วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7 <p><strong>วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น </strong>กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นวารสารวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม และบทความที่ตอบรับการตีพิมพ์บทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกเป็นผู้ประเมินบทความ จำนวน 3 ท่านต่อบทความ โดยมีการไม่เปิดเผยรายชื่อผู้เขียนบทความและผู้ทรงคุณวุฒิ มีกำหนดตีพิมพ์ออกทุก 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม เป็นวารสารที่ตีพิมพ์เนื้อหาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทางการแพทย์ และอนามัยสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้</p> <p>1. เผยแพร่ความรู้วารสารวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม</p> <p>2. เผยแพร่ผลงานทางวิชาการและงานวิจัยของแพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และทีมสหสาขาวิชาชีพ รวมทั้งงานวิจัยด้านการศึกษาและด้านการสอน ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งในศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น และเครือข่ายวิชาการด้านสาธารณสุข ทั้งในและนอกเขตสุขภาพที่ 7 และผู้สนใจ </p> <p>3. พัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการวิจัยด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง</p> <p>4. เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ข้อคิดเห็น ข่าวสาร และเป็นสื่อสัมพันธ์ในวงการการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่รับผิดชอบ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ </strong>เมื่อบทความที่ลงทะเบียนผ่านการพิจารณากลั่นกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการโดยมีรูปแบบการพิมพ์ ขอบเขตเนื้อหา รวมถึงความเหมาะสมตามเกณฑ์คุณภาพของวารสารแล้ว</p> <ul> <li>ผู้นิพนธ์ภายนอกศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ในอัตรา 3,500 บาท ต่อ 1 บทความ</li> <li>ผู้นิพนธ์ภายในศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ได้รับการยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</li> </ul> <p>ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์ภายนอกไม่สามารถขอคืนเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้ภายหลังการชำระเงินแล้ว ซึ่งจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ตั้งแต่ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2566) เป็นต้นไป</p> <p>หมายเหตุ : กรณีที่มีรายชื่อผู้นิพนธ์หลายคน ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรทั้งภายในและภายนอกศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น กองบรรณาธิการถือชื่อผู้นิพนธ์อันดับแรกเป็นสำคัญ และการพิจารณาจากกองบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด</p> ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น th-TH วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2985-0134 <p>บทความนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย ผลการวิเคราะห์ตลอดจน<span style="font-size: 0.875rem;">ข้อเสนอแนะ</span><span style="font-size: 0.875rem;">เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น หรือกองบรรณาธิการแต่อย่างใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง</span></p> การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงชนิด Diabetic ketoacidosis (DKA) : กรณีศึกษา ในหอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/268760 <p>การศึกษาแบบรายกรณี (Case study) ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระบวนการ พยาบาลในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงชนิด Diabetic ketoacidosis (DKA) และเป็นแนวทางในการวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ชนิด DKA จำนวน 2 รายที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนักอายุรกรรม 4 โรงพยาบาลขอนแก่น ระหว่าง กันยายน 2565- ธันวาคม 2566 ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกต การสอบถาม ผู้ป่วยและญาติ เก็บรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วยใน เปรียบเทียบอาการ อาการแสดง การรักษา โดยศึกษาการดูแลรักษาเพื่อให้พ้นระยะวิกฤติ ผลการศึกษาพบว่าผู้ป่วยทั้ง 2 รายมีปัญหาสุขภาพเพื่อให้การพยาบาลที่คล้ายกันคือ 1) มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจากการขาดประสิทธิภาพการทำงานของอินชูลินในร่างกายและมี ภาวะเลือดเป็นกรด 2) มีภาวะไม่สมดุของน้ำและเกลือแร่เนื่องจากมีการขับปัสสาวะมากผิดปกติ 3) เสี่ยงต่อการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจากการได้รับยาลดระดับน้ำตาล 4) เสี่ยงต่อภาวะพร่อง ออกซิเจนจากประสิทธิภาพการแลกเปลี่ยนก๊าซลดลงเนื่องจากการมีกรดในร่างกาย 5) แบบแผน การไอขับเสมหะไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากใส่ท่อช่วยหายใจ 6) เสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร เนื่องจากได้รับพลังงานไม่เพียงพอ 7) ไม่สามารถสื่อสารทางวาจาเนื่องจากคาท่อหลอดลมคอ 8) ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองลดลงเนื่องจากเจ็บป่วยวิกฤต 9) ผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับ การเจ็บป่วย 10) แบบแผนการดำรงกิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเจ็บป่วยวิกฤต ดังนั้นกระบวนการพยาบาลที่สำคัญในระยะนี้คือ 1. การดูแลให้ได้รับอินซูลินฉีดเข้าสู่ร่างกาย 2. การดูแลให้สารน้ำทดแทนอย่างเพียงพอ 3. การเฝ้าระวังภาวะแทรก เช่น ภาวะขาดน้ำ, electro- lyte imbalance เป็นต้น หากผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น</p> ศิริพร วรรณศรีเมือง Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 1 16 ความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการบริโภคผักและผลไม้กับระดับโคลีนเอสเตอเรสในเลือด ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ ตำบลสำราญ อำเาเมื่อเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/268494 <p>การจัยนี้เป็นแบบชิงพรรมนาภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาควมสัมทันทันทว่างหว่างหวามรู้ ทัศษคคิ และพฤติกรรมการบริโภคผักและผลไม้กับระดับโคลีนเอสเตอเรสในเลือดของหญิงวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางและสามารถได้รับสารเคมีกำจัดศัตรูพืชจากการบริโภค การได้ รับสารกำจัดศัตรูพืชสามารถส่งผลต่อร่างกาย เช่น ระบบประสาท ระบบสืบพันธุ์ และระบบหัวใจ และหลอดเลือด กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ จำนวน 44 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรม และกระดาษทดสอบโคลีนเอสเตอเรส วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ Chi-square และ Fisher's exact test กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ย 27.18 ปี (5.D.=3.75) จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นสูง ปวส. และปริญญาตรีหรือสูงกว่า ร้อยละ 25.0 เท่ากัน อาชีพส่วนใหญ่เป็นพนักงาน ลูกจ้าง เอกชน ร้อยละ 34.1 ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 97.7 พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความรู้อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 68.2 รองลงมา คือ ระดับปานกลาง ร้อยละ 31.8 ส่วนใหญ่ ร้อยละ 81.8 มีทัศนคติอยู่ในระดับสูง รองลงมา คือ ระดับปานกลาง ร้อยละ 18.2 และส่วนใหญ่มีพฤติกรรมอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 68.2 รองลงมา คือ ระดับปานกลาง ร้อยละ 29.5 นอกจากนี้ ยังพบว่าความรู้ทัศนคติและพฤติกรรม การบริโภคผักและผลไม้มีแนวโน้มความสัมพันธ์กับระดับโคลีนเอสเตอเรสในเลือด ข้อมูลที่ได้ จากการศึกษาสามารถใช้วางแผนเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีใน กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ได้</p> ภานุวัฒน์ ศรีโยธา สุดารัตน์ สถานพงษ์ ศศิธร ชมสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 17 31 ความรู้และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีทำความสะอาดห้องน้ำของพนักงานทำความสะอาด ห้างสรรพสินค้าในอำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/268495 <p>พนักงานทำความสะอาดมีโอกาสสัมผัสสารเคมีจากผลิตภัณฑ์สารเคมีทำความสะอาดห้องน้ำมากกว่าบุคคลทั่วไป ถึงแม้บริษัททำความสะอาดมีการชี้แจงเกี่ยวกับวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ อันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ และการป้องกันอย่างถูกต้อง และพนักงานมีระดับความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีทำความสะอาดห้องน้ำในระดับมาก แต่ไม่อาจสรุปได้ว่ามีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเสมอไป การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีทำความสะอาดห้องน้ำ และหาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีทำความสะอาดห้องน้ำ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 46 คน ถูกเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) ข้อมูลถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ามัธยฐาน ค่าสูงสุดและค่าต่ำสุด และสถิติ Fisher’s Exact Test ในการหาค่าความสัมพันธ์ ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 84.78 อายุเฉลี่ย 46.15 ปี (S.D. = 10.55) ได้รับคำชี้แจง หรือแนะนำ เกี่ยวกับวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ อันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ และการป้องกันอย่างถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 97.80 ระดับความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 95.70 และระดับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ในภาพรวม อยู่ในระดับปฏิบัติระดับมาก คิดเป็นร้อยละ 87.00 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ และพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมีทำความสะอาดห้องน้ำ พบว่าระดับความรู้ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์สารเคมี (p-value = 0.246)</p> ภานุวัฒน์ ศรีโยธา ธนดา สิทธิจันทร์เสน นถชนต์ ไชยหงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 32 46 ความพึงพอใจต่อคุณภาพน้ำประปาของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/268827 <p>การผลิตน้ำประปาหมู่บ้านถึงแม้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำ แต่ก็พบปัญหาน้ำไม่ได้มาตรฐาน อาจจะเนื่องจากประสิทธิภาพของผู้ดำเนินระบบ การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพน้ำประปา กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือเจ้าหน้าที่ดูแล น้ำประปาทั้งหมดและประชาชนที่อาศัยในหมู่บ้าน ใช้วิธีแบบเจาะจง 50 คน เก็บข้อมูลจาก แบบบันทึกกระบวนการผลิตน้ำประปา และแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้น้ำประปา สถิติที่วิเคราะห์คือ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุดและค่าสูงสุด ผลการวิจัย พบว่าปริมาณคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำประปาปลายท่อ 50 หลังคาเรือน มีค่าน้อยกว่า 0.2 pprn ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน และข้อมูลจากแบบสอบถามพบว่า ส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง ร้อยละ 72 อายุเฉลี่ยคือ 47.96 ปี (5.D.= 9.90) ความพึงพอใจในกลิ่นของน้ำประปา ระดับดีมากค่าเฉลี่ย 4.52 (5.D = 0.54) รองลงมามีความพึงพอใจระดับดี คือ ความใส ค่าเฉลี่ย 3.96 (5.D. = 0.75) ความพอเพียง ค่าเฉลี่ย 3.92 (S.D. = 0.72) สีของน้ำ (ไม่มีสี) ค่าเฉลี่ย 3.60 (S.D. = 0.60) และความสะอาด ค่าเฉลีย 3.56 (S.D. = 0.73) พารามิเตอร์ที่ได้ความพึงพอใจ ในระดับปานกลาง คือ การไหลของน้ำประปา ค่าเฉลี่ย 3.04 (5.D. = 0.78) มีเจ้าหน้าที่ดูแลระบบบ ประปาทั้งหมด 3 คน อายุอยู่ในช่วง 50 - 55 ปี มีประสบการณ์ทำงานด้านการผลิตน้ำประปา อยู่ในช่วง 1 - 4 ปี ทั้งหมดไม่เคยผ่านการอบรมเรื่องระบบน้ำ และคุณภาพน้ำไม่เคยผ่านการตรวจ ประเมินคุณภาพของน้ำประปา</p> ภานุวัฒน์ ศรีโยธา ศตพร โคตรสมบัติ ณัฏฐณิชา ศรีมาตย์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 47 58 ผลของโปรแกรมความรู้การป้องกันภาวะโลหิตจางในผู้ปกครองเด็กอายุ 6 เดือน https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/268558 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบสองกลุ่มทดสอบก่อน-หลัง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมความรู้การป้องกันภาวะโลหิตจางในผู้ปกครองเด็กอายุ 6 เดือน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ปกครองเด็กอายุ 6-9 เดือน ที่มารับบริการในคลินิกตรวจสุขภาพเด็กดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ระหว่างเดือน ตุลาคม 2566 – มกราคม 2567 จำนวน 66 ราย โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมความรู้การป้องกันภาวะโลหิตจางในผู้ปกครองเด็กอายุ 6 เดือนเป็นเวลา 12 สัปดาห์ วัดความรู้ พฤติกรรมการให้ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางในผู้ปกครองเด็ก และระดับฮีมาโตคริตของเด็กอายุ 9 เดือนของกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองประกอบด้วยสื่อ วีดีทัศน์ สื่ออินโฟกราฟ แบบบันทึกการลงข้อมูลการให้ยา ส่งความรู้ผ่านทางแอพพลิเคชันไลน์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความรู้ พฤติกรรมการให้ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางในผู้ปกครองเด็กอายุ 6 เดือน และผลการตรวจคัดกรองภาวะโลหิตจางของเด็กอายุ 9 เดือน ผลการทดลองพบว่า ภายหลังได้รับโปรแกรมผู้ปกครองกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้และคะแนนพฤติกรรมการให้ยาน้ำเสริมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 การตรวจคัดกรองภาวะโลหิตจางของเด็กอายุ 9 เดือน กลุ่มทดลองมีระดับฮีมาโตคริตมากกว่าเท่ากับ 33 % สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ P-value .215</p> อนงค์พรรณ ฉลาดสกุล กาญจนี เพชรบ่อทอง Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 59 74 คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงที่มารักษา ณ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/269898 <p>การดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงเป็นบทบาทที่สำคัญของผู้ดูแลที่ต้องให้การดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงที่มารักษาที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากรคือผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงที่มารักษาที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ขนาดตัวอย่าง 100 คน สุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบสอบถามคุณภาพชีวิตผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีภาวะความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงซึ่งมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงที่มารักษาที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในระดับปานกลาง (x ̅ = 94.05, S.D.= 9.82) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านสุขภาพจิตมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ในระดับคุณภาพชีวิตที่ดี (x ̅ = 23.15, S.D.= 3.05) ด้านสุขภาพกาย (x ̅=25.11, S.D.=3.36) ด้านสัมพันธภาพทางสังคม (x ̅=10.70, S.D.=1.66) และด้านสิ่งแวดล้อม (x ̅=27.97, S.D.=3.69) อยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้นควรส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีความดันหลอดเลือดแดงปอดสูงในเรื่องสุขภาพกาย สัมพันธภาพทางสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ผู้ดูแลดังกล่าวมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> ศรันยา ดวงเดือน สีหะพงษ์ เพชรรัตน์ รัชนิดา เบ้าบุญ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 75 87 ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด - 6 เดือน ของผู้ดูแลหลัก ในคลินิกตรวจสุขภาพเด็กดี ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/268474 <p>วิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน ของผู้ดูแลหลักในคลินิกตรวจสุขภาพเด็กดี ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน เลือกแบบเฉพาะเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด จำนวน 60 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 30 รายและกลุ่มทดลอง 30 ราย โดยกลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง คือ โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือนโดยเก็บข้อมูลในช่วงเริ่มต้นและหลังเข้าร่วมโปรแกรม 2 เดือน เปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติ Paired t-test และเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยใช้สถิติ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่าภายหลังได้รับโปรแกรมกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพในการดูแลเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือนสูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพช่วยให้ผู้ดูแลหลักมีความรอบรู้ด้านสุขภาพในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือนเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงควรนำโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการให้ความรู้แก่ผู้ดูแลเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> เดือนเพ็ญ ทองป้อง ปทิตตา เดชโยธิน Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 88 104 ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในบริบทชุมชนกึ่งเมือง https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/269403 <p>การศึกษาเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในบริบทชุมชนกึ่งเมือง จำนวน 210 คนโดยวิธีสุ่ม เครื่องมือวิจัยที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป แบบประเมินความรู้ การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้ความสามารถแห่งตน ทัศนคติ พฤติกรรมจิตบริการ และความสามารถของ อสม.ในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในบริบทชุมชนกึ่งเมือง มีค่าเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของ ครอนบาค เท่ากับ 0.78 – 1 ความตรงเชิงเนื้อหา(Content Validity) 0.90– 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติถดถอยพหุคูณโลจิสติก ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.)ในบริบทชุมชนกึ่งเมือง มี 5 ปัจจัย คือ อายุ≥ 60 ปี(OR<sub>adj</sub>=2.56 95%CI: 1.320-4.960) ประกอบอาชีพ(OR<sub>adj</sub>=2.21 95%CI: 1.030-4.710)การได้รับความรู้จากทีมสุขภาพ(OR<sub>adj</sub>=2.21, 95%CI: 1.030-4.710)การรับรู้ความสามารถในการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุระดับสูง(OR<sub>adj</sub>=3.44, 95% CI: 1.540-7.690)และพฤติกรรมจิตบริการระดับสูง(OR<sub>adj</sub>= 2.78, 95% CI: 1.340-5.780)จากผลการศึกษาครั้งนี้ ควรพัฒนาศักยภาพความสามารถในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุของอสม.ในบริบทชุมชนกึ่งเมือง ด้วยกลวิธีสร้างการรับรู้ความสามารถแห่งตน ส่งเสริมพฤติกรรมจิตบริการ และการคำนึงถึงบริบทของ อสม.ในพื้นที่ ในการศึกษาครั้งต่อไป</p> ศรีสุดา ลุนพุฒิ นวลละออง ทองโคตร น้ำทิพย์ ไพคำนาม Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 105 118 สถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพของ หญิงวัยเจริญพันธุ์ในประเทศไทย ปี 2566 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/270536 <p>ความรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นทักษะทางปัญญาและสังคมของหญิงวัยเจริญพันธุ์ในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อตัดสินใจดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีต่อผลกระทบต่อสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อมของหญิงวัยเจริญพันธุ์ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ด้านสุขภาพหญิงวัยเจริญพันธุ์ของประเทศไทยวิธีการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (Cross-sectional analytical study) โดยเลือกครัวเรือนด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบขั้นลำดับสามระดับ โดยมีกลุ่มตัวอย่างรวม 1,777 ราย ด้วยเครื่องมือแบบสำรวจ 17 ข้อคำถาม ปัจจัยที่นำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ประกอบด้วยระดับการศึกษา อาชีพหลัก ความเพียงพอของรายได้ เขตที่อยู่อาศัย การอ่าน การเขียน สถานะสุขภาพ สิทธิการรักษาพยาบาล ความถี่ของการใช้อินเตอร์เน็ต และช่องทางการรับข้อมูลข่าวสาร ผลการศึกษา พบว่า ร้อยละ 83.5. ของหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่อายุช่วง 20-35 ปีขึ้นไป มีความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ระดับเพียงพอ สำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ ได้แก่ การศึกษา ความเพียงพอของรายได้ ความสามารถในการอ่าน การเขียน สถานสุขภาพ สิทธิการรักษาพยาบาล ความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(P-value &lt; 0.05) จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า หญิงวัยเจริญพันธุ์ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพียงพอดังนั้นในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ควรให้ความสำคัญกับความแตกต่างของกลุ่มเป้าหมาย สำหรับการเสริมสร้างทักษะความรอบรู้ด้านสุขภาพของหน่วยงานต่างๆในการส่งเสริมการอ่านและการสืบค้นข้อมูลเพื่อหาคำตอบด้วยตนเองจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้นอกจากหน่วยงานที่ดูแลการสร้างเสริมสุขภาพให้เกิดทักษะการปฏิบัติที่จำเป็นในการดูแลสุขภาพหญิงวัยเจริญพันธุ์นั้นต้องออกแบบให้เจาะจงกับบริบทของกลุ่มเพื่อจะมีพฤติกรรมอนามัยเจริญพันธุ์ที่พึงประสงค์ต่อไป</p> กรรณิการ์ มณีวรรณ สายชล คล้อยเอี่ยม กิ่งพิกุล ชำนาญคง อุทัยวรรณ หมีไพรพฤกษ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 119 132 การขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เป็นองค์กรรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literate Organization) ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/269873 <p>การวิจัยเชิงพรรณนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลลัพธ์การดำเนินงานองค์กรรอบรู้ด้านสุขภาพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ทำการศึกษาระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึง 30 กันยายน 2562 ผลการศึกษา จากการประเมินตนเองทุกองค์ประกอบขององค์กรรอบรู้ด้านสุขภาพ ผลลัพธ์การดำเนินงานอยู่ที่ระดับร้อยละ 80.0 ขึ้นไป ผลการประเมินรายด้าน พบว่า 1) ด้านผู้นำองค์กรมีการกำหนดนโยบายเรื่องความรอบรู้ด้านสุขภาพชัดเจน 2) ด้านบุคลากร ได้รับการพัฒนาด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพทั่งทั้งองค์กร สามารถกำกับ ติดตามเฝ้าระวังเพื่อยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพของตนเองและกลุ่มเป้าหมายที่ตนเองรับผิดชอบได้ บุคลากรให้บริการข้อมูลสุขภาพสู่ประชาชน เน้นการเข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้บริการ เกิดความสะดวก รวดเร็ว และ3) ด้านสภาพแวดล้อมภายในองค์กร มีการจัดทำป้ายสัญลักษณ์จุดให้บริการชัดเจน การจัดทำป้ายชื่อบุคลากรให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อการบริการส่งเสริมสุขภาพทั่วทั้งองค์กร สรุปผลจากการขับเคลื่อนงานองค์กรรอบรู้ด้านสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ มีผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ การนำองค์กรการวางแผนและพัฒนาบุคลากร และให้ความสำคัญกับข้อมูลและการสื่อสาร ที่มุ่งเน้นให้ผู้รับบริการเกิดการ เข้าถึงเข้าใจ และนำข้อมูลไปใช้ในการดูแลตนเองเพื่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชน ตามแนวทางขององค์กรรอบรู้ด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน</p> ประทุม โพธิจินดา Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 133 148 ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพวัยรุ่นต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมเขตสุขภาพที่ 7 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/269420 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพวัยรุ่นต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมเขตสุขภาพที่ 7 กลุ่มตัวอย่าง คือ วัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปี ทั้งเพศชายและเพศหญิงที่ศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลหรือโรงเรียนเอกชนในเขตสุขภาพที่ 7 แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 80 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมฯ 12 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบไม่ได้รับโปรแกรมดังกล่าว ผลการศึกษาหลังการเข้าร่วมโปรแกรม พบว่า 1) ด้านการคุมกำเนิดกลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(95% CI = 1.81 – 2.83; p-value&lt;0.001) 2) ด้านการเข้าถึงข้อมูลสิทธิ์ของวัยรุ่นตาม พรบ. ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 กลุ่มทดลองมีคะแนนการรับรู้มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(95% CI = 10.27–16.94; p-value=0.001) 3) ด้านการรับข้อมูลข่าวสารและรู้เท่าทันสื่อ เพื่อเข้าถึงบริการทางการแพทย์และเครือข่ายส่งต่อการยุติการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยในเขตสุขภาพที่ 7 กลุ่มทดลอง มีคะแนนการรับรู้มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI=0.62–6.99; p-value=0.020) 4) ด้านทักษะการตัดสินใจในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม กลุ่มทดลองมีคะแนนความรอบรู้มากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI = 1.81 – 2.83; p-value=0.001) และ 5) ด้านพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร กลุ่มทดลองมีคะแนนมากกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (95% CI = 10.27–16.94; p-value&lt;0.001) โดยสรุปผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมฯ สามารถเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพวัยรุ่นต่อ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อมได้ ดังนั้น จึงควรนำไปประยุกต์ใช้ในวัยรุ่นกลุ่มอื่นๆ</p> มเหศักดิ์ ภูริวัฒน์ภากร แพรวทิพฑ์ สุธีรประเสริฐ ธัญลักษณ์ วัฒน์ศิริธรรม Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 149 162 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุโดยเครือข่ายชุมชนบ้านแก ตำบลโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/270671 <p>การศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุโดยเครือข่ายชุมชนบ้านแก ตำบลโนนศิลา อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้สูงอายุ จำนวน 61 คน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปแบบการดูแลช่องปากผู้สูงอายุในพื้นที่ จำนวน 26 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม แบบบันทึกการตรวจสุขภาพช่องปาก แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบสังเกต และแบบนิเทศติดตาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายูโดยเครือข่ายชุมชนในครั้งนี้ ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาบริบท วิเคราะห์สภาพปัญหา 2) ประชุมเชิงปฏิบัติการ 3) ทำแผนปฏิบัติการ 4) ปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ 5) นิเทศติดตาม 6) สรุป ปัญหา อุปสรรคในการดำเนินงานและวางแผนในการแก้ไขปัญหา ผลการดำเนินงานหลังการพัฒนา พบว่า ผู้สูงอายุมีความรู้ในการดูแลสุขภาพช่องปากเพิ่มขึ้นและมีการปฏิบัติตัวในการดูแลสุขภาพช่องปากดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ คือ ภาคีเครือข่าย กล่าวคือการได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจะทำให้เกิดการดำเนินกระบวนการพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุในระยะยาวและเกิดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่จะเป็นแกนนำหลักในการดำเนินกิจกรรมเชิงรุกร่วมกับทีมและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ได้อย่างใกล้ชิด</p> นิลุบล นันดิลก เขมิกา สมบัติโยธา จารุวรรณ วิโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 163 176 ปัจจัยทางการบริหารและสุนทรียทักษะผู้นำที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน ตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินของเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ในโรงพยาบาล จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/270333 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross – Sectional Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยทางการบริหารและสุนทรียทักษะผู้นำที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินของเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ในโรงพยาบาล จังหวัดขอนแก่น โดยประชากรที่ศึกษาคือเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ที่ผ่านเกณฑ์คัดเข้า คัดออกทั้งหมด 122 คน ได้รับแบบสอบถามตอบกลับจำนวน 111 คน คิดเป็นร้อยละ 90.98 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และแนวทางการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน ซึ่งแบบสอบถามได้ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ทุกข้อมีค่ามากกว่า 0.50 และวิเคราะห์ค่าความเที่ยง (Reliability) ได้ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบาชของแบบสอบถามทั้งชุด เท่ากับ 0.98 ดำเนินการเก็บข้อมูลวันที่ 15 – 31 มกราคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 จากการศึกษาพบว่า ระดับปัจจัยทางการบริหาร ระดับสุนทรียทักษะผู้นำ และระดับการปฏิบัติงานตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินของเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ในโรงพยาบาล ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.11 (S.D.= 0.35), 4.12 (S.D.= 0.23), 4.11 (S.D.= 0.24) ตามลำดับ และพบว่า ภาพรวมปัจจัยทางการบริหารและภาพรวมสุนทรียทักษะผู้นำมีความสัมพันธ์ระดับปานกลางกับการปฏิบัติงานตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินของเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ในโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (r=0.637, p-value &lt;0.001) และ (r=0.676 , p-value &lt;0.001) ตามลำดับ และตัวแปรอิสระ 3 ตัวแปร ได้แก่ ปัจจัยทางการบริหาร ด้านเวลาในการปฏิบัติงาน สุนทรียทักษะผู้นำทักษะในการคิดริเริ่ม และสุนทรียทักษะผู้นำทักษะในการสอนงาน สามารถร่วมกัน ในการพยากรณ์และมีผลต่อการปฏิบัติงานตามระบบการแพทย์ฉุกเฉินของเจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ ในโรงพยาบาล จังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 42.2 (R2=0.422, p-value&lt;0.001)</p> วรรณเทพ กองค้า นพรัตน์ เสนาฮาด สุภารัตน์ ทัพโพธิ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 177 191 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก องค์การบริหารส่วนตำบลสมเด็จ อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/269737 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียน ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กด้วยกระบวนการแบบมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กก่อนวัยเรียนจำนวน 24 คน แล้วเก็บข้อมูลในกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ปกครองเด็กก่อนวัยเรียนและเด็กก่อนวัยเรียนกลุ่มละ 55 คน โดยใช้แบบสอบถามด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรมของผู้ปกครองในการดูสุขภาพช่องปากเด็ก แบบประเมินสภาวะอนามัยช่องปาก แบบสำรวจสภาวะทันตสุขภาพช่องปากและแบบสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบความแตกต่างของค่ากลางโดยใช้สถิติ Paired sample t-test และ Wilcoxon matched pair signed rank test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า การพัฒนารูปแบบครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ระยะ คือ ระยะเตรียมการ โดยศึกษาบริบท วิเคราะห์ปัญหา และระยะดำเนินการวิจัยใช้กระบวนการ PAOR ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ประชุมเชิงปฏิบัติการ 2) ดำเนินตามแผนปฏิบัติการ 3) นิเทศติดตาม 4) สรุปปัญหาอุปสรรคและวางแผนในการแก้ปัญหา จากการดำเนินงานได้ 4 กิจกรรม ดังนี้ 1) การอบรมให้ความรู้ครู 2) การอบรมให้ความรู้ผู้ปกครอง 3) กำหนดข้อปฏิบัติการดูแลสุขภาพช่องปาก 4 ) การประเมินการดำเนินกิจกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากเด็ก ผลลัพธ์เชิงปริมาณ พบว่า หลังการพัฒนาผู้ปกครองมีค่ามัธยฐานคะแนนความรู้ ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เด็กก่อนวัยเรียนมีค่าอนามัยช่องปากดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัจจัยแห่งความสำเร็จเกิดขึ้นจากการมีส่วนร่วมของชุมชนในการกำหนดนโยบายการดำเนินงาน ติดตามและประเมินผลเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย</p> นิศามณี มะโนขันธ์ เขมิกา สมบัติโยธา จารุวรรณ วิโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 192 206 การประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้แนวทางการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยการขนส่ง นมแม่โครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูกในเขตสุขภาพที่ 7 ร่วมกับกรมอนามัย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/271244 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ การใช้แนวทางการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วยการขนส่งนมแม่ ในโครงการภาคีร่วมใจส่งรักส่งนมจากอกแม่สู่ลูกในเขตสุขภาพที่ 7 กรมอนามัย กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยมารดาหลังคลอดผู้ใช้บริการขนส่งนมแม่แช่แข็งฟรี บุคลกรสุขภาพผู้ดูแลระบบ Line Official Account และเจ้าหน้าที่บริษัทขนส่งนมเอกชน รวมทั้งสิ้นจำนวน 47 คน รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ช่วงศึกษา เดือนมกราคม ถึง เมษายน 2567 ระยะเวลา 4 เดือน ผลการวิจัยพบว่าการประเมินบริบทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ไปทำงานต่างจังหวัด ส่งผลให้อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนต่ำกว่าเกณฑ์ จากการประเมินข้อมูลพบว่า มารดาที่ใช้บริการหลังคลอด มีความถี่ในการส่ง ตั้งแต่ 1 ถึง 28 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 97.14 ที่ทารกได้กินนมแม่อย่างเดียวเป็นเวลา 6 เดือน การประเมินกระบวนการเน้นแผนประชาสัมพันธ์ ถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางสังคม การประเมินผลิตภัณฑ์ปรากฏเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการและใช้บริการจัดส่งนมแม่แช่แข็ง จำนวน 268 ราย พบว่าเด็กที่ได้รับนมแม่เป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไป จำนวน 210 คน คิดเป็นร้อยละ 66.45 จะเห็นได้ว่าทารกได้กินนมแม่ที่เข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 6 เดือน มากกว่าร้อยละ 50 นอกจากนี้ยังพบว่าคุณแม่ที่เข้าร่วมโครงการสามารถประหยัดเงินค่านมสูตรได้ประมาณ 5,000-7,000 บาทต่อเดือน แนะนำให้ประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง และจัดบริการขนส่งครอบคลุมพื้นที่โรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพทั่วประเทศ เพิ่มช่องทางการขนส่งให้แพร่หลายมากขึ้น เช่น บริษัทจัดส่งอาหารแช่แข็ง ไปรษณีย์ไทย ขยายเครือข่ายบริษัทรถโดยสารไม่จำกัดเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อาจพิจารณาเส้นทางรถไฟและรถตู้โดยสารระหว่างจังหวัดหรืออำเภอ</p> สุจิตรา ขุนน้อย ชาตรี เมธาธราธิป อนงค์ลักษณ์ ศรีแสนปาง Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-08-21 2024-08-21 16 2 207 221