรรมการดูแลตนเองเพิ่มขึ้นและระดับความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และไม่มีภาวะแทรกซ้อน</span></p> <p>ควรนำรูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปจัดกิจกรรมเชิงรุกทั้งแผนกฝากครรภ์ในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลโดยเน้นการดำเนินงานเชิงรุกให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่</p> สุภาวดี ใจห้าว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/282421 Thu, 06 Nov 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบคุณลักษณะอัตลักษณ์จริยธรรมของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/280401 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณลักษณะอัตลักษณ์จริยธรรม และเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของคุณลักษณะอัตลักษณ์จริยธรรมของนักศึกษาพยาบาล จำนวน 536 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แบบประเมินคุณลักษณะอัตลักษณ์จริยธรรม ค่าดัชนีความตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับเท่ากับ .90 และวิเคราะห์หาค่าความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แอลฟาครอนบาคของแต่ละองค์ประกอบ รวมทั้งฉบับได้เท่ากับ .98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจด้วยวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบร่วม หมุนแกนองค์ประกอบแบบมุมแหลมด้วยอ๊อบลิมินตรง ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. คุณลักษณะอัตลักษณ์จริยธรรมของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุราษฎร์ธานี </span><span style="font-size: 0.875rem;">ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.53, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.43) เมื่อพิจารณารายองค์ประกอบพบว่า องค์ประกอบด้าน</span><span style="font-size: 0.875rem;">การเคารพนับถือ มีค่าคะแนนเฉลี่ยสูงที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.60, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.46) รองลงมาคือ องค์ประกอบด้านสัจจะ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.55, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.47) ส่วนองค์ประกอบด้านความพอเพียง มีค่าคะแนนเฉลี่ยต่ำที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.42, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.47)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. องค์ประกอบคุณลักษณะอัตลักษณ์จริยธรรมของนักศึกษาพยาบาลประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านความรับผิดชอบมีจำนวนตัวแปร 17 ตัวแปร ด้านการเคารพนับถือมีจำนวนตัวแปร 10 ตัวแปร ด้านความพอเพียงมีจำนวนตัวแปร 11 ตัวแปร และด้านความสามัคคีมีจำนวนตัวแปร 11 ตัวแปร โดย มีร้อยละ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ความแปรปรวนสะสมค่าสุดท้ายเท่ากับร้อยละ 64.514</span></p> <p>จากข้อค้นพบนี้ ผู้วิจัยสามารถนำข้อมูลจากการใช้แบบประเมินอัตลักษณ์จริยธรรม ไปเป็นแนวทางในการวางแผนการพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร และการปลูกฝังจริยธรรมทั้งในห้องเรียนและการฝึกปฏิบัติทางคลินิกอย่างต่อเนื่อง</p> วีรวรรณ เกิดทอง, รุ่งนภา จันทรา, วรรณดี เสือมาก, ศุภลักษณ์ ธนาโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/280401 Wed, 12 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความล้มเหลวของกระบวนการทางด้านความคิดกับการเกิดพฤติกรรมความไม่ปลอดภัยในการทำงาน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/278609 <p>พฤติกรรมความไม่ปลอดภัยเป็นสาเหตุที่สำคัญโดยตรงที่นำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน การแสดงออกถึงพฤติกรรมความไม่ปลอดภัยในการทำงานเป็นผลมาจากหลากหลายปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางด้านความคิดและการรับรู้ของมนุษย์ การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมความไม่ปลอดภัยในการทำงานในประเทศไทยที่ผ่านมายังไม่มีการนำเอาทฤษฎีเกี่ยวกับความล้มเหลวในกระบวนการทางด้านความคิด มาใช้ในการอธิบายการเกิดพฤติกรรมความไม่ปลอดภัยในการทำงานมากนัก บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่ออธิบายกลไกการเกิดพฤติกรรมความไม่ปลอดภัยในการทำงานที่เป็นผลมาจากการเกิดความล้มเหลวในกระบวนการทางด้านความคิดของมนุษย์ ในบทความนี้ยังอธิบายถึงกลไกทางด้านความคิดของมนุษย์ ประเภทความล้มเหลวในกระบวนการทางด้านความคิดของมนุษย์ ทั้งหมด 7 ประเภท และยกตัวอย่างการศึกษาในต่างประเทศที่อธิบายถึงความเชื่อมโยงของกลไกการเกิดความล้มเหลวในกระบวนการทางด้านความคิด เพื่อนำไปใช้ในการอธิบายการเกิดพฤติกรรมความไม่ปลอดภัยในการทำงานและเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาทางด้านความปลอดภัยในการทำงานของประเทศไทยต่อไป</p> ทศพล บุตรมี, อาทิตยา จิตจำนงค์, กนกอร เจริญผล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/278609 Tue, 14 Oct 2025 00:00:00 +0700