วารสารการพยาบาลและการศึกษา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE <p><span lang="TH"><img src="https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/26/XhOJkV.jpg" /></span></p> <p>วารสารวิชาการของสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขเป็นวารสารในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์<br />และเทคโนโลยี ที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย<br />(Thai Journal Citation Index Center: TCI Center) มีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <p class="body1">1. เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ด้านการพยาบาล การผดุงครรภ์ การศึกษาพยาบาล และสุขภาพ</p> <p class="body1">2.เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการของพยาบาล อาจารย์พยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ</p> <p class="body1">3. เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและองค์กรทางสุขภาพทั่ประเทศ<br />กำหนดการออกวารสาร</p> <p class="body1"><strong>วารสารการพยาบาลและการศึกษา เป็นวารสารราย 3 เดือน กำหนดออกปีละ 4 ฉบับ ดังนี้</strong></p> <p class="body1"> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p> Education Development Group, Praboromarajchanok Institute of Heath Workforce Development th-TH วารสารการพยาบาลและการศึกษา 1906-1773 การบูรณาการทักษะการคิดเชิงบริหารกับการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ด้วยโปรแกรมการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/267449 <p>พัฒนาการที่สมวัยในช่วงปฐมวัย เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาศักยภาพที่อาจส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดีของเด็ก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เด็กปฐมวัยไทยมีปัญหาด้านพัฒนาการโดยเฉพาะทักษะการคิดเชิงบริหารล่าช้า ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถส่งเสริมและป้องกันได้ โดยพยาบาลสามารถนำทฤษฎีการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่มาประยุกต์ใช้กับกระบวนการเรียนรู้ของครูและผู้ปกครองได้</p> <p>บทความนี้เน้นการนำเสนอบทบาทของพยาบาลที่สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้สำหรับครูและผู้ปกครอง โดยบูรณาการทักษะการคิดเชิงบริหารกับการเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ผ่านโปรแกรมการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่ เพื่อเป็นแนวทางให้พยาบาลนำโปรแกรมนี้ไปพัฒนากระบวนการเรียนรู้ นอกจากนี้ ครูและผู้ปกครอง ยังสามารถใช้โปรแกรมนี้คัดกรองพัฒนาการเด็กปฐมวัยขั้นต้น รวมถึงจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ศรินทร์ทิพย์ ชวพันธุ์ รัตนาภรณ์ แบ่งทิศ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-19 2024-06-19 17 2 1 13 สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ต่อปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/266089 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอใน 3 ประเด็น คือ 1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในวัยรุ่น 2) สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และ 3) แนวทาง การป้องกันและการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์วัยรุ่น โดยเนื้อหาที่ได้เกิดจากการวิเคราะห์และสังเคราะห์วรรณกรรมเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น เนื่องจากวัยรุ่นเป็นกลุ่มสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นวัยที่มีร่างกายที่แข็งแรง เมื่อได้รับเชื้ออาจทำให้ไม่แสดงอาการ จึงส่งต่อไวรัสไปยังผู้อื่นได้ โดยไม่รู้ตัว รวมทั้งมีผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้จากบทความวิชาการนี้สามารถสรุปเป็นแนวทางในการนำไปใช้ประโยชน์ในการคิดพัฒนารูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นที่เท่าทันกับวิถีชีวิตยุคใหม่ หรือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ยุคที่มีเทคโนโลยีก้าวไกล รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารแบบไร้ขีดจำกัด ผ่านการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา มีการสร้างแรงจูงใจ ทำให้วัยรุ่นมีความรู้ มีเจตคติที่ถูกต้อง เกิดทัศนคติที่ดี หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นที่เลือกที่จะมีเพศสัมพันธ์และไม่ป้องกัน พัฒนาทักษะชีวิตที่จำเป็นที่นำไปใช้ในการดำรงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 สู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสม ยกระดับความสามารถในการการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ส่งผลให้มีการเติบโตอย่างปลอดภัย สู่วัยผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพ มีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม</p> ทัศณีย์ หนูนารถ เบญจวรรณ ละหุการ วลัยลักษณ์ สุวรรณภักดี Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-19 2024-06-19 17 2 14 24 การพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของตำรวจภูธร ในจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/267111 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และพัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของตำรวจภูธรในจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ ดำเนินการวิจัย 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์ด้านสุขภาพและการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ตำรวจภูธร 91 คน รวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และโปรแกรมประเมินโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในคนไทย หลังจากนั้นเลือกแบบเฉพาะเจาะจงเป็นผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพ 27 คน รวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพโดยสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึก สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม และบันทึกภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยสถิติเชิงพรรณนา ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของตำรวจภูธร ผู้มีส่วนร่วมเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากกลุ่มตัวอย่าง 51 คน ผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนร่วมดำเนินการ 28 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ตำรวจภูธรส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจหลายปัจจัย แต่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในระยะเวลา 10 ปี ในระดับต่ำ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพระดับพอใช้ และระดับไม่ดี มีพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับพอใช้ และข้อมูลเชิงคุณภาพบ่งชี้ว่าบางรายมีพฤติกรรมสุขภาพ ที่ดี ขณะที่บางรายไม่ได้ดูแลตัวเอง</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. รูปแบบการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจของตำรวจภูธร ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ 1) สร้างการตระหนักรู้ในสถานการณ์สุขภาพสู่การเปลี่ยนแปลง 2) ใช้ใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง และ 3) จัดการให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนโดยองค์กรและครอบครัว ระหว่างเข้าร่วมโครงการเป็นเวลา 6 เดือน พบว่า ตำรวจภูธรจำนวนมากกว่าครึ่ง มีความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดับดีถึงดีมาก ทุกรายเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อลด ปัจจัยเสี่ยงต่อการโรคได้ ร้อยละ 47.06 คะแนนความเสี่ยงลดลงและร้อยละ 31.37 ระดับความเสี่ยงลดลง</span></p> <p>การสร้างการตระหนักรู้ในสถานการณ์สุขภาพเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง โดยครอบครัวและองค์กรเป็นแรงผลักดันให้เกิดการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง</p> มาลี คำคง ปุญณพัฒน์ ชำนาญเพาะ จิตตินันท์ พงสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-19 2024-06-19 17 2 25 38 รูปแบบการจัดการการดูแลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้ป่วยที่มีความพิการ ในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลทหารผ่านศึก https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/267292 <p>การวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบ และศึกษาผลลัพธ์รูปแบบการจัดการการดูแลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้ป่วยที่มีความพิการในหอผู้ป่วย ดำเนินการ 2 ขั้นตอน โดยขั้นตอนที่ 1 การสร้างรูปแบบการจัดการการดูแลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม ผู้ให้ข้อมูลหลักสำหรับการสนทนากลุ่ม คือ ทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทย์ ผู้บริหารทางการพยาบาล พยาบาลวิชาชีพ รวม 9 คน และผู้ป่วย จำนวน 9 คน และขั้นตอนที่ 2 ศึกษาผลลัพธ์ของรูปแบบการจัดการการดูแลเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 12 คน และผู้ป่วยที่มีความพิการในหอผู้ป่วย จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แนวประเด็นการสนทนากลุ่ม 2) แบบประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของพยาบาลวิชาชีพได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และสถิติค่าไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. รูปแบบฯ ที่สร้างได้ ประกอบด้วย 1) การตรวจร่างกายและการประเมินสภาพผู้ป่วยพิการ 2) การระบุกลุ่มผู้ป่วยและการประเมินปัจจัยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อวางแผนในการดูแล 3) การปฏิบัติหรือให้การดูแลตามแผนที่วางไว้ 4) การติดตามประเมินผล และ 5) การส่งเสริมรูปแบบฯ ไปในเชิงนโยบาย</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. อัตราการพลัดตกหกล้มหลังการใช้รูปแบบฯ พบว่า หลังใช้รูปแบบฯ ต่ำกว่าก่อนใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และ หลังการใช้รูปแบบฯ พบว่าพยาบาลวิชาชีพมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 4.88, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.18)</span></p> <p>ดังนั้นควรนำรูปแบบฯ นี้ไปใช้ในโรงพยาบาลที่มีบริบทใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้ป่วย ที่มีความพิการ</p> วงศ์แข หมูสีโทน กาญจนา ศรีสวัสดิ์ สายสมร เฉลยกิตติ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-19 2024-06-19 17 2 39 53 ผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านสื่อดิจิทัลต่อความพร้อมในการดูแล และความเครียดในบทบาทของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะกลาง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/269085 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนผ่านสื่อดิจิทัลต่อความพร้อมในการดูแลและความเครียดในบทบาทของผู้ดูแลผู้ป่วยระยะกลาง จำนวน 52 ราย แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 26 ราย ได้รับโปรแกรมการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนโดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีการรับรู้สมรรถนะแห่งตนของแบนดูรา และกลุ่มควบคุม 26 รายที่ได้รับการดูแลตามปกติ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนด ซึ่งดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ 1) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยและผู้ดูแล แบบสอบถามความพร้อมในการดูแลและความเครียดในบทบาทของผู้ดูแล ค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาได้เท่ากับ 1.0 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .94 และ .97 ตามลำดับ 2) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย ได้แก่ โปรแกรมการส่งเสริมสมรรถนะแห่งตนและสื่อดิจิทัลดำเนินการ 3 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติ Chi-square สถิติ Dependent t-test และสถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความพร้อมในการดูแลหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และมีความเครียดในบทบาทของผู้ดูแลหลังการทดลองต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีความพร้อมในการดูแลสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001 และมีความเครียดในบทบาทของผู้ดูแลต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .001</span></p> <p>จากผลการวิจัยครั้งนี้ จะเป็นแนวปฏิบัติการส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแหงตนของผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยระยะกลาง เพื่อให้ผู้ดูแลเกิดความพร้อมในการดูแลและลดความเครียดในบทบาทของผู้ดูแลได้</p> จิรัฐยา จุลมนต์ อรรถวิทย์ จันทร์ศิริ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-20 2024-06-20 17 2 54 66 ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับการตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30 - 60 ปี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/269175 <p>การวิจัยแบบแบบภาคตัดขวาง เพื่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30 - 60 ปี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 396 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยใช้แบบสอบถาม ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามและวัตถุประสงค์ระหว่าง .67 - 1.00 ตรวจสอบความเชื่อมั่นได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .853 วิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติวิเคราะห์ Chi - square ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ได้แก่ การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้ประโยชน์และการรับรู้อุปสรรค อยู่ในระดับปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 144.58, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 11.8)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. การรับรู้ความรุนแรง และการรับรู้ประโยชน์ มีความสัมพันธ์ต่อการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">= .005 และ .008 ตามลำดับ)</span></p> <p>จากผลการศึกษานี้ พบว่าการส่งเสริมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ควรเน้นการประชาสัมพันธ์เพื่อทำให้เกิดการรับรู้ถึงประโยชน์และความรุนแรงของโรค เพื่อเป็นการตรวจพบโรคในระยะเบื้องต้นและลดอัตราการตาย จากโรคมะเร็งปากมดลูกได้</p> พิทยารัตน์ จิกยอง นภชา สิงห์วีรธรรม สินีนาฏ ชาวตระการ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-20 2024-06-20 17 2 67 77 ผลของโปรแกรมสนับสนุนของพยาบาลต่อปริมาณการสูญเสียเลือดและความพึงพอใจในการรับบริการของมารดากลุ่มเสี่ยงตกเลือดหลังคลอด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/267365 <p>การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมสนับสนุนของพยาบาลต่อปริมาณการสูญเสียเลือดและความพึงพอใจในการรับบริการของมารดากลุ่มเสี่ยงตกเลือดหลังคลอด กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาที่คลอดทางช่องคลอดมีปัจจัยเสี่ยงตกเลือดหลังคลอด มีจำนวน 60 ราย รับไว้ในแผนกหลังคลอด โรงพยาบาลหาดใหญ่ โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดเข้าการวิจัย เก็บข้อมูลระหว่างเดือน สิงหาคม - พฤศจิกายน 2566 โดยแบ่งเป็น กลุ่มควบคุม (30 ราย) และกลุ่มทดลอง (30 ราย) ดำเนินการในกลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติแล้วเสร็จจึงดำเนินการในกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมสนับสนุนของพยาบาลในการป้องกันตกเลือดหลังคลอด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ส่วนคือ 1) เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการทดลอง ประกอบด้วย 1.1) เอกสารให้ความรู้เพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด และ 1.2) สื่อโมเดลเรียนรู้การหดรัดตัวของมดลูก 2) เครื่องมือที่ใช้กำกับการทดลองคือ แบบบันทึกการคลึงมดลูกของมารดาหลังคลอด และ 3) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 3.1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 3.2) แบบประเมินความเสี่ยงตกเลือดหลังคลอด 3.3) แบบบันทึกปริมาณการสูญเสียเลือดทางช่องคลอด 2-8 ชั่วโมงแรก 3.4) แบบบันทึกปริมาณการสูญเสียเลือดทางช่องคลอดหลัง 8-24 ชั่วโมงแรก และ 3.5) แบบประเมินความพึงพอใจในการบริการ ซึ่งได้รับการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และผ่านการตรวจสอบความเที่ยงได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติไคสแควร์ และสถิติแมนวิทนี่ยูเทส ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>มารดากลุ่มเสี่ยงตกเลือดหลังคลอดกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมสนับสนุนของพยาบาลมีปริมาณการสูญเสียเลือดทางช่องคลอดระยะ 2 - 8 ชั่วโมง และระยะหลัง 8 - 24 ชั่วโมง น้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>Z</em> = -4.681, <em>p-value</em> &lt; .001) และ (<em>Z</em> = -2.818, <em>p-value</em> &lt; .001) ตามลำดับ และความพึงพอใจของมารดากลุ่มเสี่ยงตกเลือดหลังคลอดที่ได้รับโปรแกรมสนับสนุนของพยาบาลอยู่ในระดับมากที่สุด</p> <p>ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมสนับสนุนของพยาบาล สามารถช่วยป้องกันตกเลือดของมารดาหลังคลอดกลุ่มเสี่ยง จึงควรนำไปใช้ในการดูแลมารดาหลังคลอด</p> อำพันธ์ ศรีเรือง ศศิกานต์ กาละ ผกาวัลย์ หนูมาก นรานุช สัณฐิติการย์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-06-20 2024-06-20 17 2 78 91