การประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลครอบครัวในการดูแลคู่สมรสที่มีบุตรยาก
บทคัดย่อ
การมีบุตรเป็นหน้าที่หนึ่งที่สำคัญของครอบครัว ครอบครัวมีหน้าที่ในการผลิตสมาชิกใหม่เพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ นอกจากนี้ยังทำให้ครอบครัวเกิดความสมดุลในการทำหน้าที่ของสมาชิกที่มีทั้งบิดามารดาและบุตร ก่อให้เกิดความสุขและความแข็งแกร่งของครอบครัว อีกทั้งทำให้ครอบครัวมีพัฒนาการครอบครัวเป็นไปตามปกติ1 ถ้าครอบครัวไม่มีบุตรหรือมีบุตรยากจะส่งผลต่อระบบครอบครัวและยังทำให้บทบาทของสามีภรรยาไม่เป็นไปตามความคาดหวังของสังคม ซึ่งผลกระทบจะย้อนกลับคืนมามีผลต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นวงจรต่อไป ภาวะการมีบุตรยากจึงเป็นปัญหาครอบครัวที่เป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ของครอบครัวและเป็นปัญหาทางด้านประชากรและอนามัยเจริญพันธุ์อย่างหนึ่งที่มีแนวโน้มมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกภูมิภาคทั่วโลก ในประเทศที่พัฒนาแล้วอัตราการมีบุตรยากอยู่ระหว่างร้อยละ 7-17 เช่น นอร์เวย์ร้อยละ 7 อเมริการ้อยละ 8.5 ฟินแลนด์ ร้อยละ 15 และอังกฤษร้อยละ 17 เป็นต้น2-5 สำหรับประเทศไทยปัญหาการมีบุตรยากของสตรีวัยเจริญพันธุ์อายุระหว่าง 15-49 ปี พบร้อยละ 156 จากสถิติผู้รับบริการปัญหามีบุตรยากที่โรงพยาบาลศิริราช มีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 4,000 ราย ในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น 11,000 รายในปี 2552 เกือบ 3 เท่าในระยะ 7 ปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป7 แพทย์ทั่วโลกยังมีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า อัตราการมีบุตรยากมีแนวโน้มสูงขึ้นควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นภาวะการมีบุตรยาก จึงเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ บทความนี้มุ่งเสนอแนวคิดการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการพยาบาลครอบครัวในการดูแลผู้มีบุตรยาก เพื่อเป็นแนวทางแก่พยาบาลในการให้การดูแลและให้คำปรึกษาแก่คู่สมรสที่มีบุตรยากต่อไป