https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/issue/feed
วารสารการพยาบาลและการศึกษา
2024-12-22T23:23:02+07:00
ผศ.ดร.กิตติพร เนาว์สุวรรณ
kittiporn@bcnsk.ac.th
Open Journal Systems
<p><span lang="TH"><img src="https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/26/XhOJkV.jpg" /></span></p> <p>วารสารวิชาการของสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขเป็นวารสารในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์<br />และเทคโนโลยี ที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย<br />(Thai Journal Citation Index Center: TCI Center) มีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <p class="body1">1. เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ด้านการพยาบาล การผดุงครรภ์ การศึกษาพยาบาล และสุขภาพ</p> <p class="body1">2.เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการของพยาบาล อาจารย์พยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ</p> <p class="body1">3. เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและองค์กรทางสุขภาพทั่ประเทศ<br />กำหนดการออกวารสาร</p> <p class="body1"><strong>วารสารการพยาบาลและการศึกษา เป็นวารสารราย 3 เดือน กำหนดออกปีละ 4 ฉบับ ดังนี้</strong></p> <p class="body1"> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/272811
การพัฒนาชุดฝึกทักษะทางการพยาบาล 3 in 1 ต่อการส่งเสริมผลลัพธ์การเรียนรู้ และความพึงพอใจ ของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
2024-10-05T23:18:50+07:00
จามจุรี แซ่หลู่
jamjuree@bcnnakhon.ac.th
กนกรัตน์ จิตรา
kanokrat@bcnnakhon.ac.th
ชุตินันท์ โบศรี
chutinan33@bcnnakhon.ac.th
ชนกภัทรนันท์ ชนะมี
chanokphadtharanan33@bcnnakhon.ac.th
ชนัญชิดา หนูเส้ง
chananchida33@bcnnakhon.ac.th
โชติมาภรณ์ ปานแก้ว
chotimapornp33@bcnnakhon.ac.th
ญาณวดี รัตนพันธ์
yanavadee33@bcnnakhon.ac.th
ญาณิศา ขวัญนัย
yanavadee33@bcnnakhon.ac.th
ฐิติภรณ์ สุขพร้อม
tithiporn33@bcnnakhon.ac.th
ณฐาปภัช ชูแก้ว
nathapaphat33@bcnnakhon.ac.th
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การพัฒนานวัตกรรมการฝึกทักษะการเจาะเลือด ให้สารน้ำและให้ยาทางหลอดเลือดดำที่ผ่านมา 2) เพื่อพัฒนาชุดฝึกทักษะทางการพยาบาล 3 in 1 และ 3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อคุณภาพของชุดฝึกทักษะฯ การดำเนินการวิจัยมี 3 ระยะ ดังนี้ 1) ศึกษาสถานการณ์ โดยทบทวนวรรณกรรม 2) พัฒนาชุดฝึกทักษะฯ ด้วยการบูรณาการองค์ความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมและการวิจัยระยะที่ 1 และทดลองใช้ และ 3) ศึกษาประสิทธิภาพและความพึงพอใจต่อคุณภาพของชุดฝึกทักษะฯ กับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 45 คน เครื่องมือ ประกอบด้วย แบบทดสอบความรู้แบบประเมินทักษะการปฏิบัติ แบบประเมินความพึงพอใจ มีค่า CVI .90, 1, 1 ตามลำดับ แบบทดสอบ มีค่าความยากง่าย .33 - .80 และมีอำนาจในการจำแนก .29 - .43 ส่วนแบบประเมินทักษะการปฏิบัติมีค่าความน่าเชื่อถือระหว่างผู้สังเกต .80 วิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนาและสถิติ Paired T-Test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สถานการณ์การพัฒนานวัตกรรมการฝึกทักษะการเจาะเลือด ให้สารน้ำและให้ยาทางหลอดเลือดดำที่ผ่านมา พบว่ามีข้อจำกัดคือหลอดเลือดมีขนาดใหญ่ไม่เหมือนของจริง ผิวหนังมีความหนามากเกินไป ไม่มีแรงดันเลือดเหมือนจริง ข้อเสนอแนะควรเพิ่มความยืดหยุ่นและขนาดของหลอดเลือดให้เหมือนจริง มีระบบแจ้งเตือนเมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้อง</span><span style="font-size: 0.875rem;">และมีคู่มือการใช้งาน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ชุดฝึกทักษะฯ ที่พัฒนา ประกอบด้วย ชุดวิดีโอที่ใช้สำหรับเรียนรู้ หุ่นแขนเสมือนจริงพร้อมฐานรอง</span><span style="font-size: 0.875rem;">เสาแขวนขวด ขวดใส่เลือดเทียมและกล่องใส่อุปกรณ์สำหรับการฝึกทักษะ 3. </span><span style="font-size: 0.875rem;">การเปรียบเทียบความแตกต่างของผลลัพธ์ด้านความรู้และด้านทักษะการปฏิบัติ ก่อนและหลังการฝึก</span><span style="font-size: 0.875rem;">มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = - 16.397, </span><em style="font-size: 0.875rem;">t</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = - 6.700 และ </span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value</em><span style="font-size: 0.875rem;"> < .001 ตามลำดับ) และความพึงพอใจต่อคุณภาพของชุดฝึกทักษะฯ อยู่ในระดับมากที่สุด</span></p> <p>ดังนั้นจึงควรนำชุดฝึกทักษะฯ ไปใช้ในการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาให้นักศึกษามีความรู้และทักษะการเจาะเลือด ให้สารน้ำและให้ยาทางหลอดเลือดดำ</p>
2024-12-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/272684
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการได้รับการดูแลระยะยาวในผู้สูงอายุในอำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง
2024-10-25T11:46:27+07:00
สมเกียรติยศ วรเดช
kawintida.j@tsu.ac.th
ปุญญพัฒน์ ไชยเมล์
kawintida.j@tsu.ac.th
กวินธิดา จีนเมือง
kawintida1997@gmail.com
<p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการได้รับการดูแลระยะยาวในผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป อำเภอป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง จำนวน 1,692 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างมกราคมถึงมีนาคม พ.ศ. 2561 โดยการสัมภาษณ์ข้อมูลคุณลักษณะทางประชากร คุณค่าในตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเอง และการได้รับการดูแลระยะยาว เครื่องมือวิจัยได้รับการตรวจสอบคุณภาพเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน มีค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.66 - 1.00 และความเชื่อมั่นของแบบสัมภาษณ์คุณค่าในตนเองและพฤติกรรมการดูแลตนเองเท่ากับ 0.87 และ 0.85 ตัวแปรตาม คือ การได้รับการดูแลระยะยาว แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ไม่ต้องได้รับการดูแล กลุ่มเฝ้าระวัง และกลุ่มต้องได้รับการดูแล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและถดถอยพหุตัวแปรโลจิสติกชนิดข้อมูลลำดับ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ผู้สูงอายุเพศหญิงมีโอกาสได้รับการดูแลระยะยาว 1.39 เท่า (<em>OR<sub>adj</sub></em> = 1.39, <em>95%</em><em>CI</em>: 1.13 - 1.70) ขณะที่ผู้มีอายุ 70 - 79 ปี และ 80 ปีขึ้นไป มีโอกาสได้รับการดูแลระยะยาว 1.64 และ 3.68 เท่า (<em>OR<sub>adj</sub></em> = 1.64, <em>95%</em><em>CI</em>: 1.31 - 2.05; <em>OR<sub>ad</sub></em><sub>j</sub> = 3.68, <em>95%</em><em>CI</em>: 2.76 - 4.09) ผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพในกลุ่มแม่บ้านและเกษตรกรรมมีโอกาสได้รับการดูแลระยะยาวลดลงร้อยละ 57 และ 49 (<em>OR<sub>adj</sub></em> = 0.43, <em>95%</em><em>CI</em>: 0.32 - 0.59; <em>OR<sub>adj</sub></em> = 0.51, <em>95%</em><em>CI</em>: 0.40 - 0.64) ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวมีโอกาสได้รับการดูแลระยะยาว 1.89 เท่า (<em>OR<sub>adj</sub></em> = 1.89, <em>95%</em><em>CI</em>: 1.54 - 2.33) ส่วนผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมการดูแลตนเองระดับสูงมีโอกาสได้รับการดูแลระยะยาวลดลงร้อยละ 22 (<em>OR<sub>adj</sub></em> = 0.78, <em>95%</em><em>CI</em>: 0.62 - 0.96)</p> <p>จากผลการศึกษา บุคลากรสาธารณสุขควรส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้สูงอายุ ครอบคลุมด้านอาหาร อารมณ์ การออกกำลังกาย การรับประทานยา การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม และการลดอบายมุข รวมถึงการเฝ้าระวังผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 70 ปี และการสนับสนุนอาชีพเพื่อลดการดูแลระยะยาวในอนาคต</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/273898
การพัฒนาแอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน
2024-11-27T16:07:52+07:00
วรัญญา จิตรบรรทัด
waranya@bcnnakhon.ac.th
กรวรรณ สืบสม
waranya@bcnnakhon.ac.th
จิราพร วัฒนศรีสิน
waranya@bcnnakhon.ac.th
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาชุดความรู้ของการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน 2) ออกแบบพัฒนาแอปพลิเคชัน และ 3) ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้แอปพลิเคชัน ดำเนินการ 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาชุดความรู้ของการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน จากลุ่มตัวอย่าง 18 คน ใช้วิธีการสนทนากลุ่ม และสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพและตีความ สร้างข้อสรุป ขั้นตอนที่ 2 ออกแบบพัฒนาแอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน โดยนำผลการวิจัยในขั้นตอนที่ 1 ยกร่างเป็นแอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชนผ่านการตรวจสอบ จากผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ขั้นตอนที่ 3 ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้แอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน โดยทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง คือผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชนนาเคียน จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 37 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ชุดความรู้ในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน ประกอบด้วย ความรู้ในการดูแลตนเองแบบ</span><span style="font-size: 0.875rem;">องค์รวม การประเมินอาการรบกวน และ การจัดการอาการรบกวนเบื้องต้น</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน ใช้บัญชีทางการของไลน์ ในชื่อ อุ่นใจ ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเป็นไปได้ในการใชแอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชน มีความเป็นไปได้ในการใช้แอปพลิเคชันโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.65, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.49)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. หลังการใช้แอปพลิเคชันเป็นเวลา 1 เดือน พบว่า ความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.56, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.21) โดยข้อที่มีความพึงพอใจมากที่สุด คือ ท่านได้รับความสะดวกในการรับความรู้ผ่านทางแอปพลิเคชัน </span><span style="font-size: 0.875rem;">(</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.65, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.48) รองลงมา คือ แอปพลิเคชันช่วยให้สื่อสารกับทีมสุขภาพได้ง่ายขึ้น (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.62, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.63) และความมั่นใจในการดูแลตนเองเบื้องต้นเมื่อมีอาการข้างเคียงจากโรค (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.62, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.49)</span></p> <p>ความรู้เป็นสิ่งสำคัญของการดูแลตนเองของผู้ป่วยในชุมชน แอปพลิเคชันการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองในชุมชนจึงเป็นการส่งเสริมความรู้ในการประเมินและดูแลตนเองเบื้องต้นของผู้ป่วยและผู้ดูแลที่บ้าน</p>
2024-12-24T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/273724
บทบาทของบุคลากรสาธารณสุขในระบบบริการปฐมภูมิในการคัดกรองและเฝ้าระวัง กลุ่มเสี่ยงโควิด-19 ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ประเทศไทย
2024-10-19T18:31:44+07:00
ดวงใจ เปลี่ยนบำรุง
Doungjai@bcnt.ac.th
วิไล อุดมพิทยาสรรพ์
doungjai@bcnt.ac.th
ปรียนุช ชัยกองเกียรติ
doungjai@bcnt.ac.th
อัจฉรา มุสิกวัณณ์
doungjai@bcnt.ac.th
คอลิด ครุนันท์
doungjai@bcnt.ac.th
ผุสนีย์ แก้วมณีย์
doungjai@bcnt.ac.th
เขมพัทธิ์ ขจรกิตติยา
doungjai@bcnt.ac.th
พิชญ์ชญานิษฐ์ เรืองเริงกุลฤทธิ์
doungjai@bcnt.ac.th
นุศรา ดาวโรจน์
doungjai@bcnt.ac.th
อนุชิต คลังมั่น
doungjai@bcnt.ac.th
<p>วิจัยแบบผสมผสานนี้เพื่อศึกษาความรู้ และบทบาทของบุคลากรสาธารณสุขในระบบบริการปฐมภูมิในการ คัดกรองและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 สุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควตาจากอำเภอที่มีการติดเชื้อสูงสุด 3 จังหวัดชายแดนใต้ 67 คน รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามความรู้ และบทบาทการปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง<br />โควิด-19 ค่าความเชื่อมั่น 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างในผู้บริหาร และบุคลากรสาธารณสุข วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพแบบหาประเด็นสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ความรู้ของบุคลากรสาธารณสุขภาพรวมอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 3.37, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.49)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. บุคลากรสาธารณสุข มีระดับการปฏิบัติบทบาทตามมาตรการในการคัดกรองและเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงโควิด-19 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 3.45, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.45) โดยมีบทบาทสำคัญ 1) บริหารจัดการระบบบริการตามความเชื่อและวิถีชุมชน 2) ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเหตุการณ์โดยใช้สื่อออนไลน์ 3) เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการสุขภาพและการสื่อสารกับทีม 4) จัดบริการเชิงรุกเพื่อป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ และ 5) ปรับระบบบริการสุขภาพเพื่อรองรับ สถานการณ์ใหม่</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ 1) พัฒนาสมรรถนะการดูแลโควิด-19 ที่สอดคล้องกับวิถีการดำเนินชีวิต และวัฒนธรรมของชุมชน 2) พัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิให้เป็นแกนหลักการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม 3) กำหนดนโยบายพื้นที่พิเศษ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค 4) พัฒนาระบบการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 5) สร้างการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการทำงาน 6) กำหนดแนวทางเสริมพลังให้บุคลากรสาธารณสุข</span></p> <p>ดังนั้นควรคำนึงถึงบริบท 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่มีลักษณะเฉพาะเชิงสังคมและภูมิศาสตร์ เพื่อวางแผนจัดการที่มีลักษณะเฉพาะ กำหนดแนวทางการประสานงานกับภาคีเครือข่าย เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการบริหารจัดการ</p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/271178
ผลของโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้า ในผู้ที่มีภาวะเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ในชุมชน
2024-09-29T09:45:12+07:00
อุมาพร นกแพทย์
umaporn@bcnsurat.ac.th
ศิวพร อึ้งวัฒนา
umaporn@bcnsurat.ac.th
นพมาศ ศรีเพชรวรรณดี
umaporn@bcnsurat.ac.th
<p>วิจัยแบบกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้าในผู้ที่มีภาวะเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ในกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรม และเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้า<br />ในผู้ที่มีภาวะเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ ในกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจกับกลุ่มที่ได้รับบริการตามปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่มีภาวะเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ในชุมชน จำนวน 48 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 24 ราย และกลุ่มควบคุม 24 ราย พัฒนาจากแนวคิดทฤษฎีแรงจูงใจในการป้องกันโรคของ<br />โรเจอร์ (Rogers, 1986) เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และแบบสอบถามพฤติกรรมการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้า ตรวจสอบค่าดัชนีความตรงของเนื้อหา เท่ากับ 1.00 และค่า<br />ความเชื่อมั่น โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ .88 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา สถิติ Paired Sample t-test และ สถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจ มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้า (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 59.50, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 7.18) สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;"> = 33.92, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 2.02) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</span><span style="font-size: 0.875rem;">ที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">< .001)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจมีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้า สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ </span><em style="font-size: 0.875rem;">(</em><em style="font-size: 0.875rem;">M </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 34.63, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD </em><span style="font-size: 0.875rem;">= 2.83) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">p-value </em><span style="font-size: 0.875rem;">< .001)</span></p> <p>จากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการเสริมสร้างแรงจูงใจสามารถนำมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เท้าในผู้ที่มีภาวะเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ เพื่อนำไปสู่การป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เท้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-12-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/270839
สถานการณ์ความรุนแรงในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลในสังกัดรัฐ เขตภาคใต้
2024-11-27T15:00:27+07:00
กฤษณา สังขมุณีจินดา
krit.now@gmail.com
รุ่งนภา จันทรา
rungnapac64@gmail.com
พรรษา หวานบุญ
rungnapac64@gmail.com
จารุวัฒน์ สำลีพันธ์
rungnapac64@gmail.com
รชยา ยิกุสังข์
rungnapac64@gmail.com
พลช เพ็งแก้ว
rungnapac64@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากร ในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลในสังกัดรัฐ เขตภาคใต้ โดยใช้วิธีการเลือกพื้นที่แบบเจาะจงใน 6 จังหวัด ผู้ให้ข้อมูลหลักคือพยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์ตรงในการประสบพบเหตุความรุนแรงในโรงพยาบาลประจำจังหวัด เขตภาคใต้ สำหรับกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย การสนทนากลุ่ม จำนวน 36 คน การสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 24 คน กำหนดเกณฑ์คัดเข้า คือ พยาบาลวิชาชีพที่มีประสบการณ์ตรงประสบพบเหตุความรุนแรงเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบการเกิดความรุนแรง สถานการณ์ และสาเหตุของความรุนแรงที่เกิดขึ้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ประเด็นคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม และประเด็นคำถามสำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก หาความตรงเชิงเนื้อหาด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ท่าน หาค่าความเที่ยงด้วยดัชนีความสอดคล้องภายใน วิเคราะห์ข้อมูลตามเนื้อหาที่ปรากฏ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลตามหลักการของกูบาและลินคอร์น (1989) ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. สาเหตุการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน พบว่าสาเหตุเกิดจาก ผู้รับบริการใช้คำพูด วาจาไม่เหมาะสม โดยมีสาเหตุร่วมคือการใช้สารเสพติดติดหรือการดื่มสุรา ผู้ให้บริการเกิดจากพฤติกรรมการบริการ รวมถึงสถานที่ในการให้บริการ และสถานที่รอคอยซึ่งแออัดคับแคบ เก้าอี้นั่งรอไม่เพียงพอ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลกระทบเมื่อเกิดสถานการณ์ความรุนแรงในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ส่งผลต่อผู้ปฏิบัติงานในด้านความปลอดภัย ด้านชื่อเสียงขององค์กร และต่อผู้รับบริการด้านความปลอดภัย ความล่าช้าในการให้บริการ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. มาตราการป้องกันความรุนแรง ณ แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ในแต่ละองค์กรที่แตกต่างกันตามบริบท</span></p> <p>เสนอแนะให้หน่วยงานจัดอบรมด้านการสื่อสารแก่บุคลากรทางสุขภาพ และมีการถ่ายทอดแนวปฏิบัติการจัดการความรุนแรงในองค์กรแก่ผู้ปฏิบัติอย่างทั่วถึง</p>
2024-12-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/269680
หลักการเขียนผลงานเพื่อขอรับการประเมินสมรรถนะอาจารย์ตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพอาจารย์เพื่อส่งเสริมการบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2566
2024-08-12T08:40:07+07:00
เจิดนภา แสงสว่าง
juadnapasangsawang@gmail.com
ลลิตวดี เตชะกัมพลสารกิจ
juadnapasangsawang@gmail.com
<p>มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาถือเป็นองค์กรที่สำคัญในการเป็นแหล่งรวมของผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ในศาสตร์แขนงต่าง ๆ อันเป็นรากฐานของการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพออกสู่สังคม มุ่งพัฒนาองค์กรให้ตอบสนองต่อความต้องการของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อย่างไรก็ตามพื้นฐานของการพัฒนาทั้งหมดล้วนเริ่มต้นจากคุณภาพการจัดการเรียนการสอนที่ดีและมีประสิทธิภาพ การเสริมสร้างบุคลากรสายวิชาการขององค์กรให้เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งในเชิงวิชาการและศาสตร์ด้านการสอน จึงเป็นภารกิจที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการขอรับการประเมินประเมินสมรรถนะอาจารย์ตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพอาจารย์เพื่อส่งเสริมการบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2566 โดยมีองค์ประกอบและสิ่งที่ควรคำนึงถึงในการจัดการศึกษา คือ การออกแบบหลักสูตร การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ กลยุทธ์การสอน การวัดและประเมินผลการจัดการเรียนรู้ของอาจารย์ ซึ่งถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพของบุคลากรสายวิชาการ ให้มีทักษะความเป็นอาจารย์มืออาชีพ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอหลักการการเขียนผลงานเพื่อขอรับการประเมินสมรรถนะอาจารย์ตามแนวทางการพัฒนาคุณภาพอาจารย์เพื่อส่งเสริมการบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ตามมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พ.ศ. 2566 เพื่อเป็นแนวทางให้อาจารย์ในสังกัดสถาบันอุดมศึกษานำหลักการการเขียนไปประยุกต์ใช้ในการเขียนผลงานของตนเอง</p>
2024-12-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการพยาบาลและการศึกษา