การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมเพื่อหารูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
คำสำคัญ:
การมีส่วนร่วม, รูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ : เพื่อหารูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด
รูปแบบการวิจัย : การศึกษาเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม
วัสดุและวิธีดำเนินการวิจัย : ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ทั้งชายและหญิง โรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 2,500 คน คำนวณขนาดตัวอย่างใช้สูตรของ Taro Yamane ได้จำนวน 345 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น และผู้มีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียน จำนวน 34 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหารวมทั้ง ความถูกต้อง และเหมาะสมของภาษาที่ใช้ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ทำการปรับแก้ไขความถูกต้องและตรวจสอบความสมบูรณ์ของเนื้อหาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำไปทดสอบหา ความเชื่อมั่น ของเครื่องมือกับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา จำนวน 30 ตัวอย่าง จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาค่าความเชื่อมั่น โดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบราค (cronbach’s alpha coefficient) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.84 ทำการเก็บข้อมูลระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2562 วิเคราะห์ข้อมูล โดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย : กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54.20 อายุ 15 ปี ร้อยละ 21.74 การศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ 21.76 สถานภาพสมรสของบิดาและมารดาอยู่ด้วยกัน ร้อยละ 93.91ปัจจุบันอาศัยอยู่กับบิดาและมารดา ร้อยละ 87.25 ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนเพียงพอ ร้อยละ 85.22 เดินทางมาโรงเรียนโดยบิดาและมารดามาส่ง ร้อยละ 42.03 อาชีพหลักของบิดาคือ อาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 64.06 อาชีพหลักของมารดาคืออาชีพหลักเกษตรกรรม ร้อยละ 56.52 และช่องทางการรับความรู้เรื่องการป้องกันการตั้งครรภ์ทางอินเตอร์เน็ตร้อยละ 73.62 กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการตั้งครรภ์ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 62.03 รองลงมามีความรู้อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 23.77 และมีความรู้อยู่ในระดับต่ำ ร้อยละ 14.20กลุ่มตัวอย่างตอบถูกมากที่สุด 3 อันดับแรกคือ การคุมกำเนิดแบบใดที่สะดวกและปลอดภัยมากที่สุด ตอบถูก ร้อยละ 82.03 การคุมกำเนิดชนิดใดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์และป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ ตอบถูกร้อยละ 80.58 และข้อใดเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น ตอบถูกร้อยละ79.71 กลุ่มตัวอย่างมีเจตคติในการป้องกันการตั้งครรภ์ อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 57.10 รองลงมา อยู่ในระดับดี ร้อยละ 26.67 และอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 16.23 กลุ่มตัวอย่างมีเจตคติที่ถูกต้อง มากที่สุด 3 อันดับแรกคือ การป้องกันการตั้งครรภ์ที่ดีที่สุด คือการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ ร้อยละ 75.07 หากต้องการคำแนะนำในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ถูกวิธีและเหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ หรือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร้อยละ 71.01 และการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันเพียงครั้งเดียว อาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ ร้อยละ 68.41 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา มีดังนี้ 1) ที่พักอาศัยระหว่างการเรียนหนังสือ 2) การดื่มสุรา 3) การคบเพื่อน 4) สื่อมวลชน 5) ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ 6) เจตคติเกี่ยวกับเรื่องเพศ
สรุปและข้อเสนอแนะ : รูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ ในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด พบว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาการมีเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรในนักเรียน ต้องอาศัยความร่วมมือ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ได้แก่ ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ในการดำเนินกิจกรรม ดังนี้ 1) ในสถานศึกษา ควรมีการดำเนินการ ดังนี้ 1.1) สร้างเสริมความรู้ และปรับเปลี่ยนเจตคติที่ดี ด้านเพศศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา โดยการให้ความสำคัญต่อจัดการเรียน การสอนด้านเพศศึกษาเพิ่มขึ้น และจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่าง ผู้ปกครอง สถานศึกษา และชุมชนเพื่อสร้างความเข้าใจ และทำให้เกิดแรงสนับสนุนในชุมชนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียน 1.2) เสริมสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักเรียนกับนักเรียน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การสร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ การเข้าใจ ความสามัคคี สร้างความรู้สึกเสมือนเป็นญาติ พี่น้องกัน การฝึกทักษะให้เด็กรู้จักจัดการปัญหาและควบคุมอารมณ์ตนเองในเรื่องเพศ 1.3) เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูกับเด็กนักเรียน การเสริมสร้างการสื่อสารแบบ 2 ทาง ระหว่างครูกับเด็ก และครูควรมีทักษะในการประเมินสภาวะเด็ก ประเมินความต้องการของเด็ก มีความรู้และทักษะในการแทรกแซงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาทางเพศของเด็ก ทักษะในการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น และจัดการแก้ไขปัญหาเรื่องเพศแก่เด็กได้ 1.4) สถานศึกษา เปิดให้นักเรียนเข้าออกเป็นเวลา เปิดประตูโรงเรียน 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเช้าตอนเข้าเรียน และช่วงเย็นตอนเลิกเรียน และไม่ให้เด็กออกนอกบริเวณโรงเรียนในช่วงระหว่างทำการเรียนการสอน 1.5) สร้างเสริมความรู้ และปรับเปลี่ยนเจตคติที่ดี ในการใช้สื่ออินเตอร์เน็ตอย่างสร้างสรรค์ด้านเพศศึกษาในนักเรียน 2) ในครอบครัว ควรมีการดำเนินการ ดังนี้ 2.1) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปกครองมีความรู้ ความเข้าใจและมีเจตคติที่ดี ในเรื่องเพศ และสามารถสื่อสารกับลูกเรื่องเพศ พร้อมทั้งสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสารในครอบครัว 2.2) ผู้ปกครอง เฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ของบุตรหลาน อย่างใกล้ชิด สม่ำเสมอ 2.3) ผู้ปกครอง สร้างกิจกรรมการเรียนรู้ คู่คุณธรรมในครอบครัวผ่านกิจกิจกรรมการทำบุญตักบาตรตอนเช้า การเข้าร่วมกิจกรรมตามประเพณี การเข้าวัดฟังธรรม การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เช่น การปลูกต้นไม้ การออกกำลังกาย 2.4) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานที่พักในหอพักหรือบ้านเช่า ให้กลับมาพักอาศัยอยู่กับตนเองหรือเครือญาติในช่วงเวลาระหว่างทำการศึกษาเล่าเรียน 3) ในชุมชน ควรมีการดำเนินการ ดังนี้ 3.1) เฝ้าระวังกลุ่มพฤติกรรมเสี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในชุมชน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่จับกลุ่มมั่วสุมดื่มสุราในชุมชน 3.2) เฝ้าระวังร้านค้าในชุมชน ในเรื่องการไม่จำหน่ายสุราให้แก่เด็กต่ำกว่า 20 ปี การไม่แบ่งขายสุรา และการไม่ตั้งแสดงสุราอย่างเปิดเผย เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการเสพสุราและการมีเพศสัมพันธ์ขณะมึนเมา 3.3) ผู้นำชุมชน ประชาสัมพันธ์เสริมสร้างความรู้ สร้างความตระหนักในการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียน ให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบ ผ่านหอกระจายข่าวชุมชนทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นการเน้นย้ำความสำคัญของปัญหาที่จะเกิดขึ้นถ้าหากเกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในนักเรียน ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) โรงเรียน ครอบครัว และชุมชน ควรมีการประสานความร่วมมือกัน เพื่อดูแลเด็กนักเรียนอย่างใกล้ชิด สม่ำเสมอ โรงเรียนควรมีการจัดจัดกิจกรรมสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู นักเรียนและผู้ปกครอง เพื่อป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศและปัญหาการตั้งครรภ์ในนักเรียน 2) โรงเรียน ควรมีการจัดกิจกรรมรณรงค์สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ในเรื่องการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศและการป้องกันการตั้งครรภ์ ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องปัญหาทางเพศ สร้างเสริมให้รู้จักคิดและปฏิบัติตน เพื่อการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง เหมาะสม เกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป คือ 1) ควรมีการศึกษารูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์ ตำบลเกษตรวิสัย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ในนักเรียนทุกคน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของข้อมูลในการสร้างรูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียนให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 2) ควรมีการศึกษารูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ ในนักเรียนระดับประถมศึกษา เพื่อวางแนวทาง/รูปแบบการป้องกันการตั้งครรภ์ในนักเรียน ให้สอดคล้องสัมพันธ์กันในทุกระดับการศึกษา
References
สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล, วิทยา ถิฐาพันธ์ และคณะ. การตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการ;วิกฤติเวชปฏิบัติปริกำเนิด. กรุงเทพฯ :พี.เอ.ลีฟวิ่ง; 2555.
อรพินธ์ เจริญผล. การตั้งครรภ์ที่ไม่ต้องการ; วิกฤติเวชปฏิบัติปริกำเนิด. กรุงเทพฯ:พี.เอ.ลีฟวิ่ง; 2555.
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร. สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. สภาวะการมีบุตรของวัยรุ่นไทย พ.ศ. 2554. กรุงเทพฯ: สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์; 2555.
วัลยา ธรรมพนิชวัฒน์. เพศศึกษาสำหรับวัยรุ่นไทย. วารสารสภาการพยาบาล. 2553;25(4):5-9.
สร้อย อนุสรณ์ธีรกุล, สุรนาท ขมะณะรงค์. ปัจจัยทำนายการใช้บริการอนามัยการเจริญพันธุ์ของวัยรุ่นที่ไม่ได้วางแผนการตั้งครรภ์. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์. 2551;31(1):133-38.
เบญจพร ปัญญายง. การทบทวนองค์ความรู้ : การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข; 2553.
สุมาลัย นิธิสมบัติ. การตั้งครรภ์ของมารดาวัยรุ่น[วิทยานิพนธ์]. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่; 2553.
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด. รายงานผลการดำเนินงานประจำปี. ร้อยเอ็ด: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด; 2562.
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเกษตรวิสัย.รายงานผลการดำเนินงานประจำปี. ร้อยเอ็ด: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ; 2562.
โรงเรียนจันทรุเบกษาอนุสรณ์. รายงานสถิตินักเรียนตั้งครรภ์ในโรงเรียน. ร้อยเอ็ด. โรงเรียน; 2562.
นิธิพงศ์ ศรีเบญจมาศ, กิ่งแก้ว สำรวยรื่น, อนงค์นาฏ คงประชา และอรษา ภูเจริญ. ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ของนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก. รายงานสืบเนื่องการประชุมวิชาการระดับชาติ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ครั้งที่ 3. กำแพงเพชร: มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร; 2559. หน้า 260-272.
วิลาวรรณ ชิณวงศ์. ความรู้และเจตคติเกี่ยวกับการป้องกันการตั้งครรภ์ของนักเรียนมัธยมศึกษาโรงเรียนไผ่งามพิทยาคม ตำบลไผ่ อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ [วิทยานิพนธ์]. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2554.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
Versions
- 2022-03-15 (3)
- 2022-03-15 (2)
- 2020-10-01 (1)
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด
บทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารวิจัย และพัฒนานวัตกรรมทางสุขภาพ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ถือเป็น ผลงานวิชาการ งานวิจัย วิเคราะห์ ตลอดจนเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการไม่จําเป็นต้องเห็น ด้วยเสมอไป และผู้ประพันธ์จะต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง