ผลของโปรแกรมให้ความรู้มารดาต่อพฤติกรรมการดูแลทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลือง
คำสำคัญ:
พฤติกรรม, ทารกแรกเกิด, ภาวะตัวเหลือง, โปรแกรมการให้ความรู้บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมมารดาในการดูแลทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลืองระหว่างกลุ่มมารดาที่ได้รับโปรแกรมให้ความรู้การดูแลทารกแรกเกิดเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลืองกับกลุ่มมารดาที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ
รูปแบบการวิจัย : การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research)
วัสดุและวิธีการวิจัย : เป็นมารดาที่ตั้งครรภ์ครบกำหนดที่มาคลอดบุตรที่ไม่จำกัดวิธีการคลอดและไม่มีภาวะแทรกซ้อนและทารกแรกเกิดครบกำหนดตึกพิเศษสงฆ์ชั้น 3 โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 1พฤษภาคม 2568 ถึง 31 กรกฎาคม 2568 จำนวน 40 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 20 ราย กลุ่มทดลอง 20 รายวัดหลังการทดลองครั้งเดียว เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามพฤติกรรมการให้นมมารดาและแบบสอบถามพฤติกรรมการประเมินทารกตัวเหลือง ผ่านการตรวจสอบโดยมีผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน หาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.76 และ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย : การเปรียบเทียบคะแนนพฤติกรรมของกลุ่มมารดาที่ได้รับการพยาบาลตามปกติและกลุ่มมารดาที่ได้รับความรู้ตามโปรแกรมเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลือง กลุ่มทดลองมีทักษะการให้นมมารดามากกว่ากลุ่มควบคุม (p = .017) ซึ่งมีค่าน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และการประเมินภาวะตัวเหลืองในทั้งสองกลุ่มมีค่าไม่แตกต่างกัน (p = .134) ซี่งมีค่ามากกว่าระดับนัยสำคัญที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>.05) แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลร้อยละในตารางพบว่ากลุ่มทดลองมีการปฏิบัติทำทุกครั้งสูงกว่ากลุ่มควบคุมทุกข้อ แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมมีแนวโน้มที่จะช่วยให้มารดาสามารถประเมินภาวะตัวเหลืองได้อย่างถูกต้อง
สรุปและข้อเสนอแนะ : การนำโปรแกรมไปใช้ในการบริการพยาบาลผลการวิจัยยืนยันว่าโปรแกรมเพื่อป้องกันภาวะตัวเหลืองมีประสิทธิผลอย่างชัดเจนในการเพิ่มทักษะการให้นมมารดา ดังนั้นควรนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้ในการให้ความรู้แก่มารดาหลังคลอดทุกคนโดยเฉพาะมารดาที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะตัวเหลืองเพื่อให้ทารกได้รับน้ำนมเพียงพอและถูกวิธี
เอกสารอ้างอิง
ผกาพรรณ เกียรติชูสกุล. ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด. ใน: สุขชาติ เกิดผล, อวยพร ปะนะมณฑา,จามรี ธีรตกุลพิศาล, ชาญชัย พานทอง วิริยะกุล, ณรงค์ เอื้อวิชญาแพทย์, จรรยา จิระประดิษฐ์. บรรณาธิการ. วิชากุมารเวชศาสตร์. ขอนแก่น: แอนนาออฟเช็ตการพิมพ์; 2552. น. 75-90.
Bhutani V K, Johnson LH, Keren R. Treating acute bilirubin encephalopathy-before too late. Contempt Pediatric 2005;22(5):57-74.
American Academy of Pediatrics. Subcommittee on hyperbilirubinemia: management of hyperbilirubinemia in the newborn infant 35 or more weeks of gestation [published correction appears in Pediatrics. Pediatrics 2004;114(1):297-316.
Chandran, L, Navaie W M, Sumandh A, Downs T, Lagamma E F. Maternal education: An alternative strategy for ensuring safety with early newborn discharge. Journal of Perinatal Education. 1997;6(1):1-12.
ขนิษฐา ประสมศักดิ์. ผลของโปรแกรมการให้ความรู้และการสนับสนุนต่อความวิตกกังวลในบิดา-มารดาที่บุตรมีภาวะตัวเหลืองและได้รับการ ส่องไฟในระยะหลังคลอด [วิทยานิพนธ์]. นครปฐม: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2551.
สารสนเทศโรงพยาบาลร้อยเอ็ด. รายงานการให้บริการทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลร้อยเอ็ด ปี พ.ศ.2567. สารสนเทศโรงพยาบาลร้อยเอ็ด: จังหวัดร้อยเอ็6ด; 2567.
สุนทรี มอญทวี, รัตน์คิริ ทาโต. ผลของโปรแกรมการสอนแนะต่อพฤติกรรมมารดาในการป้องกัน ภาวะตัวเหลืองจากการได้รับนมมารดาไม่เพียงพอในทารกแรกเกิดครบกำหนด. วารสารพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2558;27:22-34.
วรรษมน ปาพรม. ผลของโปรแกรมสนับสนุนและแอปพลิเคชันให้ความรู้ต่อพฤติกรรมการดูแลของผู้ดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลืองและได้รับการรักษาโดยการส่องไฟ. วารสารพยาบาลสงขลานครินทร์. 2561;38(3):167-78.
นาฎตยา ศรีสวัสดิ์, นิลาวรรณ ฉันทะปรีดา. ศึกษาผลของโปรแกรมการสร้างเสริมพลังอำนาจมารดาต่อพฤติกรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และภาวะตัวเหลืองของทารกแรกเกิด. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ. 2563;43(3):34-44.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
เวอร์ชัน
- 2025-12-01 (2)
- 2025-11-30 (1)
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง