กลยุทธ์การพัฒนาคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ ตามหลักการเรียนรู้เป็นทีม
คำสำคัญ:
กลยุทธ์การพัฒนา, คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ, หลักการเรียนรู้เป็นทีมบทคัดย่อ
วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนากลยุทธ์การพัฒนาคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอตามหลักการเรียนรู้เป็นทีม และประเมินประสิทธิผลกลยุทธ์การพัฒนาคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอตามหลักการเรียนรู้เป็นทีม
รูปแบบการวิจัย: การวิจัยและพัฒนา (Research and Development Research)
วัสดุและวิธีการวิจัย: การดำเนินการวิจัยมี 2 ระยะ คือ ระยะแรกเป็นการพัฒนากลยุทธ์การพัฒนาคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอตามหลักการเรียนรู้เป็นทีม ระยะที่สองเป็นการนำกลยุทธ์ไปทดลองใช้แล้วประเมินประสิทธิผล โดยทดลองใช้กับคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ(พชอ.) จำนวน 21 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินสมรรถนะ แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติงานและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมโดยใช้สถิติทดสอบ Wilcoxon signed rank test
ผลการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นชาย (66.7%) อายุเฉลี่ย 41.90 ปี (SD = 8.78) และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี (57.1%) กลยุทธ์การพัฒนาคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอตามหลักการเรียนรู้เป็นทีมประกอบด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ การกำหนดเป้าหมายและวางแผนเรียนรู้ การเรียนรู้เป็นรายบุคคล การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และตัดสินใจ การประยุกต์ใช้ความรู้และกระบวนการเรียนรู้ไปใช้และการประเมินผล หรือ PISAE Model และหลังการพัฒนาคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ มีคะแนนการทำงานเป็นทีมเพิ่มขึ้น (p = 0.0001) และมีคะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นทีมค่อนข้างมาก (M =4.23,SD = 0.03) (95% CI = 4.16-4.29)
สรุปและข้อเสนอแนะ: ผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ากลยุทธ์การพัฒนาการทำงานเป็นทีมส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งกระบวนการและพฤติกรรมการเรียนรู้ทำงานเป็นทีม ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำกลยุทธ์ไปใช้ในการพัฒนากลุ่มเป้าหมายในพื้นที่
References
2. ประภัสร์ อ่อนฤทธิ์, รัชนี นิธากรและขวัญดาว แจ่มแจ้ง. การพัฒนากลยุทธ์การจัดทำแผนชุมชนของหมู่บ้านในจังหวัดกำแพงเพชร. การประชุมสัมมนาวิชาการนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนาชาติ เครือข่ายบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏภาคเหนือ ครั้งที่ 15. 23 กรกฎาคม 2558 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์.
3.ลำเทียน เผ้าอาจ .(2559). การทำงานเป็นทีมของข้าราชการครูในโรงเรียนขยายโอกาสอำเภอเมืองตราด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตราด. วิทยานิพนธ์หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา.
4. Cronbach, L. J. (1990). Essentials of psychological testing (5th ed.). New York: Harper Collins
Publishers. (pp.202-204)
5.สายพิน สีหรักษ์ .(2551). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามหลักการเรียนรู้เป็นทีมเพื่อเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้เป็นทีม และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิทยานิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน ภาควิชาหลักสูตร การสอนและเทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
6. เอกพงศ์ เกยงค์, ทวนทอง เชาวกีรติพงศ์ และกิตติพัทธ์ เอี่ยมรอด. การพัฒนากลยุทธ์การเสริมสร้างประสิทธิผลในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดสุโขทัย. วารสารมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม.13 (1): มกราคม–มิถุนายน 2562 ; 52-68.
7.วรางคณา ผลประเสริฐ .(2554). การจัดการเชิงกลยุทธ์ในโรงพยาบาล. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 58708 สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
8. Knowles, M.S.(1980). The modern practice of adult education: Andragogy versus pedagogy. Englewood Cliffs, N. J. : Prentice Hall/Cambridge.
9. สุรีย์ภรณ์ เลิศวัชรสกุล และสุทธิพร ชมพูศรี. การมีส่วนร่วมการขับเคลื่อนกระบวนการจัดการเครือข่ายสุขภาพระดับอำเภอ จังหวัดพะเยา . วารสารการพยาบาล การสาธารณสุขและการศึกษา. 15(3) : กันยายน- ธันวาคม 2557; 69-81
Downloads
เผยแพร่แล้ว
Versions
- 2022-03-15 (2)
- 2020-10-01 (1)
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 สันักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง