วารสารการพยาบาลและการศึกษา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE <p><span lang="TH"><img src="https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/26/XhOJkV.jpg" /></span></p> <p>วารสารวิชาการของสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขเป็นวารสารในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์<br />และเทคโนโลยี ที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย<br />(Thai Journal Citation Index Center: TCI Center) มีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <p class="body1">1. เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ด้านการพยาบาล การผดุงครรภ์ การศึกษาพยาบาล และสุขภาพ</p> <p class="body1">2.เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการของพยาบาล อาจารย์พยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ</p> <p class="body1">3. เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและองค์กรทางสุขภาพทั่ประเทศ<br />กำหนดการออกวารสาร</p> <p class="body1"><strong>วารสารการพยาบาลและการศึกษา เป็นวารสารราย 3 เดือน กำหนดออกปีละ 4 ฉบับ ดังนี้</strong></p> <p class="body1"> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p> Education Development Group, Praboromarajchanok Institute of Heath Workforce Development th-TH วารสารการพยาบาลและการศึกษา 1906-1773 การส่งเสริมการสื่อสารเชิงรุกระหว่างพยาบาลและผู้ป่วยเพื่อลดผลกระทบต่อผู้ป่วย พยาบาล และองค์กร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/266219 <p>การสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติงานของพยาบาล การสื่อสารที่ไม่เหมาะสมจะก่อให้เกิดปัญหา ในการปฏิบัติงาน แต่การวางแผนการสื่อสารในเชิงรุกจะทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ เข้าใจง่าย และตรงประเด็น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พยาบาลวิชาชีพ และผู้บริหารทางการพยาบาล ให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องการสื่อสารกับผู้ป่วย ทั้งนี้เนื่องจากพยาบาลเป็นบุคลากรส่วนใหญ่ขององค์กรสุขภาพ และเป็นผู้ที่พบปะ ใกล้ชิดในการดูแลผู้ป่วย จึงมีโอกาสเกิดความขัดแย้งในการสื่อสารระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วยและญาติ ผลของการขัดแย้งนั้นนอกจากจะทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ป่วยแล้วยังมีผลต่อตัวพยาบาลและองค์กรอีกด้วย สาเหตุของการเกิดความขัดแย้งในการสื่อสารนั้น แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่คือ 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ป่วยและพยาบาล 2) สภาพสิ่งแวดล้อมภายในโรงพยาบาล และ 3) การบริหารจัดการภายในองค์กร การแก้ไขข้อขัดแย้งในการสื่อสารนั้น ทำได้โดยการพัฒนาศักยภาพการสื่อสารของพยาบาล การบริหารจัดการองค์กรและการบริหารสิ่งแวดล้อมภายในโรงพยาบาล</p> มณีรัตน์ ภาคธูป ปานตา อภิรักษ์นภานนท์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-27 2024-08-27 17 3 1 11 ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตและความทุกข์ทางใจในผู้ที่เป็นมะเร็งระยะลุกลาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/268534 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาหาความสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่าง ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตและความทุกข์ทางใจในผู้ที่เป็นโรคมะเร็งระยะลุกลาม กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่เป็นโรคมะเร็งระยะลุกลาม อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 106 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบประเมินความทุกข์ทางใจเคสเลอร์ 10 มีค่าความตรงของเนื้อหาเท่ากับ .95 โดยค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .89 และแบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตมีค่าความตรงของเนื้อหาอยู่ระหว่าง .80 ถึง 1.0 โดยค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .81 และ .88 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สเปียแมน ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งระยะลุกลาม มีความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตโดยรวมของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับสูง </span><em style="font-size: 0.875rem;">(</em><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 8.94, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 1.98) และมีความทุกข์ทางใจคะแนนเฉลี่ย 22.38 คะแนน (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 7.67) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะผิดปกติปานกลางร้อยละ 37.70 รองลงมาคือมีแนวโน้มที่จะมีความผิดปกติเล็กน้อย ร้อยละ 32.10 อยู่ที่ระดับค่อนข้างปกติ ร้อยละ 23.60 และมีแนวโน้มที่จะผิดปกติอย่างรุนแรง ร้อยละ 6.60 ที่ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตและความทุกข์ทางใจในผู้ที่เป็นมะเร็งระยะลุกลาม มีความสัมพันธ์กันทางลบในระดับปานกลาง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">r </em><span style="font-size: 0.875rem;">= -.626) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">&lt; .01)</span></p> <p>ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลพื้นฐานแก่บุคลากรสาธารณสุขที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพจิตให้แก่ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งระยะลุกลามเพื่อหาแนวทางในการจัดการกับความทุกข์ทางใจในผู้ที่เป็นโรคมะเร็งระยะลุกลามในลำดับต่อไป</p> ณิชนันทน์ วิฆเนศรังสรรค์ ขวัญพนมพร ธรรมไทย สมบัติ สกุลพรรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-27 2024-08-27 17 3 12 25 ประสิทธิผลของโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยฤๅษีดัดตนต่อสมรรถภาพทางกาย ระดับน้ำตาลในเลือด และพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรัง ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ของจังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/268483 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้เพื่อประเมินค่าสมรรถภาพทางกาย ค่าระดับน้ำตาลในเลือด และคะแนนพฤติกรรมการออกกำลังกายของผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุโรคเรื้อรังที่ขึ้นทะเบียนรักษาในคลินิกโรคเรื้อรังของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลคลองไก่เถื่อน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว จำนวน 35 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มอย่างง่าย ตามหมายเลขประจำตัวของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้การจับฉลาก กลุ่มตัวอย่างได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายด้วยฤๅษีดัดตน จำนวน 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งคัดเลือกท่าพื้นฐาน 15 ท่า เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกดัชนีสุขภาพ และแบบประเมินพฤติกรรมการออกกำลังกายได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาคเท่ากับ .93 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired t-test ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของน้ำหนัก ดัชนีมวลกาย และเส้นรอบวงเอว ลดลงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. หลังการทดลอง ค่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. หลังการทดลองค่าเฉลี่ยของคะแนนพฤติกรรมการออกกำลังกาย เพิ่มขึ้นกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p>ผลจากการศึกษาแสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายด้วยฤๅษีดัดตนสามารถช่วยส่งเสริมสุขภาพในผู้สูงอายุโรคเรื้อรัง เจ้าหน้าที่ทางสุขภาพสามารถประยุกต์การออกกำลังกายด้วยฤๅษีดัดตนสำหรับการดูแลผู้สูงอายุเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากโรคเรื้อรังได้</p> ปัณณทัต ตันธนปัญญากร นภัสรัญชน์ ฤกษ์เรืองฤทธิ์ ชนินันท์ ประเสริฐไทย สุทธิกาญจน์ มุงขุนทด นภัสรัญชน์ ฤกษ์เรืองฤทธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-27 2024-08-27 17 3 26 38 ผลของการใช้แอปพลิเคชันการส่งเสริมโภชนาการของหญิงตั้งครรภ์: อาหารอีสาน ต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ และน้ำหนักทารกแรกเกิด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/266703 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบเปรียบเทียบสองกลุ่มภายหลังการทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบน้ำหนัก ที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ตามเกณฑ์ปกติและน้ำหนักทารกแรกเกิดระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม และเพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้แอปพลิเคชันการส่งเสริมโภชนาการของหญิงตั้งครรภ์: อาหารอีสาน โดยใช้รูปแบบการส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์แผนกฝากครรภ์ โรงพยาบาลนครพนม จำนวน 50 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือแอปพลิเคชันการส่งเสริมโภชนาการของหญิงตั้งครรภ์: อาหารอีสาน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสัมภาษณ์และบันทึกข้อมูลทั่วไปและผลลัพธ์ด้านโภชนาการขณะตั้งครรภ์ และแบบประเมินความพึงพอใจ โดยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ .82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบไคสแควร์และการทดสอบค่าทีอิสระ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กลุ่มทดลองมีน้ำหนักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ตามเกณฑ์ปกติมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลุ่มทดลองมีน้ำหนักเฉลี่ยทารกแรกเกิดมากกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. คะแนนเฉลี่ยการประเมินคะแนนความพึงพอใจต่อการใช้แอปพลิเคชันการส่งเสริมโภชนาการของหญิงตั้งครรภ์: อาหารอีสาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.67, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .54)</span></p> <p>จากผลการวิจัยครั้งนี้ พยาบาลในหน่วยฝากครรภ์ควรนำแอปพลิเคชันการส่งเสริมโภชนาการของหญิงตั้งครรภ์: อาหารอีสาน ไปใช้ในการส่งเสริมพฤติกรรมด้านโภชนาการที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อส่งเสริมให้มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ตามเกณฑ์ปกติ และมีน้ำหนักทารกแรกเกิดที่เหมาะสมต่อไป</p> ดารุนนีย์ สวัสดิโชตติ์ ทัศน์วรรณ สุนันต๊ะ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-28 2024-08-28 17 3 39 52 การศึกษาประสิทธิผลของการจัดการศึกษาบุคลากรสุขภาพโดยชุมชนมีส่วนร่วม ในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/266931 <p>การวิจัยแบบผสมวิธีวิทยาโดยมีกระบวนการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลและเสนอแนะนโยบายการประเมินประสิทธิผลของการจัดการศึกษาบุคลากรสุขภาพโดยชุมชนมีส่วนร่วมในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต พื้นที่เป้าหมายที่ศึกษา ได้แก่ วิทยาลัยพยาบาลในสังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก จำนวน 30 แห่ง กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณคือ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ จำนวน 326 คน ผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบด้วย นักศึกษา 40 คน อาจารย์ 40 คน และ ผู้แทนชุมชน 40 คน ดำเนินการเก็บรวมรวมข้อมูลโดยทีมนักวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโดยใช้สถิติบรรยาย และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ประสิทธิผลของการจัดการศึกษาบุคลากรสุขภาพโดยชุมชนมีส่วนร่วมในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต พบว่า 1) คุณภาพบัณฑิตตามกรอบคุณวุฒิมาตรฐานการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การดูแลด้วยหัวใจ ความเป็นมนุษย์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความผูกพันกับชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 4) สมรรถนะการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยพบว่า อาจารย์ และนักศึกษา มีสมรรถนะ 4 ระดับ คือ การเข้าถึงชุมชน การเป็นที่ปรึกษาให้ชุมชน การมีส่วนร่วมกับชุมชน การทำงานร่วมกับชุมชน ส่วนระดับที่ 5 คือ การมีความเป็นผู้นำร่วมกันกับชุมชน ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการจัดการศึกษาที่ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับดี</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการประเมินประสิทธิผลของการจัดการศึกษาบุคลากรสุขภาพโดยชุมชนมีส่วนร่วมในหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต โดยคณะกรรมการบริหารหลักสูตรควรกำหนดให้ทุกรายวิชาทางการพยาบาล มีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาโดยให้มีการประเมินผลลัพธ์การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาพยาบาลทั้ง 5 ระดับ</span></p> สุริยา ฟองเกิด เนตรนภา กาบมณี Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-28 2024-08-28 17 3 53 66 ผลของการใช้สื่อวีดีทัศน์ร่วมกับการให้คำปรึกษาสุขภาพทางออนไลน์ต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารการมีกิจกรรมทางกาย และดัชนีมวลกายของสตรีวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่มีภาวะอ้วน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/269307 <p>การวิจัยแบบกึ่งทดลองศึกษาในกลุ่มเดียวมีการวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การมีกิจกรรมทางกายและค่าดัชนีมวลกายก่อนและหลังได้รับสื่อวีดีทัศน์ร่วมกับการให้คำปรึกษาทางสุขภาพออนไลน์และติดตามความคงอยู่ในระยะ 12 สัปดาห์ของสตรีวัยผู้ใหญ่ตอนต้นในเขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าเรือ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยสุ่มตัวอย่างแบบง่ายได้จำนวน 27 คน ได้รับการใช้สื่อวีดีทัศน์ร่วมกับการให้คำปรึกษาสุขภาพทางออนไลน์ภายหลังการทดลองและติดตามความคงอยู่ในสัปดาห์ที่ 12 โดยใช้เครื่องมือ ดังนี้ 1) เครื่องมือแบบวัดพฤติกรรมการบริโภคอาหาร 2) เครื่องมือแบบวัดการมีกิจกรรมทางกาย นำมาตรวจสอบความตรงทางด้านเนื้อหาและวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.67 - 1.00 ตรวจสอบความเชื่อมั่นด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .80 และ .82 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Wilcoxon Signed Rank Test และ Freidman Test พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการบริโภคอาหารหลังทดลองและติดตามความคงอยู่ในสัปดาห์ที่ 12 สูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> &lt; .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ค่าเฉลี่ยคะแนนการมีกิจกรรมทางกายหลังทดลองและติดตามความคงอยู่ในสัปดาห์ที่ 12 พบว่าสูงขึ้นกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ที่ระดับ .01 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ค่าดัชนีมวลกายระหว่างหลังการทดลองและความคงอยู่ในสัปดาห์ที่ 12 กับก่อนทดลองไม่แตกต่างกัน (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = .228)</span></p> <p>จากผลการศึกษานี้ควรนำผลของการได้รับสื่อวีดิทัศน์ร่วมกับการให้คำปรึกษาสุขภาพทางออนไลน์นำไปใช้ได้ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพส่วนตำบลในเชิงรุก เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดูแลตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการป้องกันที่จะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพได้ในอนาคต</p> เสาวพฤกษ์ ช่วยยก กมลชนก ทองเอียด จีรภา กาญจนโกเมศ จิรภา เสถียรพงศ์ประภา ทิพากร บุญรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-28 2024-08-28 17 3 67 78 ผลของโปรมแกรมจิตตปัญญาศึกษาต่อการตระหนักรู้ในตนเองและความสุขในการเรียนรู้ ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ในการฝึกปฏิบัติวิชาการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/267547 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษาต่อการตระหนักรู้ในตนเองและความสุขในการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์ 1 จำนวน 97 คน เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือ โปรแกรมจิตตปัญญาศึกษาสำหรับนักศึกษาพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินการตระหนักรู้ในตนเองและแบบประเมินความสุขในการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติวิเคราะห์ Dependent t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>คะแนนเฉลี่ยของการตระหนักรู้ในตนเองและความสุขในการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาลหลังเรียนด้วยโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษาสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .001 และ .05 ตามลำดับ</p> <p>ดังนั้นการนำโปรแกรมจิตตปัญญาศึกษามาประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้ภาคปฏิบัติการพยาบาล สำหรับนักศึกษาพยาบาล ช่วยส่งเสริมให้นักศึกษาพยาบาลเกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ตระหนักรู้ในตนเอง เข้าใจคนอื่นมากขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนกับครูและทีมการพยาบาล และเกิดความสุขในขณะการฝึกปฏิบัติการพยาบาล</p> เบญจวรรณ จันทรซิว ชุติกาญจน์ แซ่ตั้น ศศิธร คำพันธ์ Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-08-28 2024-08-28 17 3 79 88