https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/issue/feed
วารสารการพยาบาลและการศึกษา
2023-08-20T12:21:48+07:00
ดร.กิตติพร เนาว์สุวรรณ
kittiporn@bcnsk.ac.th
Open Journal Systems
<p><span lang="TH"><img src="https://sv1.picz.in.th/images/2022/07/26/XhOJkV.jpg" /></span></p> <p>วารสารวิชาการของสถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุขเป็นวารสารในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์<br />และเทคโนโลยี ที่อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย<br />(Thai Journal Citation Index Center: TCI Center) มีวัตถุประสงค์เพื่อ</p> <p class="body1">1. เผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ด้านการพยาบาล การผดุงครรภ์ การศึกษาพยาบาล และสุขภาพ</p> <p class="body1">2.เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ทางวิชาการของพยาบาล อาจารย์พยาบาลและบุคลากรทางสุขภาพ</p> <p class="body1">3. เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและองค์กรทางสุขภาพทั่ประเทศ<br />กำหนดการออกวารสาร</p> <p class="body1"><strong>วารสารการพยาบาลและการศึกษา เป็นวารสารราย 3 เดือน กำหนดออกปีละ 4 ฉบับ ดังนี้</strong></p> <p class="body1"> ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม<br /> ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน<br /> ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน<br /> ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม</p>
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/261441
การพัฒนาการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด-19 วิชาปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี
2023-04-15T11:49:20+07:00
เจนจิรา เกียรติสินทรัพย์
kiat_j@bcnnon.ac.th
ทานตะวัน แย้มบุญเรือง
kiat_j@bcnnon.ac.th
สาริณี โต๊ะทอง
kiat_j@bcnnon.ac.th
<p>การวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจในผลลัพธ์การเรียนการสอนและข้อเสนอการพัฒนาการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด-19 ของวิชาปฏิบัติการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาทางสุขภาพจิต ผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วยอาจารย์และนักศึกษา จำนวน 19 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. อาจารย์และนักศึกษาพึงพอใจและไม่พึงพอใจในผลลัพธ์การเรียนการสอน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอน 6 ด้าน ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหาวิชา กระบวนการจัดการเรียนการสอน สื่อและแหล่งการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวม 33 แนวทาง ตัวอย่างแนวทางการพัฒนาด้านผู้สอน เช่น การให้การปรึกษาการแก้ปัญหา การให้การสนับสนุนทางวิชาการ การฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยีการเรียนการสอน ตัวอย่างแนวทางการพัฒนาด้านผู้เรียน เช่น การฝึกอบรมการใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้ การให้ยืมสื่ออุปกรณ์ การสื่อสารให้ผู้ปกครองเห็นความจำเป็นของการเรียนการสอน ตัวอย่างแนวทางการพัฒนาด้านเนื้อหาวิชา เช่น การปรับแผนการจัดการเรียนสอน การศึกษาความพร้อมของผู้เรียน การปรับเนื้อหาวิชา ตัวอย่างแนวทางการพัฒนาด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอน เช่น การปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอน การปรับกิจกรรมการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การปรับกิจกรรมการศึกษาดูงาน ตัวอย่างแนวทางการพัฒนาด้านสื่อและแหล่งการเรียนรู้ เช่น การเลือกใช้สื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจ การเลือกใช้แพล็ตฟอร์มการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาแหล่งสนับสนุนสื่อการเรียนการสอน และตัวอย่างด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เช่น การปรับแก้ไขกลยุทธ์การวัดและประเมินผล การปรับแก้ไขวิธีการสอบ การเลือกใช้เครื่องมือการสอบ</span></p> <p>วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี และวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอื่น ๆ ควรนำแนวทางการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์โควิด-19 ไปใช้ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนวิชาปฏิบัติการพยาบาลในสถานการณ์วิกฤติที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบ on-site ได้</p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/262238
ผลการใช้โปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะเปลี่ยนผ่าน จากโรงพยาบาลสู่บ้านต่อความพร้อมในการดูแลก่อนกลับบ้าน ความวิตกกังวล และความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี
2023-06-06T14:49:39+07:00
รุ่งนภา จันทรา
rungnapac64@gmail.com
ศิริเพ็ญ วีระจิตต์
rungnapac64@gmail.com
ภัทริยา ศรีทองกุล
rungnapac64@gmail.com
<p>งานวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความพร้อม ความวิตกกังวล และความพึงพอใจในการดูแลก่อนกลับบ้านของผู้ดูแลที่ได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้าน โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี เครื่องมือวิจัยเป็นโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โดยใช้กรอบแนวคิดรูปแบบการดูแลระยะเปลี่ยนผ่านของเนเลอร์และคณะ (Naylor, Brooten, Campbell, Maislin, McCauley, & Schwartz, 2004) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบประเมินความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง แบบวัดความวิตกกังวล และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ร้อยละ และสถิติ The Wilcoxon Signed - Rank Test ผลวิจัยพบว่า</p> <p>คะแนนเฉลี่ยความพร้อมในการดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในระยะเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่บ้าน สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองหลังได้รับโปรแกรมการวางแผนจำหน่ายฯ มีค่าเฉลี่ยลดลงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ได้รับโปรแกรมฯอยู่ในระดับมาก</p> <p>จากผลการศึกษาครั้งนี้ จะเป็นแนวปฏิบัติการส่งเสริมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่ได้รับการวางแผนจำหน่ายก่อนกลับบ้าน เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการพยาบาลและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง</p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/262405
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนักศึกษาภายใต้สถานการณ์การเเพร่ระบาดของโรคโควิด-19
2023-06-06T13:50:00+07:00
ชลธิชา หีดเภา
chonticha@scphtrang.ac.th
สมเกียรติยศ วรเดช
somkiattiyos@tsu.ac.th
ปุญญพัฒน์ ไชยเมล์
bchaimay@tsu.ac.th
<p>การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความเครียดของนักศึกษา และ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนักศึกษา ภายใต้สถานการณ์การเเพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา2019 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่กำลังศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาจังหวัดตรัง ปีการศึกษา 2564 จำนวน 501 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามผ่านระบบออนไลน์ ประกอบด้วยข้อมูลคุณลักษณะทางประชากร ความเครียดสัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน และสภาพแวดล้อมทางการเรียน แบบสอบถามผ่านการตรวจสอบคุณภาพเชิงเนื้อหามีค่าดัชนีความสอดคล้องเชิงเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และแบบสอบถามด้านความเครียดสัมพันธ์ภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน และสภาพแวดล้อมทางการเรียนมีสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของครอนบาชอัลฟาเท่ากับ 1.00, 1.00, 0.97 และ 0.93 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติการถดถอยพหุตัวแปรโลจิสติก นำเสนอด้วยค่า Odds ratio และค่าช่วงเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. นักศึกษาประมาณเกือบครึ่งมีระดับความเครียดสูง (ร้อยละ 40.12) โดยมีค่าคะแนนความเครียดเฉลี่ยเท่ากับ 48.08 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;">=16.83) คะแนน</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยด้านสถานศึกษา คือ การศึกษาในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง (OR</span><sub>adj</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.31 95%CI: 0.11-0.88) การศึกษาในชั้นปีที่ 1 (OR</span><sub>adj</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.34 95%CI: 0.15-0.76) อาศัยในภูมิลำเนาอื่นๆ (OR</span><sub>adj</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = 2.70 95%CI: 1.06-6.87) และการมีรายได้ไม่เพียงพอ (OR</span><sub>adj</sub><span style="font-size: 0.875rem;"> = 1.94 95%CI: 1.31-2.88) มีความสัมพันธ์กับความเครียดของนักศึกษาในจังหวัดตรังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</span></p> <p>ดังนั้น สถาบันการศึกษา ครอบครัว และผู้เกี่ยวข้องควรพิจารณามาตรการจัดการความเครียดของนักศึกษาโดยเฉพาะนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง นักศึกษาชั้นปีที่ 2 3 และ 4 นักศึกษาที่มีภูมิลำเนาจากภูมิภาคอื่น ๆ และนักศึกษาที่มีรายได้ไม่เพียงพอ</p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/262448
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ของนักศึกษาพยาบาล ในช่วงก่อนการประกาศเป็นโรคประจำถิ่น
2023-06-22T21:07:14+07:00
อัจฉรา มีนาสันติรักษ์
atchara@smnc.ac.th
ปรานต์ศศิ เหล่ารัตน์ศรี
atchara@smnc.ac.th
กัญยา ทูลธรรม
atchara@smnc.ac.th
วิราวรรณ์ คชสาร
atchara@smnc.ac.th
<p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 และปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม ในช่วงก่อนการประกาศเป็นโรคประจำถิ่น จำนวน 270 คน ใช้วิธีสุ่มแบบชั้นภูมิ เก็บข้อมูลแบบออนไลน์ระหว่าง มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามการรับรู้และแบบทดสอบความรู้ ได้ค่าเความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .82 และค่าความเชื่อมั่นโดยใช้สูตรคูเดอร์ ริชาร์ดสัน KR - 20 เท่ากับ .71ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยพหุคูณโลจิสติก ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. พฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ของนักศึกษาพยาบาลอยู่ในระดับดี ร้อยละ 51.11 (</span><em style="font-size: 0.875rem;">M</em><span style="font-size: 0.875rem;">=2.78, </span><em style="font-size: 0.875rem;">SD</em><span style="font-size: 0.875rem;">= 0.39)</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมการป้องกันโรคโควิด 19 ในระดับดี ได้แก่ 1) การไม่มีความกลัวการติดโรคโควิด 19 สูงเป็น 1.95 เท่า (</span><em style="font-size: 0.875rem;">OR<sub>adj</sub></em><span style="font-size: 0.875rem;">=1.95, </span><em style="font-size: 0.875rem;">95%CI</em><span style="font-size: 0.875rem;">: 1.07–3.54) 2) การรับรู้ผลดีที่ได้รับต่อตนเองในระดับน้อย สูงเป็น 1.93 เท่า (</span><em style="font-size: 0.875rem;">OR<sub>adj</sub></em><span style="font-size: 0.875rem;">=1.93, </span><em style="font-size: 0.875rem;">95%CI</em><span style="font-size: 0.875rem;">: 1.03–3.62) 3) การไม่เคยมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคโควิด 19 สูงเป็น 2.15 เท่า (</span><em style="font-size: 0.875rem;">OR<sub>adj</sub></em><span style="font-size: 0.875rem;">=2.15, </span><em style="font-size: 0.875rem;">95%CI</em><span style="font-size: 0.875rem;">: 1.12–4.14) 4) การที่ได้รับข้อมูลหลักจากสื่อออนไลน์ สูงเป็น 5.22 เท่า (</span><em style="font-size: 0.875rem;">OR<sub>adj</sub></em><span style="font-size: 0.875rem;">=5.22, </span><em style="font-size: 0.875rem;">95%CI</em><span style="font-size: 0.875rem;">: 1.34-20.29) และ 5) การได้รับข้อมูลหลักจากวิทยาลัยพยาบาล สูงเป็น 7.12 เท่า (</span><em style="font-size: 0.875rem;">OR<sub>ad</sub>j</em><span style="font-size: 0.875rem;">=7.12, </span><em style="font-size: 0.875rem;">95%CI</em><span style="font-size: 0.875rem;">: 1.19-42.52</span>)</p> <p>วิทยาลัยพยาบาลควรจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคโควิด 19 โดยผ่านสื่อต่างๆ ของวิทยาลัย และสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาพยาบาลที่มีความกลัวการติดโรคโควิด และคาดหวังผลดีจากการป้องกันโรคที่จะได้รับต่อตัวเองมากเกินไป</p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/263116
การจัดการศึกษาทางไกล: หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทางการพยาบาลมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
2023-06-06T14:11:06+07:00
พัทยา แก้วสาร
pattayakaew22@gmail.com
เปรมฤทัย น้อยหมื่นไวย
pattayakaew22@gmail.com
อารี ชีวเกษมสุข
pattayakaew22@gmail.com
สุพัตรา ช่างสุพรรณ
pattayakaew22@gmail.com
<p>การวิจัยเชิงประเมินผลนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินด้านบริบทและปัจจัยเบื้องต้น ปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลลัพธ์ การใช้หลักสูตรพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารทางการพยาบาล ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2561 จากประชากรจำนวน 256 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เก็บข้อมูลเชิงปริมาณ จำนวน 128 คน และกลุ่มที่เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 25 คน ประกอบด้วย 1) ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก 2) อาจารย์ผู้รับผิดชอบและอาจารย์ประจำหลักสูตร 3) อาจารย์ประจำสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ 4) บุคลากรสายสนับสนุน 5) ผู้สำเร็จการศึกษา 6) ผู้บังคับบัญชาผู้สำเร็จการศึกษา และ7) เพื่อนร่วมงานผู้สำเร็จการศึกษา เก็บข้อมูลในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยสร้างขึ้นตามกรอบการประเมินผลแบบ CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม มี 2 ชุด คือ 1) แนวคำถามการสนทนากลุ่ม และ 2) แบบสอบถาม เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนของหลักสูตร ค่าดัชนีความความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.67-1.00 และค่าสัมประสิทธิแอลฟาของครอนบาค ระหว่าง .95- .99 ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ด้านบริบทและด้านปัจจัยนำเข้ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนมีความเหมาะสมในระดับมาก และด้านผลลัพธ์จากการใช้หลักสูตรความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นการแสดงว่าหลักสูตรการบริหารทางการพยาบาล ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561 ยังมีผลลัพธ์การเรียนรู้ได้ในระดับดีมากถึงมากที่สุด</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรใหม่ฉบับ พุทธศักราช 2566 ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ สภาพบริบทและสุขภาพวิถีใหม่ในปัจจุบันอย่างเหมาะสม</p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/263688
ผลการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงต่อความมั่นใจในตนเอง ด้านการรักษาโรคเบื้องต้นของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา
2023-05-20T12:06:51+07:00
ทรงฤทธิ์ ทองมีขวัญ
trongrit2514@gmail.com
สกุนตลา แซ่เตียว
trongrit2514@gmail.com
วิกานดา หมัดอาดั้ม
trongrit2514@gmail.com
<p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความมั่นใจในตนเองด้านการรักษาโรคเบื้องต้นก่อนและหลังการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง และศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง ประชากรเป็นนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา ชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 78 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความมั่นใจในตนเองด้านการรักษาโรคเบื้องต้นและความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง ตรวจสอบความตรงของเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ .67-1.00 ตรวจสอบค่าความเชื่อมั่น ได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ .96, และ .94 วิเคราะห์ข้อมูลวิจัยโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความมั่นใจในตนเองด้านการรักษาโรคเบื้องต้นของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา หลังการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง (</span><em style="font-size: 0.875rem;">µ</em><span style="font-size: 0.875rem;">=18, σ=0.36) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนการเรียนการสอน (</span><em style="font-size: 0.875rem;">µ</em><span style="font-size: 0.875rem;">=3.78, σ=0.59) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ระดับความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (</span><em style="font-size: 0.875rem;">µ</em><span style="font-size: 0.875rem;">=4.44, σ=0.41) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านประโยชน์ที่ได้รับมีคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด (</span><em style="font-size: 0.875rem;">µ</em><span style="font-size: 0.875rem;">=4.46, σ=0.48) รองลงมาคือ ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">µ</em><span style="font-size: 0.875rem;">=4.45, σ=0.46) และด้านบรรยากาศการเรียนรู้ (</span><em style="font-size: 0.875rem;">µ</em><span style="font-size: 0.875rem;">=4.41, σ=0.48)</span></p> <p>วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา ควรนำการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริงนี้ ไปใช้ไปในการสร้างความมั่นใจในตนเองด้านการรักษาโรคเบื้องต้น และพัฒนาทักษะในการรักษาโรคเบื้องต้นแก่นักศึกษาต่อไป</p> <p> </p> <p><strong><u>ถอนบทความเนื่องจาก</u></strong> <strong>:(ผู้นิพนธ์ขอถอนบทความเนื่องจากช่วงเวลาเก็บข้อมูลไม่สอดคล้องกันกับจริยธรรมวิจัย)</strong></p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา
https://he01.tci-thaijo.org/index.php/JNAE/article/view/261109
ผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชันต่อแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาล
2023-04-11T14:59:03+07:00
พักตร์วิภา ตันเจริญ
pakwipa@bcnc.ac.th
ปวีณา ยศสุรินทร์
pakwipa@bcnc.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชันต่อ</p> <p>แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีเชียงใหม่ ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาล โดยเลือกแบบเจาะจง จำนวน 155 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมมิฟิเคชันรายวิชาหลักการและเทคนิคการพยาบาล หัวข้อหลักการและเทคนิคการให้อาหาร ยา สารน้ำ สารละลาย เลือด และส่วนประกอบของเลือด 2) แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ได้ค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟ่าของครอนบาคเท่ากับ .88 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้ค่าความยากง่ายระหว่าง .287 – .787 และค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .210 – .473 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณณา และสถิติทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยในประชากรหนึ่งกลุ่ม และสถิติทดสอบวิลคอกซัน ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. กลุ่มตัวอย่างมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ภายหลังได้รับกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชัน สูงกว่าก่อนได้รับกิจกรรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. กลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภายหลังได้รับกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคเกมมิฟิเคชัน สูงกว่าก่อนได้รับกิจกรรมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</span></p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าควรนำเกมมิฟิเคชันมาเป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาทางการพยาบาล เพื่อให้นักศึกษาเกิดแรงจูงใจในการเรียน ส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดี </p>
2023-08-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารการพยาบาลและการศึกษา