ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและความรอบรู้ทางสุขภาพ ในการป้องกันภาวะไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
คำสำคัญ:
ความรอบรู้ทางสุขภาพ, โรคไตเรื้อรัง , การป้องกันภาวะไตเสื่อมบทคัดย่อ
บทนำ: ภาวะไตเสื่อมเกิดจากการขาดความรู้และความตระหนักในการป้องกัน
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความรอบรู้ทางสุขภาพในการป้องกันภาวะไตเสื่อมของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
วิธีการดำเนินการวิจัย: การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะ 1–3 จำนวน 122 ราย คัดเลือกตามเกณฑ์วินิจฉัยโรค ค่าอัตราการกรองของไต (GFR) หรือ Urine microalbumin เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและความรอบรู้ทางสุขภาพ 6 ด้าน ผ่านการตรวจสอบความตรงโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าสัมประสิทธิ์ อัลฟาของครอนบาคระหว่าง .75–.95 และค่า KR–20 เท่ากับ .74 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติไคสแควร์
ผลการวิจัย: ความรอบรู้ทางสุขภาพภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 58.20) โดยความรู้ความเข้าใจมีระดับต่ำสุด (ร้อยละ 56.56) รองลงมาคือการรู้เท่าทันสื่อ (ร้อยละ 63.11) ขณะที่การตัดสินใจอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 62.30) ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ทางสุขภาพภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ได้แก่ ระดับการศึกษา อาชีพ และการใช้อุปกรณ์ติดตามภาวะสุขภาพ
สรุปผล: การส่งเสริมความรอบรู้ทางสุขภาพควรให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีระดับการศึกษาและรายได้ต่ำ โดยเน้นพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณ์ติดตามสุขภาพ
เอกสารอ้างอิง
จักรกฤษณ์ วังราษฎร์, กิตติพันธุ์ ฤกษ์เกษม, สุวินัย แสงโย, ศศิณัฏฐ์ พงษ์ธรรม, และนิภาภรณ์ ปิ่นมาศ. (2561). ปัจจัยทำนายพฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่. วารสารวิจัยระบบสาธารณสุข, 12(4), 625–635.
ณิชมน หลำรอด, เอนกพงศ์ ฮ้อยคำ, วดีรัตน์ ศรีวงศ์วรรณ, เสน่ห์ คล้ายบัว, และ ธนะวัฒน์ รวมสุก. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยทางสังคมกับความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองอายุ 35 ปีขึ้นไปในจังหวัดนนทบุรี. วารสารการพยาบาลและการศึกษา, 16(2), 28–39.
ปนัดดา สวัสดี, นัทธมน วุทธานนท์, และ ประทุม สร้อยวงค์. (2565). ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเลือกวิธีการรักษาของผู้เป็นโรคไตเรื้อรังระยะก่อนการบำบัดทดแทนไต. พยาบาลสาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 49(4), 151–162.
Cohen, J. (1988). Statistical power analysis for the behavioral sciences (2nd ed.). Lawrence Erlbaum Associates.
Coughlin, S. S., Vernon, M., Hatzigeorgiou, C., & George, V. (2020). Health literacy, social determinants of health, and disease prevention and control. Journal of Environment and Health Sciences, 6(1), 30–61.
Gonçalves-Fernández, M. L., & Pino-Juste, M. (2025). Health literacy in healthy adults: A systematic review of recent evidence. Atención Primaria, 57(11), 103300. https://doi.org/10.1016/j.aprim.2025.103300
Nutbeam, D. (2008). The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine, 67(12), 2072–2078. https://doi.org/10.1016/j.socscimed.2008.09.050
World Health Organization. (2021, September 16). Noncommunicable diseases. https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/noncommunicable-diseases
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลที่เผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความโดยตรง
บทความ เนื้อหา ข้อมูล รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่หรือเพื่อกระทำการใด ๆ จะต้องอ้างอิงวารสารพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามทุกครั้ง