การพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องที่บ้านของผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหัก อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
คำสำคัญ:
การพัฒนารูปแบบ, การดูแลต่อเนื่อง, ผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหักบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาสถานการณ์ปัญหา พัฒนารูปแบบ และประเมินผลการใช้รูปแบบการดูแลต่อเนื่องที่บ้านสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก
รูปแบบการวิจัย: การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)
วัสดุและวิธีการวิจัย: การศึกษานี้ประยุกต์แนวคิดของ Kemmis & McTaggart เพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยสูงอายุที่มีกระดูกสะโพกหักในชุมชน ดำเนินการระหว่างเดือนกันยายน 2567 ถึงมีนาคม 2568 โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ป่วยสูงอายุจำนวน 23 ราย และทีมสหวิชาชีพในพื้นที่ ประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันทั้งก่อนและหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาล เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน ได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.97 โดยรูปแบบการดูแลที่พัฒนาขึ้นใช้แนวทางเยี่ยมบ้านแบบ INHOMESS เดือนละ 1 ครั้ง รวม 6 ครั้ง ควบคู่กับกระบวนการพยาบาล และการให้ความรู้ผ่านสื่อสนับสนุน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและ Paired t-test
ผลการวิจัย: 1) สถานการณ์ปัญหา พบว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะกระดูกสะโพกหัก พบปัญหาหลัก 4 ด้าน ได้แก่ 1) กระบวนการดูแล ยังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน การดูแลเป็นไปตามปัญหาเฉพาะหน้า ขาดเป้าหมายร่วม ทำให้การบริการไม่สอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ 2) ทีมสหวิชาชีพ ขาดความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่เหมาะสม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่บุคลากรไม่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง 3) หน่วยงาน ประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากร งบประมาณ และอุปกรณ์สำหรับการดูแลที่บ้าน 4) ผู้ป่วยและครอบครัว ขาดความรู้ในการดูแลตนเอง และบางรายมีข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ ต้องการการสนับสนุนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง 2) รูปแบบการดูแลต่อเนื่องที่บ้านสำหรับผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหัก ประกอบด้วย องค์ประกอบสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ 1) กระบวนการรับผู้ป่วย 2) รูปแบบการเยี่ยมบ้าน 3) ทีมสหสาขาวิชาชีพ 4) ระบบบันทึกและแบบประเมินร่วมกัน และ 5) สื่อสนับสนุนการดูแล และ 3) การประเมินประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า ความสามารถในการทำกิจกรรมและการเคลื่อนไหวของผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 6 เดือนหลังจำหน่ายจากโรงพยาบาล คุณภาพชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับ “ดี” (คะแนนเฉลี่ย 24.33 คะแนน) และมีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ความพึงพอใจโดยรวมของผู้รับบริการอยู่ในระดับดีมาก (97.51%) ส่วนทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจโดยรวมต่อรูปแบบในระดับดี (คะแนนเฉลี่ย 2.96)
สรุปและข้อเสนอแนะ: การวิจัยครั้งนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความสามารถเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตดีขึ้น และความพึงพอใจในระดับดีถึงดีมาก ดังนั้น ภาครัฐควรสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรเพื่อสร้างเครือข่ายการดูแลอย่างยั่งยืน และควรมีระบบติดตามผลระยะยาวเพื่อพัฒนารูปแบบให้เหมาะสมกับบริบทชุมชนต่อไป
เอกสารอ้างอิง
Bloom D E, Canning D, Lubet A. Global Population Aging: Facts, Challenges, Solutions & Perspectives. Daedalus. 2015;144(2):80–92.
Affairs UND of E and S. World Population Ageing 2020: Highlights: Living Arrangements of Older Persons [Internet]. United Nations; 2021 [cited 2025 Apr 22]. Available from: https://www.un-ilibrary.org/content/books/9789210051934.
Beard J R, Officer A M, Cassels A K. The World Report on Ageing and Health. Gerontologist. 2016;56(Suppl 2):S163-6.
Harper S. Economic and social implications of aging societies. Science. 2014;346(6209):587–91.
Christensen K, Doblhammer G, Rau R, Vaupel J W. Ageing populations: the challenges ahead. Lancet. 2009;374(9696):1196–208.
Chan A, Malhotra C, Malhotra R, Ostbye T. Living arrangements, social networks and depressive symptoms among older men and women in Singapore. Int J Geriatr Psychiatry. 2011;26(6):630–9.
NSO. สำรวจ-สำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 22 มีนาคม 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://www.nso.go.th/nsoweb/nso/survey_detail/iM?
กรมกิจการผู้สูงอายุ. ข้อมูลผู้สูงอายุทั่วไป [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 22 มีนาคม 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://www.dop.go.th/th/know/1.
กรมกิจการผู้สูงอายุ. แผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่ 2 (พ.ศ.2545-2565) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่2 พ.ศ.2563 [อินเทอร์เน็ต]. [เข้าถึงเมื่อ 22 มีนาคม 2568]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dop.go.th/th/laws/1/28/828.
Johnell O, Kanis J A. An estimate of the worldwide prevalence and disability associated with osteoporotic fractures. Osteoporos Int. 2006;17(12):1726–33.
Cummings S R, Melton L J. Epidemiology and outcomes of osteoporotic fractures. Lancet. 2002;359(9319):1761–7.
Lim S, Koo B K, Lee E J, Park J H, Kim M H, Shin K H, et al. Incidence of hip fractures in Korea. J Bone Miner Metab. 2008;26(4):400–5.
Charatcharoenwitthaya N, Nimitphong H, Wattanachanya L, Songpatanasilp T, Ongphiphadhanakul B, Deerochanawong C, et al. Epidemiology of hip fractures in Thailand. Osteoporos Int. 2024;35(9):1661–8.
Haleem S, Lutchman L, Mayahi R, Grice J E, Parker M J. Mortality following hip fracture: trends and geographical variations over the last 40 years. Injury. 2008;39(10):1157–63.
Roche J J W, Wenn R T, Sahota O, Moran C G. Effect of comorbidities and postoperative complications on mortality after hip fracture in elderly people: prospective observational cohort study. BMJ. 2005;331(7529):1374.
Istianah U, Nurjannah I, Magetsari R. Post-discharge complications in postoperative patients with hip fracture. J Clin Orthop Trauma. 2020;14:8–13.
นภัส แก้ววิเชียร, ธัญพร ชื่นกลิ่น, วิชาญ เกิดวิชัย, เบญจพร สุธรรมชัย, นงณภัทร รุ่งเนย, ศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย. นโยบายการดูแลสุขภาพระยะกลางในประเทศไทย: ข้อเสนอเพื่อหนทางข้างหน้า. วารสารวิชาการสาธารณสุข 2564;30(5):894–906.
Khamlakit S. INHOMESSS and the Nursing Process as an assessment tool. In: Research Report Thai COC Program for the Quality Criteria Results. Surin Province: Boards of the Continuity of Care (COC); 2013.
Suksrisai B, Linhavong J, Manonom S, Manorangsan S. Prevalence and factors affecting first and recurrent hip fracture in the elderly: a retrospective study from inpatients at Thammasat University Hospital. Thammasat medical journal. 2020;20(4):275-85.
Jitapunkul S, Kamolratanakul P, Ebrahim S. The meaning of activities of daily living in a Thai elderly population: development of a new index. Age Ageing. 1994;23(2):97–101.
World Health Organization. The World Health Organization quality of life (WHOQOL) - BREF. Geneva: World Health Organization; 2004.
Kemmis S, McTaggart R. The action research planner. 3rd ed. Geelong: Deakin University; 1988.
ธนัชญา พูนวศิน, เอมอร อาภรณ์รัตน์. การพัฒนารูปแบบการดูแลต่อเนื่องที่บ้านของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง. วารสารวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ. 2566;4(2):126–36.
นงนุช เพ็ชรร่วง, ยุพา จิ๋วพัฒนกุล. ปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองและผู้ดูแลในศูนย์สุขภาพชุมชน. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ. 2557;37(4):37-45.
ไพจิตรา ล้อสกุลทอง, วรรณภา ศรีธัญรัตน์. การพัฒนาระบบบริการการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนภายใต้บริบทของโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ. 2557;37(2):1-11.
ช่อทิพย์ จันทรา. ปัญหาและความต้องการของผู้ดูแลหลักในการดูแลด้านโภชนาการและการป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุติดเตียง. วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์. 2559;8(3):41–50.
เจษฎา อังกาบสี, ชุติมา ปัญญาพินิจนุกูร, นิติบดี ศุขเจริญ. ประสิทธิผลโปรแกรมส่งเสริมความสามารถของผู้ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องได้รับ การดูแลต่อเนื่องที่บ้าน (Caregiver) ตามทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเอง. วารสารสุขภาพและการศึกษาพยาบาล. 2567;30(1):35–48.
กรรณิการ์ ปลื้มสง. ผลการพัฒนารูปแบบการเยี่ยมบ้านในผู้ป่วยกระดูกสะโพกหักที่ได้รับการผ่าตัด เครือข่ายโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช. มหาราชนครศรีธรรมราชเวชสาร. 2566;6(1):18–30.
ยุวดี ผงสา. ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น. วารสารสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น. 2563;2(2):139–53.
พรธิดา ชื่นบาน, ธนาวรรณ แสนปัญญา, ทิพากร กระเสาร์. การพัฒนารูปแบบการพยาบาลผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหัก ที่ได้รับการผ่าตัดผ่านช่องทางด่วน โรงพยาบาลแพร่. วารสารพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข. 2566;1(3):70-84.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง