ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพ ของผู้สูงอายุ จังหวัดสกลนคร
คำสำคัญ:
โปรแกรม, การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ, พฤติกรรมสุขภาพ, ผู้สูงอายุบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi - Experimental Research) แบบกลุ่มเดียว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 60-69 ปี ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร จำนวน 108 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ โปรแกรมการพัฒนาส่งเสริมความรอบรู้ 3อ. 2ส. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม ระยะเวลาในการวิจัย 12 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired Sample t-test
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 53.70 ระดับการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 44.44 สถานสมรสและคู่สมรสอาศัยด้วยกัน ร้อยละ 71.30 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 98.15 ประกอบอาชีพเกษตรกร ร้อยละ 60.19 รายได้โดยเฉลี่ย 5,732.41±7,457.01 บาท ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 71.30 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ใช้สิทธิการรักษาร้อยละ 81.48 ด้วยบัตรทอง 30 บาท ผลของการดำเนินโปรแกรมการพัฒนาการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ พบว่าระดับความรอบรู้สุขภาพแต่ละด้านเพิ่มสูงขึ้น มีค่าสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (P-value < 0.05) และระดับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองภายหลัง (M=27.63, SD=3.26) มีค่าสูงกว่าก่อนการทดลอง (M=25.26, SD=3.88) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ (P-value < 0.001) โปรแกรมที่ใช้ในการศึกษานี้สามารถนำไปพัฒนาเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุที่ดีในชุมชนได้
เอกสารอ้างอิง
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. รายงานสถิติจำนวนประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยปี 2022. กรุงเทพฯ: สำนักงานสถิติแห่งชาติ; 2022.
กรมกิจการผู้สูงอายุ, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2561 [อินเทอร์เน็ต]. 2562 [เข้าถึงเมื่อ 28 มกราคม 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://www.dop.go.th/download/knowledge/th1550973505-153_0.pdf
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. รายงานสถานการณ์ประชากรผู้สูงอายุ จังหวัดสกลนคร พ.ศ. 2564 [อินเทอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 28 มกราคม 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://sakonnk.nso.go.th/images/ebook/67Elderly%20Sakon%20Nakhon.pdf
World Health Organization. Noncommunicable diseases [Internet]. 2020 [cited 2024 Dec 12]. Available from: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/ noncommunicable-diseases
Centers for Disease Control and Prevention. Chronic diseases and conditions [Internet]. 2021 [cited 2024 Dec 12]. Available from: https://www.cdc.gov/chronicdisease/index.htm
Smith SM, Wallace E, O'Dowd T, Fortin M. Interventions for improving outcomes in patients with multimorbidity in primary care and community settings. Cochrane Database Syst Rev. 2016;3(3).
Sørensen K, Van den Broucke S, Fullam J, et al. Health literacy and public health: A systematic review and integration of definitions and models. BMC Public Health. 2015;15:158.
Baker DW, Parker RM, Williams MV, et al. The health literacy skills of US adults. JAMA. 1999;281(6):545-52.
Huston SA, Fenton JI, McCaffrey R, et al. Health literacy, self-care behaviors, and health outcomes in patients with chronic conditions. The Journal of Nursing Research. 2020;28(4):e68.
กรมอนามัย. โครงการเสริมสร้างความรอบรู้ทางสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ. กระทรวงสาธารณสุข. [อินเทอร์เน็ต]. 2563 [เข้าถึงเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2567]. เข้าถึงได้จาก: [เว็บไซต์]. เข้าถึงได้จาก: https://www.doh.go.th
กองสุขศึกษา, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, กระทรวงสาธารณสุข. การเสริมสร้างและประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ กลุ่มเด็กวัยเรียน กลุ่มวัยทำงาน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษัทนิวธรรมดารการพิมพ์ (ประเทศไทย) จำกัด; 2559.
จิราพร เกศพิชญวัฒนา, สุวิณี วิวัฒน์วานิช, ชาตินัย หวานวาจา. ความรอบรู้ทางสุขภาพของผู้สูงอายุในชมรม/ศูนย์เรียนรู้ผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร. วารสารประชากรศาสตร์. 2563;36(2):41-55.
ภมร ดรุณ, ประกันชัย ไกรรัตน์. ปัจจัยความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนจังหวัดบึงกาฬ. วารสารวิชาการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. 2562;15(3):71-82.
อารีย์ แร่ทอง. ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ 3อ. 2ส. ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กรณีศึกษา ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช. วารสารวิชาการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. 2562;15(3):69-70.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
บทความนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย ผลการวิเคราะห์ตลอดจนข้อเสนอแนะเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น หรือกองบรรณาธิการแต่อย่างใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง
