วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7 <p><strong>วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น </strong>กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เป็นวารสารวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม และบทความที่ตอบรับการตีพิมพ์บทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกเป็นผู้ประเมินบทความ จำนวน 3 ท่านต่อบทความ โดยมีการไม่เปิดเผยรายชื่อผู้เขียนบทความและผู้ทรงคุณวุฒิ มีกำหนดตีพิมพ์ออกทุก 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม เป็นวารสารที่ตีพิมพ์เนื้อหาที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ ทางการแพทย์ และอนามัยสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้</p> <p>1. เผยแพร่ความรู้วารสารวิชาการด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม</p> <p>2. เผยแพร่ผลงานทางวิชาการและงานวิจัยของแพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข และทีมสหสาขาวิชาชีพ รวมทั้งงานวิจัยด้านการศึกษาและด้านการสอน ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ทั้งในศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น และเครือข่ายวิชาการด้านสาธารณสุข ทั้งในและนอกเขตสุขภาพที่ 7 และผู้สนใจ </p> <p>3. พัฒนาองค์ความรู้และส่งเสริมการวิจัยด้านการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง</p> <p>4. เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทัศนคติ ข้อคิดเห็น ข่าวสาร และเป็นสื่อสัมพันธ์ในวงการการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่รับผิดชอบ</p> ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น th-TH วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2985-0134 <p>บทความนี้ลงตีพิมพ์ในวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ถือเป็นผลงานทางวิชาการหรือวิจัย ผลการวิเคราะห์ตลอดจน<span style="font-size: 0.875rem;">ข้อเสนอแนะ</span><span style="font-size: 0.875rem;">เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ใช่ความเห็นของวารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น หรือกองบรรณาธิการแต่อย่างใด ผู้เขียนต้องรับผิดชอบต่อบทความของตนเอง</span></p> การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการหอบกำเริบเฉียบพลัน: กรณีศึกษาเปรียบเทียบ 2 ราย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266367 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นกรณีศึกษา (case study) เพื่อเปรียบเทียบผู้ป่วยปอดอุดกั้นเรื้อรัง ที่มีอาการหอบกำเริบเฉียบพลัน จำนวน 2 ราย ที่เข้ารับกรรักษาที่โรงพยาบาลขอนแก่น เครื่องมือ ที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) เวชระเบียนผู้ป่วยนอกและใน 2 การสังเกต การสัมภาษณ์ ผู้ป่วยและญาติ วิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบตามแบบแผนสุขภาพ พยาธิสภาพ อาการแสดง และ การรักษา 3) แบบบันทึกทางการพยาบาล โดยใช้แนวคิดแบบประเมินผู้ป่วยตามแบบแผน ทางด้านสุขภาพ 11 แบบแผนของกอร์ดอน เพื่อให้ทราบปัญหาของผู้ป่วย นำข้อมูลที่ได้มาวางแผน ให้การพยาบาลผู้ป่วยปอดอุดกั้นเรื้อรังที่มีอาการหอบกำเริบเฉียบพลันกำหนดข้อวินิจฉัยทาง การพยาบาลและประเมินผลลัพธ์ทางการพยาบาลใน 3 ระยะ ได้แก่ ระยะวิกฤต ระยะฟื้นฟู และระยะก่อนจำหน่าย ผลการศึกษา: กรณีศึกษาทั้ง 2 ราย เป็นผู้สูงอายุที่ยังไม่เลิกบุหรี่ มารับการรักษาไม่ต่อ เนื่อง และมีประวัติการติดเชื้อทางเดินหายใจร่วมด้วย ซึ่งทำให้มีโอกาสสูงที่จะทำให้เกิดอาการหอบ กำเริบเฉียบพลัน การประเมินผู้ป่วยในภาวะวิกฤตอย่างรวดเร็วและให้การพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดความรุนแรง ลดอัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยได้ การวางแผนจำหน่ายและการดูแลอย่าง ต่อเนื่องด้วยความร่วมมือของทีมสหสาขาวิชาชีพ ผู้ป่วยและญาติจะช่วยลดอุบัติการณ์อาการหอบ กำเริบเฉียบพลัน ดังนั้นพยาบาลจึงมีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยทั้งในภาวะปกติและวิกฤตซึ่งต้อง มีความรู้ ทักษะ ความชำนาญที่เป็นพิเศษในการดูแลผู้ป่วย เพื่อนำไปวางแผนปฏิบัติการพยาบาล ตามมาตรฐานสอดคล้องกับแผนการรักษาตั้งแต่แรกรับจนจำหน่าย เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยและ มีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> กฤษณา คำลอยฟ้า Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 1 17 ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากกับภาวะสุขภาพช่องปาก ของหญิงตั้งครรภ์ จังหวัดหนองคาย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/264790 <p>ปัญหาสุขภาพช่องปากเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งของหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย รวมถึงพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากที่ไม่เหมาะสม ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพช่องปาก รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากกับภาวะสุขภาพ ช่องปากของหญิงตั้งครรภ์ จังหวัดหนองคาย ประชากรคือหญิงตั้งครรภ์ในแผนกสูตินรีเวชโรงพยาบาล ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดหนองคาย ขนาดตัวอย่าง 503 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลาย ขั้นตอน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ช่องปาก และแบบเก็บข้อมูลภาวะสุขภาพช่องปากของหญิงตั้งครรภ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ เชิงพรรณนาและสถิติถดถอยพหุลอจีสติก ผลการศึกษาพบว่า หญิงตั้งครรภ์มีภาวะสุขภาพช่องปากที่ไม่ดีร้อยละ 86.48 ปัจจัยที่มีความ สัมพันธ์กับภาวะสุขภาพช่องปากที่ไม่ดี ได้แก่ ระดับการศึกษา (OR adj 41.99, 95% CI: 13.74 - 128.36, p-value= &lt;0.001 ) กลุ่มรายได้ต่ำกว่า 6,000 บาท (ORadj 20.88, 95% CI:2.19 - 199.00, p-value=0.002) ทักษะความรู้ความเข้าใจ (OR adj 5.71, 95% CI:1.45 - 22.54, p-value= 0.012) ทักษะการสื่อสาร (OR adj 5.25, 95% CI: 1.78 - 15.46, p-value=0.003) และทักษะการตัดสินใจ (OR adj 14.70, 95% CI: 3.48- 62.09, p-value=&lt;0.001) สรุปผลและข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ ควรที่จะนำปัจจัยด้านการศึกษา รายได้ต่อเดือน ทักษะความรู้ความเข้าใจ ทักษะการสื่อสาร และทักษะการตัดสินใจ มาใช้ในการวางแผนเพื่อออกแบบ กิจกรรมในการส่งเสริมและพัฒนางานด้านทันตสาธารณสุขในหญิงตั้งครรภ์</p> สันทนา หมั่นพลศรี นาฏนภา หีบแก้ว ปัดชาสุวรรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 18 30 ผลการพัฒนาศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ 70 ชั่วโมง ของกรมอนามัยในเขตสุขภาพที่ 7 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266366 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับความรู้ของผู้ดูแลผู้สูงอายุ สภาพปัญหา ความสามารถและการปฏิบัติการดูแล ผู้สูงอายุของของผู้ดูแลผู้สูงอายุเขตสุขภาพที่ 7 โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุที่ผ่านการอบรม หลักสูตร 70 ชั่วโมงของกรมอนามัย จำนวน 220 คน โดยใช้แบบสอบถามการประเมินความสามารถ และการปฏิบัติงานการดูแลผู้สูงอายุของผู้ให้การดูแลผู้สูงอายุ ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น ผลการศึกษาพบว่า ด้านความรู้ของผู้ดูแลผู้สูงอายุมีความรู้อยู่ในระดับมากที่สุด ร้อยละ 41.4 (X= 12.78, S.D. = 1.7) ด้านสภาพปัญหาในการดูแลผู้สูงอายุ เป็นปัญหาของผู้ดูแลผู้สูงอายุ ร้อยละ 55.7 เช่น มีภาระงานมาก ขาดความรู้ มีปัญหาสุขภาพ ด้านความสามารถในการดูแล ผู้สูงอายุในระดับมากที่สุด ร้อยละ 81.4 (X= 13.2, S.D. = 1.0) ด้านระดับในการปฏิบัติการดูแล ผู้สูงอายุระดับมากที่สุด ร้อยละ 89.5 (X= 17.9 , S.D. = 0.9) ข้อเสนอแนะเพื่อเป็นการเสริมสร้าง ศักยภาพของผู้ดูแลผู้สูงอายุให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมีการพัฒนาความรู้ อย่างต่อเนื่อง จัดหลักสูตรทบทวนความรู้ สร้างระบบพี่เลี้ยงในการช่วยแก้ไขปัญหา และสร้างเสริม สุขภาพให้ผู้ดูแลผู้สูงอายุเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี</p> ปาลิชาติ ชนะหาญ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 31 42 การวิจัยและพัฒนาศักยภาพ อสม. หมอประจำบ้านเพื่อการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยง โรคความดันโลหิตสูง จังหวัดชัยนาท https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266210 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาศักยภาพ อสม.หมอประจำ บ้าน ในการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงจังหวัดชัยนาท โดยเจาะจงเลือกพื้นที่ และกลุ่มตัวอย่างจาก อสม. หมอประจำบ้าน 30 คน กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง 30 คน และบุคลากรสาธารณสุข 2 คน เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามความรู้ทักษะของ อสม. หมอประจำบ้าน แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิต สูง วิเคราะห์แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ paired t-test ระดับ นัยสำคัญที่ .05 และใช้แนวทางการสนทนากลุ่มเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพโดยวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า อสม.หมอประจำบ้านส่วนใหญ่ขาดความรู้ ทักษะ และไม่เชื่อมั่นตนเอง ในการดูแลสุขภาพกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง แนวทางการพัฒนาศักยภาพที่พัฒนาขึ้นเป็น โปรแกรมการเรียนรู้จากการปฏิบัติ ประกอบด้วย 1 ชุดเรียนรู้การพัฒนาความรู้ 2) ชุดเรียนรู้ การเพิ่มทักษะ และ 3) ชุดเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ผลลัพธ์ภายหลังการพัฒนาศักยภาพ พบว่า กลุ่ม อสม.หมอประจำบ้าน มีระดับค่าเฉลี่ยความรู้และทักษะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ (p&lt;0.05) กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง มีระดับค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการป้องกันโรค ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) และระดับค่าเฉลี่ยความดันโลหิต systolic blood pressure และ diastolic blood pressure ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) กลุ่มบุคลากรสาธารณสุขเกิดการเรียนรู้วิธีการพัฒนาศักยภาพ อสม.หมอประจำบ้าน จากการปฏิบัติสามารถลดภาระงานด้นการดูแลสุขภาพในชุมชนมากขึ้น ซึ่งควรพัฒนาสมรรถนะ บุคลากรสาธารณสุขด้านโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อเป็นพี่เลี้ยงแก่ อสม.หมอประจำบ้านอย่างต่อเนื่อง</p> ไพศาล ขุนวิเศษ มยุรี บุญทัด Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 43 60 สถานการณ์และปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการสูงดีสมส่วน ของนักเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/259500 <p>การศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวางนี มีวัตถุประสงค์เพือประเมินภาวะโภชนาการสูงดีสมส่วน และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการสูงดีสมส่วนของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็น เด็กนักเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครอุดรธานี โดยการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ จำนวน 458 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านบุคคล ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และครอบครัว ความรู้เกี่ยวกับการ บริโภคอาหาร พฤติกรรมการบริโภคอาหาร กับภาวะสูงดีสมส่วน โดยใช้สถิติทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีภาวะโภชนาการสูงดีสมส่วน ร้อยละ 65.3 ความรู้เกี่ยว กับการบริโภคอาหารอยู่ระดับปานกลาง ร้อยละ 87.6 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับภาวะสูงดีสมส่วนที่ ระดับนัยสำคัญ 0.05 ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การเจ็บป่วยถึงขั้นที่ต้องรับประทานยาหรือเข้ารับการรักษา ใน 1 เดือนที่ผ่านมา การออกกำลังกาย แต่ละครั้ง ติดต่อกันมากกว่า 20 นาที และมีความถี่ในการออกกำลังกายอย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว ได้แก่ สถานะภาพสมรสของบิดา มารดา จำนวนพี่น้อง และ เงินที่ใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม และปัจจัยด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ได้แก่ การรับ ประทานอาหารเช้า การรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ การรับประทานผัก การรับประทานผลไม้ การรับ ประทานอาหารประเภทตับ เลือด ข้อเสนอแนะ สถนศึกษาควรมีการจัดการเกี่ยวกับอาหารที่เหมาะ สมกับภาวะโภชนาการของเด็กแบบรายบุคคล ส่งเสริมการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ โรงเรียนและ ครอบครัวควรมีการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยการจัดการความรู้ เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่และ ประเด็นสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพนักเรียนให้ถูกต้องจนเกิดพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์</p> รุ้งสินี เพิ่มพูล ภัทระ แสนไชยสุริยา Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 61 76 ประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุสมองเสื่อมอย่างเพียงพอ ในการช่วยเหลือสนับสนุน ผู้ดูแลหลักในครอบครัว https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266342 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุสมอง เสื่อมอย่างเพียงพอ ในการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ดูแลหลักในครอบครัว เป็นวิจัยแบบ Quasi Experimental สองกลุ่มวัดซ้ำ โดยวัดก่อนและหลังการทดลอง 3 เดือน กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ ที่มีความบกพร่องในการรับรู้และมีภาวะสมองเสื่อมมีอาการผิดปกติทางพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับ ภาวะสมองเสื่อมอย่างน้อยหนึ่งอาการและผู้ดูแลผู้สูงอายุที่อาศัยในครอบครัวเดียวกัน ในจังหวัด มหาสารคาม จำนวน 172 คู่ เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 86 คู่ โดยกลุ่มทดลอง ได้รับโปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุสมองเสื่อมอย่างเพียงพอ ในการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ดูแลหลัก ในครอบครัว ภายใต้การกำกับดูแลของ Care Manage และ Care Giver ระยะเวลา 12 สัปดาห์ กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลปกติตามแผน Long term care ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุกลุ่มทดลอง หลังทดลองโปรแกรมการดูแลสมองเสื่อมอย่าง พอเพียง มีความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวันดีขึ้นและเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการดำเนินชีวิตประจำวัน ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ภายหลังการทดลอง พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ภาระการดูแลของผู้ดูแลหลัก ในกลุ่มทดลองพบว่า หลังทดลองฯ ภาระการดูแลลดลงจากก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยคะแนนภาระการดูแลระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังการทดลอง พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โปรแกรมการดูแลผู้สูงอายุสมองเสื่อมอย่างเพียงพอมีความเหมาะสม ส่งผลเชิงบวกต่อ การดูแลผู้สูงอายุที่มีความบกพร่องทางการรับรู้หรือมีภาวะสมองเสื่อมและผู้ดูแลหลักในครอบครัว ทำให้ผู้สูงอายุสมองเสื่อมและผู้ดูแลมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น</p> ฤทธิรงค์ เรืองฤทธิ์ พิสมัย ศรีทำนา Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 77 93 ผลของโปรแกรมการดูแลหญิงตั้งครรภ์กลุ่มเสี่ยงเบาหวานโดยใช้การมีส่วนร่วมของครอบครัว ต่อพฤติกรรมการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และผลน้ำตาลในเลือด https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/265535 <p>การวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มเปรียบเทียบก่อนหลังมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผล ของโปรแกรมการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเบาหวานโดยใช้การมีส่วนร่วมของครอบครัว ต่อพฤติกรรมการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย แลระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครภ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นหญิงตั้งครรภ์ ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์และครอบครัว ที่ศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น จำนวน 40 คู่ กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 20 คู่ สุ่มแบบอย่าง ง่ายกลุ่มตัวอย่างได้เข้าร่วมโปรแกรมจำนวน 3 ครั้ง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสถิติ ด้วยวิธี วิลคอกชัน แมน-วิทนีย์ ยู ผลการวิจัย พบว่าผลของโปรแกรมการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเบาหวานโดยใช้การมี ส่วนร่วมของครอบครัว ทำให้ 1. คะแนนพฤติกรรมการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการ มีส่วนร่วมของครอบครัว ของกลุ่มทดลองภายหลังการทดลอง สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 2. ภายหลังการทดลอง หญิงตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นเบาหวาน กลุ่มทดลอง มีระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติมีจำนวนมากกว่ากลุ่มควบคุม จึงควรนำโปรแกรมนี้มาใช้ ในการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงเบาหวานเพื่อไม่เป็นเบาหวานในขณะตั้งครรภ์</p> ศิริวรรณ สงจันทร์ สุรางรัตน์ โฆษิตธนสาร ชลรดาก์ พันธุชิน อรอุมา แก้วเกิด อาภัสรา มาประจักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 94 107 การพัฒนาแนวทางดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะถอนพิษสุรา กรณีนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/263670 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลแนวทางดูแลผู้ป่วยที่มี ภาวะถอนพิษสุรากรณีนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสู่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง กลุ่มที่ร่วมพัฒนา ได้แก่ แพทย์ พยาบาลเภสัชกร พยาบาลสุขภาพจิต พยาบาลบำบัดยาเสพติด ตัวแทนผู้ป่วยและ ญาติ รวม 35 คน และกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะถอนพิษสุรา จำนวน 210 ราย เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินอาการขาดสุรา CIWA-Ar. Risk report แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสังเกต และเวชระเบียน ผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ผลการศึกษา พบว่า ได้รูปแบบการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะถอนพิษสุราที่เหมาะสมได้แก่ 1) พัฒนาความรู้บุคคลากรเกี่ยวกับทักษะการประเมิน CIWA-Ar. 2) จัดทำแนวทางคัดกรองพร้อม กำหนดแนวทางการดูแลตามระดับความรุนแรง 3 เสริมความรู้แก่ผู้ดูแลหลักในครอบครัว 4) พัฒนา ระบบการส่งต่อข้อมูลไปยังคลินิกเลิกสุราและชุมชน 5) ร่วมกับคลินิกเลิกสุราออกแบบการดูแล ต่อเนื่องในชุมชนแบบสติบำบัดร่วมกับครอบครัวบำบัดโดยทีมสหวิชาชีพผ่าน Lineกลุ่ม และ โทรศัพท์เป็นรายบุคคล ประเมินผลพบว่า ผู้ป่วยได้รับการคัดกรองและเฝ้าระวังภาวะถอนพิษสุรา 75,95,100% มีภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 18, 13.33 และ 5.30 ตามลำดับ กลับมารักษาซ้ำภายใน s 4 เดือน ร้อยละ 8.6, 8.3 และ 4.0 ตามลำดับ ปีพ.ศ.2561-2563 ร้อยละ 75, 95 และ 100 ตามลำดับ เข้าสู่กระบวนการคลินิกเลิกสุราและการดูแลต่อเนื่อง ดื่มสุราลดลงทุกรายและสามารถ เลิกสุราได้ ร้อยละ 19.05 สรุป ผู้ป่วยที่มีภาวะถอนพิษสุราพบภาวะแทรกซ้อนจากอาการถอนพิษสุราได้บ่อยครั้ง การที่ได้พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยส่งผลให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยหายทุเลาสามารถ ลดภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้ ลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล มีการส่งต่อข้อมูลเพื่อเข้ารับ การบำบัดในคลินิกเลิกสุราและการส่งต่อสู่ชุมชนเพื่อการดูแลต่อเนื่อง</p> อรนุช ไชยสันต์ กาญจนา จันทะนุย ภิรญา พินิจกลาง ประครอง ประกิระนะ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 108 124 การพัฒนารูปแบบการให้บริการเพื่อการส่งเสริมการดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนด คลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/263569 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบ 3) เพื่อประเมินผลของการพัฒนารูปแบบ ประชากรบุคลากรสาธารณสุขในคลินิกฝากครรภ์ 9 คน และกลุ่มตัวอย่างสุ่มแบบเจาะจงเป็นหญิง ตั้งครรภ์เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด 33 คน ดำเนินการเดือนตุลาคม 2564 ถึง สิงหาคม 2565 การวิจัย แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาสถานการณ์ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบ และระยะที่ 3 การประเมินผลรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ประกอบด้วย รูปแบบการให้บริการ แบบบันทึกใน การดูแลตนเองของหญิงตั้งครรภ์ "มาป้องกันภาวะคลอดก่อนกำหนดกันเถอะ" แบบสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบสอบถามความรู้และทัศนคติ และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ ข้อมูลเชิงปริมาณโดยค่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนน ความรู้และทัศนคติโดยใช้สถิติ Paired t-test วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา การตีความและสรุปความ ผลการศึกษา พบปัญหา ได้แก่ ระบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ยังไม่ชัดเจน และหญิงตั้งครรภ์ ยังขาดความรู้ และแนวทางการดูแลตนเอง นำปัญหาพบมาสู่การพัฒนารูปแบบและจ ากการทดลอง ใช้รูปแบบ พบว่า ทำให้กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยความรู้และทัศนคติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt;0.001) ความพึงพอใจในระดับดีทุกด้าน และหญิงตั้งครรภ์ที่คลอดก่อนกำหนดลดลง ซึ่งผ่านเกณฑ์ตัวชี้วัดของกระทรวงสาธารณสุขที่ร้อยละ 7.00 ดังนั้น ควรมีการนำรูปแบบที่มีการ พัฒนามาปรับใช้ในคลินิกฝากครรภ์ เพื่อส่งเสริมการดูแลตนเองให้สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสมและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด</p> มณฑิรา บุทเสน บูรณศักดิ์ วงศ์ศิริภักดิ์ดี ทิพย์ภาภรณ์ แย้มใส พิศตะวัน สุวจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 125 138 รูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ : การทบทวนอย่างเป็นระบบ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/267276 <p>โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพิการและเสียชีวิตในอัตราที่สูง วัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ เป็นการทบทวนอย่างเป็นระบบ โดยคัดเลือกจากงานวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) และงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ที่เผยแพร่ปี 2560-2566 จาก Google Scholar ใช้หลัก PICO ในการสืบค้น โดยใช้แบบประเมินคุณภาพงานวิจัยของ เฮลเลอร์ (Heller)ผลการศึกษา พบว่า มีบทความที่ผ่านเกณฑ์ในการคัดเลือก 30 เรื่อง โดยผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพ 10 เรื่อง ประกอบด้วยการวิจัยกึ่งทดลองจำนวน 5 เรื่อง และการวิจัยเชิงปฏิบัติการจำนวน 5 เรื่อง พบว่า รูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุโดยประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์ ได้แก่ การส่งเสริมการรับรู้โอกาสเสี่ยงในการเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรค การรับรู้ประโยชน์ในการป้องกันโรค การรับรู้ความคาดหวังในความสามารถของตนเองในการป้องกันโรค การรับรู้สัญญาณเตือนของโรค การรับรู้ช่องทางขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ฉุกเฉินและสิ่งชักนำที่ก่อให้เกิดการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากบุคคลต้นแบบ การฝึกทักษะเฉพาะ การเยี่ยมบ้าน การให้คำปรึกษา ซึ่งพบว่า คะแนนการรับรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของกลุ่มทดลองสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม ดังนั้นรูปแบบการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุ สามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้สูงอายุและผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงได้ ทั้งนี้ ควรประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรมศาสตร์หลายทฤษฎีร่วมกันเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมและสร้างการคงอยู่ของพฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ</p> รัตติยากร ถือวัน กิตติพงษ์ สอนล้อม Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 139 159 ผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงเบาหวานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/265447 <p>การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบสองกลุ่ม มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพกลุ่มเสี่ยงเบาหวานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพของ อสม. และความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมด้านสุขภาพ และผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร ทำการศึกษาในกลุ่ม อสม. ทั้งหมดในเขตพื้นที่ตำบลทุ่งนางโอก อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร จำนวน 112 คน และกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน ในเขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุ่งนางโอก โดยคำนวณจากสูตรเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย ได้จำนวนทั้งสิ้น 56 คน จากนั้นทำการสุ่มตัวอย่างด้วยการจับฉลาก เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น โดยตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.79 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานด้วยสถิติทดสอบ Paired Sample T-test ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มเสี่ยงเบาหวานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 76.80 อายุระหว่าง 40-49 ปี ร้อยละ 55.40 มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 46.57 ปี (S.D.= 6.50) มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 96.40 มีประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยด้วยโรคเบาหวาน ร้อยละ 100 ภายหลังการทดลอง อสม. มีความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;.001) ขณะที่กลุ่มเสี่ยงเบาหวานมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ พฤติกรรมด้านสุขภาพ และผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพ ทั้งในด้านค่าดัชนีมวลกาย เส้นรอบเอว และค่าระดับน้ำตาลในเลือด ที่ดีขึ้นทุกด้าน (p-value&lt;.001) ดังนั้น จึงควรส่งเสริมการนำใช้โปรแกรมดังกล่าวเพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ทางด้านสุขภาพที่ดีขึ้นแก่ชุมชน</p> ประเสริฐ ประสมรักษ์ ละอองดาว ศรีวะรมย์ บรรจบ แสนสุข สวิณีย์ ทองแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 160 174 การถอดบทเรียนกระบวนการรูปแบบการดำเนินการนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมในสถานการณ์ COVID-19 ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข กรณีศึกษา Sandbox เชียงคาน จังหวัดเลย https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/264884 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการถอดบทเรียนกระบวนการรูปแบบการดำเนินการ นโยบายเศรษฐกิจสุขภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมในสถานการณ์ COVID-19 ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข กรณีศึกษา Sandbox เชียงคาน จังหวัดเลย เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ ดำเนินการวิจัยรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ประกอบด้วย 8 ประเด็นคำถาม สัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญระดับผู้บริหารที่มี ส่วนเกี่ยวข้องในการดำเนินการ รวมทั้งหมด จำนวน 17 คน และแบบสนทนากลุ่มคัดเลือกจาก กลุ่มตัวอย่างจากผู้ที่อาศัยอยู่ในอำเภอเชียงคาน เฉพาะพื้นที่ดำเนินการ รวมทั้งหมด 29 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิจัยในลักษณะเชิงบรรยาย และรูปแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยกระบวนการดำเนินการครั้งนี้สามารถเป็นแบบอย่างให้กับหน่วยงานที่สนใจ หรือเป็นแนวทางในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในที่มีมาตรฐานการกำกับดูแลความปลอดภัย และยังเป็นการบริหารจัดการเพื่อควบคุมการระบาดของเชื้อโรคโควิด - 19 หรือโรคระบาดอุบัติใหม่ อื่น ๆ ในอนาคตต่อไปได้</p> วัชรี แก้วสา นันทะกานต์ ขาวดา จิตภินันท์ แสนหลวงอินทร์ รัตติยา บุญเกียรติบุตร Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 175 187 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพจังหวัดมหาสารคาม https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266088 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดำเนินงานโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ จังหวัดมหาสารคาม รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การวิเคราะห์สถานการณ์ ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ 1)การวางแผน 2)การปฏิบัติการ 3)การสะท้อนการปฏิบัติ 4)การปรับปรุงแผนปฏิบัติการ จำนวน 3 วงรอบ และระยะที่ 3 ประเมินผลของการพัฒนารูปแบบการดำเนินงาน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูอนามัยโรงเรียน ผู้รับผิดชอบงานในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่รับผิดชอบงานระดับอำเภอและนักเรียนในจังหวัดมหาสารคาม ระยะเวลาตุลาคม 2563 - มิถุนายน 2565 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา เกิดรูปแบบการดำเนินงานโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ จังหวัดมหาสารคาม โดยมีเครือข่ายพี่เลี้ยงสาธารณสุขระดับอำเภอและระดับจังหวัด รวมทั้งเครือข่ายพี่เลี้ยงต้นแบบฯ ในเขตพื้นที่การศึกษา ผลการพัฒนารูปแบบฯ วงรอบที่ 3 ปี 2565 มีโรงเรียนที่สมัครเข้าร่วมพัฒนาเป็นโรงเรียนรอบรู้ฯ จำนวน 265 แห่ง (40.64%) ผ่านการรับรองเป็นโรงเรียนรอบรู้ฯ จากกรมอนามัย ทั้งหมด 108 แห่ง (16.56%) นักเรียนเข้าร่วมประเมินความรอบรู้ NuPETHS เทอม 1 ปี 2565 จำนวน 7,314 คน ผ่านการประเมิน 6,902 คน (94.36%) โดยผ่านเกณฑ์ NuPETHS 61.79% และผ่านเกณฑ์ Super Hero NuPETHS 32.57% การพัฒนาโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นการกระตุ้นให้ดำเนินการส่งเสริมสุขภาพและสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพแก่นักเรียนควบคู่ไปกับการศึกษา ซึ่งส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม</p> ศิริรัตน์ จ่ากุญชร ปิยะลักษณ์ ภักดีสมัย Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 188 201 การประเมินโครงการรณรงค์วัคซีนป้องกันโรคหัดในเด็กอายุ 1-12 ปี เขตสุขภาพที่ 7 พ.ศ.2563-2564 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/265454 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลการดำเนินงานโครงการรณรงค์วัคซีนป้องกันโรคหัด ในเด็กอายุ 1-12 ปี พ.ศ.2563-2564 ของเขตสุขภาพที่ 7 ตามแผนเร่งรัดการกำจัดโรคหัดของ ประเทศไทยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก โดยใช้ CIPP Model ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้าน บริบท ปัจจัยนำเข้า กระบวนการดำเนินงานและผลผลิต เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม ใช้วิธีการสุ่ม แบบหลายขั้นตอน โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของหน่วยบริการในโรงพยาบาลและโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล จำนวน 53 คน นำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการสถิติเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า ผู้ปฏิบัติงานที่ตอบแบบสอบถามมีความพึงพอใจในภาพรวมต่อผลประเมินบริบท มากที่สุด ( =3.29, S.D. 0.55) ซึ่งมีความเหมาะสมในการดำเนินโครงการมีความสอดคล้องกับนโยบาย การดำเนินงาน ด้านวัคซีนในพื้นที่ และเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ รองลงมาคือ ความพึงพอใจ ในภาพรวมต่อผลประเมินด้านผลลัพธ์ ( =3.11, S.D. 0.60) ด้านกระบวนการ ( =2.97, S.D. 0.58) และด้านปัจจัยนำเข้า ( =2.94, S.D. 0.60) ไม่แตกต่างกันมากนัก เนื่องจาก ปัญหา บุคลากรที่ได้รับการอบรมและพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานอย่างเหมาะสม และการมี จำนวนบุคลากรเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน ซึ่งในส่วนนี้อาจส่งผลกระทบต่อภาระงานของบุคลากร ส่วนปัจจัยความสำเร็จเกิดจากการมีส่วนร่วมของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ทั้งนี้ ผู้บริหารและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องควรจะมีการสนับสนุนเพิ่มขึ้น เช่น จัดอบรมเพิ่มทักษะความรู้และสร้างความเข้าใจ เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ปฏิบัติงาน และวางแผนการดำเนินงานและติดตามอย่างเป็นระบบ</p> กัลยา สกุลไทย ภัทรียา พอจิต อนุวัตร กองแสน Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 202 213 ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชน อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266834 <p>การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ การป้องกันโรคไข้เลือดออก ระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้เลือดออก และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรม การป้องกันโรคไข้เลือดออกของประชาชน อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 732 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญและการทดลองใช้ แล้วนำมา วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติเชิง อนุมาน Multiple logistic regression และนำเสนอค่าความสัมพันธ์ด้วย Adjusted odds ratios ค่าช่วงเชื่อมั่น 95% CI และค่า p-value ที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างเป็นเพศหญิง (64.76%) อายุเฉลี่ย 47.00 ปี (S.D.= 14.27) สถานะภาพสมรส (66.94%) ไม่มีโรคประจำตัว (74.59%) การศึกษาประถมศึกษา (43.44%) อาชีพ เกษตรกรรม (54.37%) รายได้เฉลี่ย 6,000 บาท/ปี (S.D. 7,654.77) ระยะเวลาที่อาศัยในหมู่บ้าน อยู่ระหว่าง 2-71 ปี (Med=40) จำนวนสมาชิกในครอบครัวเฉลี่ย (Med=4.00) ไม่มีประวัติการป่วย ด้วยโรคไข้เลือดออก (94.95%) ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออกอยู่ในระดับสูง (96.72%) ระดับความ รอบรู้ด้านสุขภาพทั้ง 4 ด้าน มีระดับไม่เพียงพอ (ร้อยละ 93.03) ระดับเป็นปัญหา (ร้อยละ 4.64) ระดับเพียงพอ (ร้อยละ 1.78) และ ระดับดีเลิศ (ร้อยละ 0.55) เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่าง ความรอบรู้ด้านสุขภาพการป้องกันโรคไข้เลือดออกและคุณลักษณะส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการ ป้องกันโรคไข้เลือดออก พบมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จำนวน 5 ตัวแปร ดังนี้ ระดับ การศึกษา (ORadj =2.01 ,95%CI = 1.17-3.44, p-value = 0.01) อาชีพ (ORadj =2.27, 95%CI =1.32-3.88, p-value = &lt;0.01) รายได้ (ORadj =1.90, 95%CI =1.16-3.11 , p-value = 0.01) ความรอบรู้ด้านการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ (ORadj =2.09, 95%CI =1.20-3.61, p-value =&lt;0.01) ความ รอบรู้ด้านการประยุกต์ใช้ข้อมูลทางสุขภาพ (ORadj =2.99, 95%CI =1.69-5.30,p-value = &lt;0.01)</p> นิภาพร สักขู ลำพึง วอนอก สุทิน ชนะบุญ วรรณศรี แววงาม Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 214 230 การศึกษาการตั้งครรภ์ซ้ำในหญิงตั้งครรภ์วัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ในเขตสุขภาพที่ 7 https://he01.tci-thaijo.org/index.php/johpc7/article/view/266190 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษาการตั้งครรภ์ซ้ำในหญิงวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ซ้ำในเขตสุขภาพที่ 7 ระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2564 ประชากรคือหญิงวัยรุ่นอายุน้อยกว่า 20 ปี ที่ตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 ขึ้นไปจำนวน 463 คน กลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 66 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึก การตรวจสอบ เชิงเนื้อหามีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.80 การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป นำเสนอด้วยสถิติ พรรณนา ความถี่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมานใช้ Logistic Regression ข้อมูลเชิงคุณภาพนำเสนอด้วยวิธีพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยด้านความรู้กับการตั้งครรภ์และการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ภาพรวมค่าคะแนนเฉลี่ย 3.32 (S.D.=0.56) ด้านทัศนคติภาพรวมค่าคะแนนเฉลี่ย 3.28 (S.D.=0.32) ด้านความเชื่อภาพรวมค่าคะแนนเฉลี่ย 3.17 (S.D.=0.42) แปลผลอยู่ในระดับปานกลาง ด้านการรับ รู้ความสามารถในการควบคุมตนเองภาพรวมค่าคะแนนเฉลี่ย 3.71 (S.D.=0.52) แปลผลอยู่ในระดับดี และมีเพียงปัจจัยด้านความเชื่อ (p-value = 0.017) ที่มีความสัมพันธ์กับการตั้งใจตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่น อายุต่ำกว่า 20 ปี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 พบว่าปัจจัยด้านความเชื่อทำให้วัยรุ่นตั้งใจ ตั้งครรภ์ซ้ำเพิ่มขึ้น 3.27 เท่า ดังนั้นควรส่งเสริมการรับรู้ความสามารถในการควบคุมตนเองป้องกัน เรื่องพลาดและประมาท</p> มุธิตา อันทะเกต รัตติกานต์ รักษาภักดี Copyright (c) 2024 วารสารศูนย์อนามัยที่ 7 ขอนแก่น 2024-03-14 2024-03-14 16 1 231 244