วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7 <p><strong>วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น </strong>กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นวารสารวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม และบทความที่ตอบรับการตีพิมพ์บทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกเป็นผู้ประเมินบทความ จำนวน 3 ท่านต่อบทความ โดยมีการไม่เปิดเผยรายชื่อผู้เขียนบทความและผู้ทรงคุณวุฒิ มีกำหนดตีพิมพ์ออกทุก 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม เป็นวารสารที่ตีพิมพ์เนื้อหาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทางการแพทย์ และอนามัยสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้</p> <p>1. เผยแพร่ความรู้วารสารวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม</p> <p>2. เผยแพร่ผลงานทางวิชาการและงานวิจัยของแพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และทีมสหสาขาวิชาชีพ รวมทั้งงานวิจัยด้านการศึกษาและด้านการสอน ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งในศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น และเครือข่ายวิชาการด้านสาธารณสุข ทั้งในและนอกเขตสุขภาพที่ 7 และผู้สนใจ </p> <p>3. พัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการวิจัยด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง</p> <p>4. เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ข้อคิดเห็น ข่าวสาร และเป็นสื่อสัมพันธ์ในวงการการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่รับผิดชอบ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ </strong>เมื่อบทความที่ลงทะเบียนผ่านการพิจารณากลั่นกรองเบื้องต้นจากกองบรรณาธิการโดยมีรูปแบบการพิมพ์ ขอบเขตเนื้อหา รวมถึงความเหมาะสมตามเกณฑ์คุณภาพของวารสารแล้ว</p> <ul> <li>ผู้นิพนธ์ภายนอกศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ต้องชำระค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ในอัตรา 3,500 บาท ต่อ 1 บทความ</li> <li>ผู้นิพนธ์ภายในศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ได้รับการยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</li> </ul> <p>ทั้งนี้ ผู้นิพนธ์ภายนอกไม่สามารถขอคืนเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้ภายหลังการชำระเงินแล้ว ซึ่งจะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ตั้งแต่ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 (กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2566) เป็นต้นไป</p> <p>หมายเหตุ : กรณีที่มีรายชื่อผู้นิพนธ์หลายคน ซึ่งประกอบด้วยบุคลากรทั้งภายในและภายนอกศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น กองบรรณาธิการถือชื่อผู้นิพนธ์อันดับแรกเป็นสำคัญ และการพิจารณาจากกองบรรณาธิการถือเป็นที่สิ้นสุด</p> ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น th-TH วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2985-0134 <p>บทความนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย ผลการวิเคราะห์ตลอดจน<span style="font-size: 0.875rem;">ข้อเสนอแนะ</span><span style="font-size: 0.875rem;">เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น หรือกองบรรณาธิการแต่อย่างใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง</span></p> บทบาทผู้นำพยาบาลยุคใหม่ในการขับเคลื่อนองค์กรวิชาชีพไม่แสวงหาผลกำไรผ่านเครือข่ายวิชาการและนวัตกรรม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/278183 <p>ผู้นำทางการพยาบาลในยุคปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรวิชาชีพ โดยเฉพาะองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม เทคโนโลยี และความคาดหวังของประชาชน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการขับเคลื่อน องค์กรวิชาชีพพยาบาลไม่แสวงหาผลกำไร ผ่านกรอบแนวคิดภาวะผู้นำยุคใหม่ โดยเน้นการบริหาร เครือข่ายวิชาการอย่างมีประสิทธิภาพและการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ ของสมาชิก องค์ประกอบสำคัญที่เสนอ ได้แก่ การพัฒนาคุณลักษณะผู้นำ ประกอบด้วย การมอง การณ์ไกล การบริหารเครือข่าย และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเหมาะสม ตลอดจนการประยุกต์ บทบาทผู้นำเชิงนวัตกรรม เชิงกลยุทธ์ และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง โดยใช้กรณีศึกษา ของสมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ขอนแก่น เป็นตัวอย่างเชิงประจักษ์ การวิเคราะห์ พบว่า การสร้างเครือข่ายทางวิชาการ การประยุกต์ใช้นวัตกรรม และการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัล เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพและความยั่งยืนขององค์กร แม้เผชิญกับข้อจำกัด ด้านทรัพยากร ผลลัพธ์จากกรณีศึกษานี้นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย ได้แก่ การส่งเสริมผู้นำรุ่นใหม่ การสนับสนุนเทคโนโลยี และการขยายเครือข่ายในระดับภูมิภาคและนานาชาติ บทเรียนที่ได้สามารถ นำไปปรับใช้ในองค์กรวิชาชีพพยาบาลอื่นๆ เพื่อยกระดับศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน ของวิชาชีพในอนาคต</p> วัชรี อมรโรจน์วรวุฒิ ศักดิ์ขรินทร์ นรสาร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 1 12 การตัดสินใจทางการพยาบาล: แนวคิดทฤษฎี รูปแบบและการนำไปประยุกต์ใช้ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/277977 <p>การตัดสินใจทางการพยาบาลเป็นกระบวนการสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพการดูแลสุขภาพ และผลลัพธ์ของผู้ป่วย ในปัจจุบันพยาบาลต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนและต้องเลือกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด โดยอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ ความรู้ทางวิชาชีพ และการพิจารณาทางจริยธรรม บทความนี้มุ่งเน้นการศึกษาความหมาย รูปแบบ และทฤษฎีเกี่ยวกับการตัดสินใจทางการพยาบาล รวมถึงตัวอย่างการประยุกต์ใช้กระบวนการตัดสินใจของ Robbins and Coulter ซึ่งประกอบด้วย 8 ขั้นตอน ได้แก่ การระบุปัญหา กำหนดเกณฑ์การตัดสินใจ การถ่วงน้ำหนักของเกณฑ์ พัฒนาทางเลือก วิเคราะห์ทางเลือก เลือกแนวทางที่ดีที่สุด นำไปปฏิบัติ และประเมินผลลัพธ์ การประยุกต์ใช้แนวคิดนี้จะช่วยให้พยาบาลสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการพยาบาล นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึงแนวทางการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการตัดสินใจ และการพัฒนาแนวปฏิบัติที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการดูแลผู ้ป่วยที่มีคุณภาพการตัดสินใจทางการพยาบาลที่มีประสิทธิภาพช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยของผู้ป่าวยและ ลดข้อผิดพลาดและพัฒนาการบริหารจัดการทางการพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> พรภิมล สุขเพีย จิตภินันท์ ศรีจักรโคตร สมปรารถนา ดาผา ชนาพร ปิ่นสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 13 25 การพัฒนาแนวทางการดูแลผู้สูงอายุโดยบูรณาการการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลเพ็กใหญ่ อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/278621 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดูแลและความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุ พัฒนาแนวทางการดูแลผู้สูงอายุ และประเมินความพึงพอใจต่อแนวทางการดูแลผู้สูงอายุโดยบูรณาการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลเพ็กใหญ่ อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ใช้วิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ช่วงเดือนธันวาคม 2567- เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ดำเนินงานเป็น 3 ระยะ คือ 1) ระยะเตรียมการ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 110 คน 2) ระยะปฏิบัติการ โดยดำเนินการ การวางแผน การปฎิบัติตามแผน การสังเกตการณ์ และการสะท้อนผลจำนวน 1 วงรอบ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและดูแลผู้สูงอายุในชุมชน จำนวน 10 คน และ 3) ระยะประเมินผล เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้สูงอายุต่อแนวทางการดูแลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้หลักการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าผู ้สูงอายุได้รับการดูแลของผู ้สูงอายุทางด้านร่างกาย ในระดับมาก ส่วนทางด้านจิตใจ ด้านสังคม เศรษฐกิจ และด้านจิตวิญญาณ อยู่ในระดับปานกลาง และมีความต้องการการดูแลในด้านสุขภาพกาย จิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ การบูรณาการการมีส่วนร่วมของชุมชนช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน เกิดการดูแลผู ้สูงอายุอย่างครอบคลุมและยั่งยืน การดูแลที่พัฒนาขึ้นเรียกว่า “บ้าน-ชุมชน ร่วมกันดูแล” ประกอบด้วยการดูแลด้านสุขภาพ ด้านจิตใจและสังคม ด้านเศรษฐกิจและอาชีพ และการพัฒนาความร่วมมือในชุมชนในการขับเคลื่อนกระบวนการดูแลผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุมีความพึงพอใจในแนวทางการดูแลระดับมากที่สุด คะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 (S.D. = 0.59) ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นต้นแบบในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนอื่นที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน</p> ละมัย บุญเชิด ชนะพล ศรีฤาชา วีณา อิศรางกูร ณ อยุธยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 26 41 ประสิทธิผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็กปฐมวัยที่มีพัฒนาการสงสัยล่าช้าในผู้ปกครองเด็ก ตำบลโสกนกเต็น อำเภอเภอพล จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/278497 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบวัดซ้ำกลุ่มเดียว นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กอายุ 3 - 4 ปี จำนวน 32 คน ได้รับโปรแกรมด้วยกิจกรรม 4 ครั้ง ได้แก่ วิเคราะห์ปัญหา เล่าสู่กันฟัง พิจารณาไตร่ตรองตามสถานการณ์จริงของตนเอง ตัดสินใจและลงมือปฏิบัติ มั่นใจ ในตนเองและปฏิบัติต่อไป ครั้งละ 2 ชั่วโมง ใช้เวลาดำเนินการทั้งสิ้น 4 สัปดาห์ ระหว่างเดือนธันวาคม 2567 - กุมภาพันธ์ 2568 รวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือ 2 ส่วนคือ โปรแกรมการเสริมสร้างพลังอำนาจในการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก และแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Paired Sample t-test ผลการวิจัย ก่อนได้รับโปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีความรู้ในการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็กในระดับปานกลาง และหลังเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลัง (mean = 12.38, mean = 16.22) Mean Difference = 3.84 95%CI =3.42-4.26 พบว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value &lt;.001 ค่าเฉลี่ยทักษะก่อนเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ในระดับต้องฝึกฝน หลังเข้าร่วมโปรแกรมอยู่ในระดับต้องฝึกฝนและอยู่ในระดับชาญฉลาด ร้อยละ 18.75 เมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลัง (mean = 6.56, mean = 20.59) Mean Difference = 14.03 95%CI =12.89-15.18 พบว่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value &lt;.001 ความพึงพอใจต่อโปรแกรม พบว่าหลังเข้าร่วมโปรแกรมอยู ่ในระดับมากที่สุด (mean=4.74+0.32) ผลของโปรแกรมสามารถทำให้ผู้ปกครองมีความรู้และทักษะการส่งเสริม และกระตุ้นพัฒนาการดีขึ้นได้ แต่การนำไปใช้ต้องปรับให้เข้ากับบริบทของพื้นที่</p> ปีใหม่ แก่นสา ชนะพล ศรีฤาชา วิลาวัณย์ ชมนิรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 42 55 คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหลังการผ่าตัดที่มารับการรักษาที่ ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/279145 <p>โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลต่อพัฒนาการและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กอย่างต่อเนื่องการศึกษาคุณภาพชีวิตของผู ้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหลังการผ่าตัดมีความสำคัญต่อการพัฒนาและออกแบบระบบบริการสุขภาพ เพื่อส่งเสริมสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยหลังการรักษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหลังการผ่าตัดที่เข้ารับการรักษาที่ศูนย์หัวใจสิริกิติ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากรคือผู้ป่วยเด็กหลังการผ่าตัดหัวใจที่เข้ารับบริการที่ศูนย์ดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างจำนวน 49 ราย ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล และแบบสอบถามคุณภาพชีวิต Pediatric Quality of LifeInventory™ 4.0 (PedsQL™) ซึ่งประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และการเรียนมีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษา พบว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนคุณภาพชีวิตโดยที่ผู้ป่วยเป็นผู้ประเมิน มีคะแนนคุณภาพชีวิตโดยรวม 72.43 (±12.03) และผู้ดูแลเป็นผู้ประเมิน คะแนนคุณภาพชีวิตโดยรวม 61.09 (±9.54) โดยคะแนนคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพจิตสังคมที่ผู้ป่วยเป็นผู้ประเมิน 73.10 (±13.74) และผู้ดูแลเป็นผู้ประเมิน 63.40 (±10.52) และคะแนนคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพทางกายที่ผู้ป่วยประเมิน 70.40 (±15.01) และผู้ดูแลเป็นผู้ประเมิน 54.15 (±18.00) รายด้านพบว่าคะแนนคุณภาพชีวิตด้านอารมณ์มีคะแนนสูงสุด (72.19 ± 13.63) รองลงมาคือด้านสังคม (68.72 ± 14.34) ในขณะที่ด้านการเรียนและด้านร่างกายมีคะแนนเฉลี่ยตล่าสุด (58.42 ± 14.44 และ 59.50 ± 13.17 ตามลำดับ) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหลังการผ่าตัด โดยเฉพาะในด้านการเรียนและด้านร่างกาย</p> ศรันยา ดวงเดือน สีหะพงษ์ เพชรรัตน์ รัชนิดา เบ้าบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 56 69 การพัฒนาแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/279204 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น แบ่งการศึกษาเป็น 3 ระยะ คือ 1) ระยะศึกษาสถานการณ์ชุมชน กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นอายุ 13-19 ปี จำนวน 38 คน ใช้แบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม 2) ระยะพัฒนาแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์วัยรุ่น ได้แก่ ขั้นการวางแผนใช้กระบวนการ AIC ในกลุ่มผู้นำชุมชน จำนวน 18 คน ดำเนินกิจกรรมตามที่ออกแบบสังเกตการณ์โดยเยี่ยมบ้านติดตามครอบครัววัยรุ่น สะท้อนผลโดยประชุมคืนข้อมูลแก่ชุมชน 3) ระยะประเมินผลด้านความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมวัยรุ่น การมีส่วนร่วมและความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องในชุมชน จำนวน 250 คน ศึกษาช่วงสิงหาคม 2567 - มีนาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนด้วยสถิติ paired t-test ผลการวิจัย พบว่า วัยรุ่นส่วนใหญ่กำลังเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและอยู่กับครอบครัว สรุปปัญหาของวัยรุ่น ได้แก่ 1)ด้านตัววัยรุ่นมีความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมในการป้องกันการตั้งครรภ์ระดับปานกลาง 2)ด้านครอบครัวมีการสื่อสารเรื่องเพศยังน้อย 3)การเข้าไม่ถึงคลินิกให้คำปรึกษา 4)วัยรุ่นยังใช้เวลาว่างไม่เป็นประโยชน์ การพัฒนาแนวทางของชุมชนได้จัดทำโครงการแก้ไขปัญหาทั้ง 4 ด้าน ผลการประเมิน พบว่า หลังการดำเนินงานวัยรุ่นมีความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (p&lt;0.001) ชุมชนมีส่วนร่วมและพึงพอใจในกิจกรรมส่วนใหญ่ระดับมากที่สุด การพัฒนาแนวทางการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีผลดีทั้งทางด้านวัยรุ่นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงควรขยายการดำเนินงานในชุมชนข้างเคียง และควรขยายเวลาการติดตามประเมินผล เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากขึ้น</p> สมโชค พิมพ์สิงห์ วีณา อิศรางกูร ณ อยุธยา วิลาวัณย์ ชมนิรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 70 82 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะทันตสุขภาพในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/276892 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุ สภาวะทันตสุขภาพค่าเฉลี่ยฟันแท้ผุ ถอน อุด (Decay Missing Filling Tooth index: DMFT) และปัจจัยที่สัมพันธ์กับสภาวะทันตสุขภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ในอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างถูกสุ่มด้วยวิธีอย่างง่าย จำนวน 237 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และแบบสำรวจสภาวะทันตสุขภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและหาความสัมพันธ์ด้วย Chi-Square test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่าง อายุเฉลี่ย 13.73 ±0.95 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 131 ร้อยละ 55.30 ระดับชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 1 พบเป็นร้อยละ 35 และ 33.80 อาศัยอยู่กับบิดา - มารดา ร้อยละ 51.10 นอกจากนี้ ร้อยละ 64.10 ได้รับเงินเงินค่าขนมต่อวัน 0-50 บาท (เฉลี่ย 52.85 บาท±24.51) ผลมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากระดับปานกลางร้อยละ 50.20 (ค่าเฉลี่ย 10.55±2.27) ส่วนใหญ่มีทักษะการเข้าถึง ร้อยละ 71.70 ทักษะความเข้าใจ ร้อยละ 58.50 มีทักษะโต้ตอบ ร้อยละ 55.45 ทักษะการตัดสินใจ ร้อยละ 60.10 ทักษะการจัดการตนเองร้อยละ 54.75 ในการปฏิบัติตนป้องกันโรคฟันผุ นักเรียนส่วนใหญ่มีระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุ ระดับปานกลาง ร้อยละ 66.70 (ค่าเฉลี่ย 23.08±3.79) ผลสำรวจสภาวะทันตสุขภาพพบ DMFT เฉลี่ย 2.08±2.73 ซี่ต่อคน ผลการวิเคราะห์หาปัจจัยความสัมพันธ์ด้วย Chi-Square test ระหว่าง ปัจจัยส่วนบุคคลระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากแต่ละด้าน พฤติกรรมการป้องกันโรคฟันผุ กับสภาวะทันตสุขภาพ พบว่า เพศ เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับสภาวะทันตสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.026)</p> ณัฐนันท์ วัฒนอเนก ณัฐกฤตา ผลอ้อ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 83 97 การพัฒนาสูตรลาบหมูโดยใช้โปรตีนจากถั่วสำหรับผู้สูงอายุ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/279376 <p>ผู้สูงอายุมีการเสื่อมถอยของร่างกาย เสี่ยงต่อโรคและภาวะขาดโปรตีน ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก และระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์บางชนิดมีไขมันสูงมีความเหนียว และเคี้ยวยาก ทำให้ผู้สูงอายุได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ โปรตีนจากถั่วจึงเป็นทางเลือกที่ดีมีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ กากใยสูง อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ อีกทั้งยังมีลักษณะเนื้อสัมผัสเปื่อยนุ่ม เคี้ยวง่ายเหมาะกับการนำมาพัฒนาเมนูอาหารสำหรับผู้สูงอายุ งานวิจัยนี้เป็นรูปแบบกึ่งทดลอง พัฒนาสูตรลาบหมูโดยใช้ถั่วแดงหลวง ถั่วเหลือง และถั่วดำแทนเนื้อสัตว์ เพื่อศึกษาการยอมรับของผู้สูงอายุ 50 คน พบว่า สูตรถั่วดำได้รับความชอบมากที่สุด ขณะที่สูตรถั่วเหลืองให้โปรตีนสูงสุด (13.82 กรัม) ลาบหมูสูตรหมูล้วนมีปริมาณไขมันพบมากที่สุด (5.08 กรัม) และสูตรถั่วแดงหลวงมีใยอาหารมากที่สุด (1.32 กรัม) ซึ่งมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) ซึ่งบ่งชี้ได้ว่าเมนูลาบหมูผสมถั่วทั้ง 3 สูตรประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีปริมาณโปรตีนที่ใกล้เคียงกับลาบหมูล้วน ในขณะที่มีปริมาณใยอาหารสูง และโดยเฉพาะสูตรถั่วแดงและถั่วดำนั้น พบว่ามีไขมันต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05) แต่อย่างไรก็ตามควรมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารอาหารอื่น ๆ ที่พบในลาบหมูผสมถั่ว และผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพหากรับประทานในระยะเวลานาน</p> ชนิดา จูมพลา รัฐพล ไกรกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 98 110 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษา ในระดับอุดมศึกษา จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/279461 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความ รอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่ง ในจังหวัด ขอนแก่น ประชากร คือนักศึกษาชั้นปีที่ 1- 4 จ􀄞ำนวน 2,234 คน คำนวณกลุ่มตัวอย่างได้ 106 คน และสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่าง เดือนธันวาคม 2567 - เดือนมกราคม 2568 โดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าที่ประยุกต์ใช้แนวคิดความรอบรู้ ด้านสุขภาพของนัทบีม และแบบประเมินพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ ของเครื่องมือได้ค่าความตรงเชิงเนื้อหา เท่ากับ 0.94 และ 0.72 และค่าสัมประสิทธิ์อัลฟ่า ครอนบราค เท่ากับ 0.92 และ 0.72 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณาและวิเคราะห์ ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า ทักษะการเข้า ถึงข้อมูล มีความสัมพันธ์ทางลบในระดับน้อยกับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ไฟฟ้าอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ (r=-0.24, p=0.02) ข้อเสนอแนะควรส่งเสริมให้นักศึกษามีการเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ถูกต้อง และน่าเชื่อถือ รวมถึงควรจัดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์เรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ให้กับนักศึกษา</p> ขนิษฐา สนเท่ห์ ช่อทิพย์ แตงพันธ์ สุพัตรา เชาว์ไวย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 111 123 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการควบคุมภายในของกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/280098 <p>การศึกษานี้ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาประสิทธิผลการควบคุม ภายในของกองตรวจราชการ ศึกษาปัจจัยการควบคุมภายในของกองตรวจราชการ และศึกษาปัจจัย ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการควบคุมภายในของกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เก็บขอ้ มูลโดยใช้แบบสอบถาม จากบุคลากรในกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 95 คน ใช้สถิติเชิงพรรณนาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบาย ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม และระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยและประสิทธิผลของการควบคุม ภายใน ใช้สถิติเชิงอนุมาน ในการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการควบคุมภายในใช้การ วิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 88.42 อายุเฉลี่ย 40.75 ± 8.06 ปี โดยส่วนใหญ่กลุ่มอายุ 30–39 ปี ร้อยละ 43.16 มีระดับการศึกษาปริญญาตรี ร้อยละ 56.84 ส่วนใหญ่ตำแหน่งงานเป็นข้าราชการ ร้อยละ 63.16 ระยะเวลาในการปฏิบัติงานเฉลี่ย 10.07 ± 7.11 ปี โดยส่วนใหญ่มีระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 6–10 ปี ร้อยละ 35.79 ปัจจัยการควบคุมภายในของกอง ตรวจราชการภาพรวมอยู่ในระดับสูง ประสิทธิผลการควบคุมภายในของกองตรวจราชการภาพรวม อยู่ในระดับสูง ปัจจัยการควบคุมภายใน ด้านกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และ ด้านการติดต่อสื่อสาร มีผล ต่อประสิทธิผลการควบคุมภายในของกองตรวจราชการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05) โดยตัวแปรดังกล่าวสามารถทำนายได้ ร้อยละ 76.9 (R2=0.769) ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า การจัดระบบระเบียบที่ชัดเจน และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เป็นหัวใจสำคัญของระบบควบคุมภายในที่ดี และหากหน่วยงานสามารถยกระดับสองด้านนี้ได้อย่าง ต่อเนื่อง ย่อมส่งผลให้การควบคุมภายในมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นในระยะยาว</p> วิวัฒน์ ชอบดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 124 138 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดการยาเฉพาะราย กรณีศึกษาโรงพยาบาลกาฬสินธุ์ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/280122 <p>การหมดอายุของยาเป็นปัญหาสำคัญในระบบบริการสุขภาพของไทย โดยกลุ่มยาเฉพาะราย ก็มีแนวโน้มการหมดอายุสูง เนื่องจากปริมาณการใช้ที่ไม่เหมาะสมและการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดการยาเฉพาะราย โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง กลุ่มตัวอย่างคือบุคลากร ทางเภสัชกรรมในโรงพยาบาลกาฬสินธุ์จำนวน 32 คน คัดเลือกโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เก็บข้อมูล โดยใช้แบบสอบถาม ระยะเวลาดำเนินการในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2568 ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 93.75 อายุ 31–40 ปี ร้อยละ 46.88 จบปริญญาตรี ร้อยละ 87.50 และทำงานมามากกว่า 11 ปี ร้อยละ 68.76 โดยปฏิบัติงานในห้อง จ่ายยาผู้ป่วยใน ร้อยละ 46.88 โดยมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายยา ร้อยละ 90.63 และการเฝ้าระวัง ยาหมดอายุ ร้อยละ 71.88 ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการยาเฉพาะรายระดับสูง (mean = 9.28, S.D.=0.73) ประสิทธิภาพการจัดการยาเฉพาะรายระดับสูง (mean = 4.33, S.D.=0.38) ระดับการรับรู้ประโยชน์ (mean = 4.32, S.D.=0.42) การมีส่วนร่วม (mean = 3.87, S.D.=0.37) และความพึงพอใจ (mean = 4.28, S.D. = 0.38) ของบุคลากรอยู่ในระดับสูงเช่นกัน ผลการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์โดยใช้สถิติ ไคสแควร์พบว่า ต่ำแหน่งงานและบทบาทในกระบวนการจัดเก็บยาในคลัง มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการจัดการยาเฉพาะรายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.05) การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการยาเฉพาะรายที่มีระบบความรู้ การเฝ้าระวัง และบทบาทของ บุคลากรที่ชัดเจน มีส่วนสำคัญในการลดปัญหายาหมดอายุในโรงพยาบาลภาครัฐ</p> ยุภาวดี พิมพโมทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 139 150 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ของนักศึกษา https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/280859 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบเชิงวิเคราะห์ภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาความรอบรู้ พฤติกรรม และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ของนักศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำนวน 367 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถาม ระหว่างเดือน ธันวาคม 2567 ถึง กุมภาพันธ์ 2568 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ยร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอย โลจิสติก (Binary Logistic Regression Analysis) ก􀄞ำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ P-value &lt; 0.05 ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ในภาพ รวม อยู่ในระดับต่ำ ( =125.24;SD=11.21) พฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับต่ำ ( =21.80;SD=4.36) ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันการตั้ง ครรภ์ พบว่า สาขาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ (OR=1.61, 95%CI=1.06-2.46) อาชีพของบิดามารดา ที่รับราชการและรัฐวิสาหกิจ (OR=2.45, 95%CI=1.30-4.65) (OR=5.10, 95%CI=3.12-8.32) การ เข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ (OR=2.10, 95%CI=1.36-3.26) การจัดการเงื่อนไขทางสุขภาพของ ตนเอง (OR=1.65, 95%CI=1.06-2.56) การรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (OR=3.06, 95%CI=1.92- 4.86) การตัดสินใจเลือกปฏิบัติที่มีโอกาสในการมีพฤติกรรมการการป้องกันการตั้งครรภ์ (OR=2.41, 95%CI=1.55-3.77) มีโอกาสในการมีพฤติกรรมการป้องกันการตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ P-value&lt; 0.05 ดังนั้นในสถานศึกษาจึงควรเสริมสร้างให้นักศึกษามีความรอบรู้ด้านสุขภาพ หรือในหลักสูตรการเรียนหรอื จัดโปรแกรมสง่ เสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ ให้กับนักศึกษาหรือวัยรุ่น</p> จุฑามาศ แก้วจันดี กุสุมา มีศิลป์ สุภาภรณ์ ทัศนพงศ์ กฤตภาส สีหะวงษ์ วัชราภรณ์ จันดาสุข วรัญญา เจริญจิตร ศิรินทรา บุตรกัณหา สิริยากร สระทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 151 163 ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมความเชื่อด้านสุขภาพต่อการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/279850 <p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมความเชื่อด้านสุขภาพ ต่อการรับรู้ความเชื่อด้านสุขภาพ และพฤติกรรมในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรค ความดันโลหิตสูง เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง จำนวน 30 คน ที่เลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองคือ โปรแกรมความเชื่อด้าน สุขภาพต่อการรับรู้ด้านสุขภาพและแบบวัดพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งเครื่องมือแบบวัดความเชื่อมีค่าความเชื่อมั่น 0.78 และแบบวัดพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดโรค หลอดเลือดสมอง มีค่าความเชื่อมั่น 0.83 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย และสถิติ paired t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.0 อายุเฉลี่ย 65.1 ปี (SD.= 11.47 ) สถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 43.33 อาชีพว่างงานร้อยละ 46.66 ระดับ การศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 86.66 ดัชนีมวลกาย อ้วนระดับที่ 1 ร้อยละ 40.00 ระยะเวลาการเจ็บ ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ระหว่าง 5-10 ปี ร้อยละ 46.66 มีรายได้อยู่ระหว่าง 1,000 - 5,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 40 คะแนนเฉลี่ยการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้ความรุนแรงของ โรคหลอดเลือดสมอง การรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองหลังการได้รับโปรแกรม และพฤติกรรมเพื่อป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรม อย่างมีนัย สำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 ส่วนคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ปัญหาและอุปสรรคในการป้องกันโรคหลอด เลือดสมอง หลังการได้รับโปรแกรม ไม่แตกต่างจากก่อนได้รับโปรแกรม สรุปการวิจัย โปรแกรมฯ สามารถสร้างการรับรู้ด้านสุขภาพได้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคได้</p> ญาดา นามเหลา ปิยนุช ภิญโย ณัฐชยา ขันผง ปานระพี สีวันแก้ว พรรณนิสา ประทุมวัน เพ็ญนภา นากุดนอก วรัญญา มาเพชร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2025-08-27 2025-08-27 17 2 164 176