การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายของนักเรียนประถมศึกษาที่มีภาวะโภชนาการเกินโดยการมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน ในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ผู้แต่ง

  • ธันยกานต์ เอกสัน โรงพยาบาลสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์
  • วิลาวัณย์ ชมนิรัตน์

คำสำคัญ:

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย, นักเรียนประถมศึกษา, ภาวะโภชนาการเกิน, การมีส่วนร่วมของครอบครัวและชุมชน

บทคัดย่อ

          การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพื่อศึกษาพฤติกรรมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายของนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน การส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนของนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน ผู้ร่วมดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 4-6 ที่มีภาวะโภชนาการเกิน จำนวน 32 คน ครอบครัวของนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน จำนวน 32 คน ผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 1 คน ครูอนามัยโรงเรียน จำนวน 1 คน ครูประจำชั้น จำนวน 6 คน ผู้จำหน่ายอาหารในโรงเรียน จำนวน 4 คน ผู้นำชุมชน จำนวน 1 คน ประกอบด้วย 4 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะวางแผน  ดำเนินการวิเคราะห์สถานการณ์ พฤติกรรมนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน และวางแผนดำเนินการ 2) ระยะปฏิบัติตามแผนและการสังเกต 3) ระยะสะท้อนผลการปฏิบัติ และ 4) ระยะปรับปรุงการปฏิบัติ เพื่อเข้าสู่วงรอบที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ และค่าเฉลี่ย

          ผลการศึกษา พบว่า นักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกิน มีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถของตน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และพฤติกรรมการออกกำลังกายระดับปานกลาง (x̄  = 1.89, 2.76, 2.36) ตามลำดับ มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ชอบดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม ใช้เวลาในการเล่นเกมส์ ดูโทรทัศน์ ออกกำลังกายเฉพาะชั่วโมงพละศึกษา จึงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย ประกอบด้วย            1) จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และวางแผนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 2) การอบรมเชิงปฏิบัติการให้ความรู้และทักษะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนักเรียนต้นแบบ 4) การฝึกหัดและพัฒนาทักษะการคำนวณพลังงานอาหารที่ได้รับและพลังงานที่ใช้ไปอย่างต่อเนื่อง 5) การสนับสนุนจากครอบครัว ครูประจำชั้นร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตามเยี่ยมบ้าน 6)โรงเรียนกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาภาวะโภชนาการเกิน 7) ชุมชนมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเกี่ยวกับภาวะโภชนาการเกิน ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการพัฒนากระบวนการดำเนินงานทุกกิจกรรมสร้างการมีส่วนร่วมโดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ส่งผลให้เกิดการทำงานเชื่อมโยงกับทุกองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกิดการเห็นปัญหาร่วมกัน ได้ร่วมคิดและตัดสินใจ โดยคำนึงถึงทุน ศักยภาพ และบริบทของชุมชนเป็นสำคัญ จากการประเมินผลลัพธ์ พบว่า 1) นักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกินมีค่าคะแนนเฉลี่ยการรับรู้ความสามารถของตน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และพฤติกรรมการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น 0.3, 0.21 และ 0.23 ตามลำดับ 2) มีระดับภาวะโภชนาการดีขึ้น จำนวน 10 คน

References

1. World Health Organization. 2017. Obesity and overweight. Retrieved January 20, 2018, from http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs311/en.
2. ลัดดา เหมาะสุวรรณ, วิชัย เอกพลากร, นิชรา เรืองดารกานนท์, ปราณี ชาญณรงค์, ภาสุรี แสงศภวนิช, วราภรณ์ เสถียรนพเก้า, ... สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์. (2552). รายงานการสร้างสุขภาพประชาชนไทย (สุขภาพเด็ก) โดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 4 พ.ศ. 2551-2552. สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. ค้นจาก http://www.hiso.or.threport health/report/
3. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ข้อแนะนำการส่งเสริมกิจกรรมทางกายการลดพฤติกรรมเนือยนิ่งและการนอนหลับสำหรับวัยเรียนและวัยรุ่น(6-17 ปี). นนทบุรี : เอ็นซี คอนเซ็ปต์; 2560.
4. ชุติมา ศิริกุลชยานนท์. โรคอ้วนในเด็กวัยเรียน จากอณูสู่ชุมชน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:หจก. เบสท์ กราฟฟิค เพรส; 2558.
5. นริสรา พึ่งโพธิ์สภ. ภาวะโภชนาการเกินหรือภาวะอ้วน. วารสารประชากรศาสตร์. 2552; 18(2): 69-87.
6. Gable S, Chang Y, Krull JL. Television Watching and Frequency of Family Meals Are Predictive of Overweight Onset and Persistence in a National Sample of School-Aged Children. Journal of the American Dietetic Association .2007; 107(1): 53-61.
7. กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม. สรุปรายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2560. กาฬสินธุ์: โรงพยาบาลสามชัย. (เอกสารอัดสำเนา); 2560.
8. Bandura A. Self-efficacy: The exercise of control. Freeman NYWH, editor. New York: W. H. Freeman; 1997.
9. กำไลรัตน์ เย็นสุจิตร และภัสรา คิรินทร์ภาณุ.ประสิทธิผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนเองต่อพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และภาวะโภชนาการของนักเรียนประถมศึกษา. วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก. 2556; 24(1): 71-83.
10. เสาวนีย์ ชูจันทร์, วนลดา ทองใบและ จีราภรณ์ กรรมบุตร. ผลของโปรแกรมส่งเสริมการรับรู้ความสามารถของตนและการสนับสนุนจากครอบครัวต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของเด็กวัยเรียนตอนปลายที่มีภาวะน้ำหนักเกิน. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีกรุงเทพ. 2559; 32: 31-43.
11. Kemmis, S & McTaggart, R. The Action Research Planer (3rd ed.). Victoria : Deakin University. 1988.
12. Bandura, A. Self-Efficacy: Toward a unifying theory of behavioral change. Psychological review. 1977; 34(2): 191-215.
13. เครือวัลย์ ปาวิลัย. ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการ บริโภคอาหารของนักเรียนที่มีภาวะโภชนาการเกินเกณฑ์มาตรฐานในนักเรียนระดับชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา (บางเขน). วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์ มหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์; 2550.
14. ศิริพร ขัมภลิขิต, และจุฬาลักษณ์ บารมี. คู่มือการสอนการสร้างเสริมสุขภาพในหลักสูตร พยาบาลศาสตร์บัณฑิต. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัย ขอนแก่น; 2555.
15. สุนีย์ ปิ่นทรายมูล. ผลของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการออกกำลังกายและการบริโภคอาหารที่เหมาะสมในนักเรียนประถมศึกษาที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์. วิทยานิพนธ์หลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2552.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2020-06-26